ตอนที่ 43 เดี๋ยวฉันจะช่วยซ่อมให้เอง!
ตอนที่ 43 เดี๋ยวฉันจะช่วยซ่อมให้เอง!
แดร็กคูลา คือบรรพบุรุษแวมไพร์รุ่นที่สอง
ส่วนบรรพบุรุษแวมไพร์รุ่นแรกก็คือพ่อมดแห่งแอตแลนติสชื่อ วาร์เน่ ผู้ซึ่งใช้มนตร์จาก ‘ดาร์กโฮลด์’ แปลงร่างตัวเองให้กลายเป็นแวมไพร์
ซึ่ง ‘ดาร์กโฮลด์’ ก็คือสมบัติของเทพแห่งความโกลาหลแห่ง คธอน และเป็นหนึ่งในพลังของสการ์เล็ตวิทช์ก็มีต้นกำเนิดมาจาก คธอน นี้เอง
ในคัมภีร์ดาร์กโฮลด์เต็มไปด้วยเวทมนตร์ของคธอน ซึ่งผู้ที่ได้ครอบครองคัมภีร์เล่มนี้จะเห็นเนื้อหาแตกต่างกันไป และพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่อย่างวาร์เน่ก็มองเห็นคาถาแปลงร่างเป็นแวมไพร์
เมื่อกลายเป็นแวมไพร์ วาร์เน่ก็ได้รับพลังอันยิ่งใหญ่และชีวิตที่ยืนยาว เขาอายุยืนจนกระทั่งได้เห็นเหตุการณ์มากมาย รวมถึงการล่มสลายของแอตแลนติสด้วยตาของตนเอง
แต่ในที่สุดวาร์เน่ก็เบื่อที่จะมองโลกอันแสนน่าเบื่อหน่ายและตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง
โดยก่อนสิ้นลมหายใจ วาร์เน่ได้มอบพลังทั้งหมดให้กับแดร็กคูลา และนับแต่นั้นมาแดร็กคูลาจึงเริ่มปกครองเผ่าพันธุ์แวมไพร์
แดร็กคูลา ซึ่งเป็นแวมไพร์รุ่นที่สองที่ได้รับพลังของวาร์เน่ ไม่เพียงแต่มีร่างกายที่แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ เขายังสามารถใช้เวทมนตร์ลวงตา การสะกดจิต การแปลงร่าง และมนต์ดำเล็กน้อยได้อีกด้วย
แต่ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่พลังเหล่านั้น เพราะประเด็นสำคัญจริง ๆ ก็คือแดร็กคูลามีความสามารถพิเศษในการคืนชีพอย่างสมบูรณ์แบบ!
ไม่ว่าจะถูกฆ่าอย่างไร เขาก็สามารถฟื้นคืนชีพกลับมาได้อย่างสมบูรณ์ ไม่มีการอ่อนแอลง ไม่มีความทรงจำขาดหาย โดยมีสิ่งเดียวที่ต้องการคือเวลา
ความสามารถคืนชีพของแดร็กคูลาถือเป็น ‘กฎ’ ในจักรวาลมาร์เวลที่ไม่มีใครสามารถทำลายได้ แม้แต่เทพธิดาแห่งความตายก็ยังทำอะไรไม่ได้!
“แดร็กคูลา ดูเหมือนเรื่องมันจะยุ่งยากจริง ๆ ซะแล้ว!” เอริคจับคางตัวเองพลางขมวดคิ้วด้วยความครุ่นคิด
การฟื้นฟูตัวเองหรือคืนชีพเป็นพลังพิเศษที่น่ารำคาญที่สุดในบรรดาพลังทั้งหมด ลองคิดดูสิว่าทำไมเดดพูลถึงน่าหมั่นไส้ขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่เพราะเขารักษาตัวเองได้ทุกครั้งหรอกหรอ? เพราะงั้นมันถึงไม่มีใครทำอะไรเขาได้ไง!
และตอนนี้ เอริคก็ต้องเผชิญกับการคืนชีพที่ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งมันน่ารำคาญยิ่งกว่า เพราะถึงเขาจะฆ่าอีกฝ่ายไปมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร แถมอีกเดี๋ยวเขาก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก
นอกจากนี้การผนึกก็ไม่ได้ผล เพราะถ้าถูกผนึกแดร็กคูลาก็ฆ่าตัวตายเองได้ และกลับมาใหม่หลังจากนั้นไม่นาน . . .
แต่การปล่อยแดร็กคูลาไว้เฉย ๆ ก็ไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะเขาอาจจะแพร่พันธุ์แวมไพร์จำนวนมหาศาลในเวลาเพียงไม่กี่วัน!
“ท่านแอนเชียนวัน มีวิธีอะไรบ้างที่จะจัดการแดร็กคูลาได้บ้าง?” เมื่อแก้ปัญหาเองไม่ได้ เอริคจึงคิดหันไปพึ่งพาผู้แข็งแกร่งกว่า
แต่แอนเชียนวันกับส่ายศีรษะเบา ๆ “ข้าก็ฆ่าแดร็กคูลาไม่ได้เช่นกัน”
“งั้นใช้มิติกระจกขังเขาเอาไว้ตลอดกาล?” เอริคพยายามเสนอทางออกอื่น
“เขาสามารถฆ่าตัวตายได้” แอนเชียนวันส่ายหน้าอีกครั้ง
“งั้นเปิดประตูมิติให้เขาตกลงไปเรื่อย ๆ ล่ะ?”
“เขาแปลงร่างเป็นค้างคาวได้ เขาบินหนีได้” คราวนี้สีหน้าของแอนเชียนวันเริ่มแปลก ๆ
“ถ้าอย่างนั้น ใช้อัญมณีเวลาทำให้เขาติดอยู่ในลูปเวลาตลอดไปล่ะ?”
แอนเชียนวันไม่ได้ตอบ เพียงแต่จ้องเอริคด้วยรอยยิ้มที่แฝงความนัยบางอย่าง
เมื่อเห็นสีหน้านั้น เอริคก็หดคอเล็กน้อยอย่างรู้สึกหวาดหวั่น “ท่านแอนเชียนวัน ทำไมมองแบบนั้นล่ะ?”
“ดูเหมือนเจ้าจะรู้จักเวทมนตร์ของข้าดีเหลือเกินนะ”
“เอ่อ . . . ก็แค่พอประมาณ ฮะ ฮะ” เอริคหัวเราะแห้ง ๆ อย่างกระอักกระอ่วน และไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก จะให้เขาพูดอะไรได้? จะให้บอกแอนเชียนวันว่าเขาเคยศึกษาเวทมนตร์ของด็อกเตอร์สเตรนจ์เป็นปีเพื่อใช้ต่อกรกับธานอสหรอ?
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เอริคก็สงสัยเล็กน้อยว่า ‘อาวุธทำลายล้างขั้นสุดยอดของจักรวาล’ จะสามารถลบแดร็กคูลาออกจากการมีอยู่ในจักรวาลได้หรือเปล่า . . .
แอนเชียนวันสะบัดพัดเบา ๆ และหยุดพูดถึงเรื่องนี้ “เอริค บางทีเจ้าอาจต้องไปถามเพื่อนเก่าของเจ้า”
“เพื่อนเก่า?”
. . .
โรงเรียนเซเวียร์สำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ
หลังจากผ่านไปหลายปีและสองจักรวาล เอริคก็กลับมายืนอยู่หน้าประตูที่คุ้นเคยอีกครั้ง
ประตูที่สวยงามดูเหมือนไม่ได้รับการดูแลจนขึ้นสนิมเล็กน้อย เถาวัลย์บางส่วนพันรอบประตูเหมือนกับที่นี่ไม่ได้ถูกเปิดใช้มานาน
“บอส! บอสมาหาผมที่นี่จริง ๆ ด้วย! เยี่ยมไปเลย!”
ในขณะที่เอริคยังยืนถอนหายใจอยู่หน้าประตู เขาก็ได้ยินเสียงตะโกนอย่างตื่นเต้นดังมาจากข้างใน ก่อนจะตามมาด้วยเสียงระเบิดตูมใหญ่!
จักเกอร์นอทวิ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว แรงสั่นสะเทือนจากการวิ่งของเขาทำให้พื้นดินสะเทือนเลื่อนลั่น
“มาร์โก หยุดเดี๋ยวนี้!” เอริครีบตะโกนห้าม ถ้าปล่อยให้เขาพุ่งชนไปแบบนั้น ประตูโรงเรียนเซเวียร์สำหรับผู้มีความสามารถพิเศษคงต้องเปลี่ยนใหม่แน่ ๆ
หลังจากไม่ได้เจอกันเป็นปี ดูเหมือนมาร์โกจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าชาร์ลส์ดูแลน้องชายต่างแม่ของเขาไม่เลวเลย
“ชาร์ลส์อยู่ไหม?” พูดตามตรงการมาขอความช่วยเหลือจากชาร์ลส์ทันทีหลังจากที่เสียหน้ามาก่อนหน้านี้ทำให้เอริครู้สึกกระดากใจไม่น้อย . . .
“ชาร์ลส์? ไม่รู้สิ ใครสนล่ะ! ไปหาแซมมี่กันเถอะ ถ้าแซมมี่รู้ว่าบอสมาที่นี่ เขาคงดีใจน่าดู!”
เอริคได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตา ในสายตาของแซมมี่ เขาคงเป็นเหมือนปีศาจในนรกนั่นแหละ จะดีใจอะไรกัน ถ้าไม่ร้องไห้ก็ดีแล้ว!
. . .
“คุณเอริค ฉันไม่เคยคิดเลยว่าคุณจะเป็นคนช่วยเหลือเด็ก ๆ เหล่านี้! ขอบคุณสำหรับความเมตตาของคุณ และฉันต้องขอโทษอีกครั้งสำหรับพฤติกรรมหยาบคายของฉันก่อนหน้านี้!” ศาสตราจารย์เอ็กซ์กล่าวขอบคุณเอริคอย่างจริงใจโดยไม่ได้ใช้พลังจิต
“ศาสตราจารย์ชาร์ลส์ ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้ ฉันเชื่อว่าไม่ว่าใครก็ตามที่เห็นเด็ก ๆ ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากแบบนี้ก็คงไม่อาจนิ่งดูดายได้” เอริครับกาแฟจากแฮงก์ที่ยื่นให้และยิ้มอย่างเป็นมิตร
“แล้วคุณเอริคมาที่โรงเรียนเซเวียร์ครั้งนี้มีเรื่องอะไรหรอเปล่า?” แฮงก์ถามขึ้นมา ก่อนที่เขาจะถอยไปยืนอยู่ข้างหลังศาสตราจารย์เอ็กซ์อย่างเป็นธรรมชาติเพื่อปกป้องและเตรียมพร้อมลงมือได้ตลอดเวลา
เมื่อได้ยินคำถามของแฮงก์ เอริคก็ลูบจมูกตัวเองด้วยท่าทีอึดอัดเล็กน้อย “ฉันมาที่นี่เพื่อดูมาร์โกและเด็ก ๆ ส่วนอีกอย่างก็คือฉันอยากขอให้ศาสตราจารย์ชาร์ลส์ช่วยฉันเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ สองอย่าง”
“โอ้? ต้องการความช่วยเหลือเรื่องอะไรเหรอ?”
“ช่วยหาคนคนหนึ่งและจับอีกคนหนึ่ง”
หลังจากฟังคำพูดของเอริค ศาสตราจารย์เอ็กซ์ก็ทำสีหน้าครุ่นคิดทันที
. . .
“ไม่เป็นไร ถ้ามันเสีย เดี๋ยวฉันจะช่วยซ่อมให้เอง!” คำพูดของเอริคทำเอาศาสตราจารย์เอ็กซ์และแฮงก์เบิกตากว้าง ‘นายคิดว่าเครื่องขยายคลื่นสมองมันสร้างง่ายเหมือนเปลี่ยนหลอดไฟหรือยังไง?’
“คุณรู้วิธีสร้างเครื่องขยายคลื่นสมองงั้นเหรอ?”
“ศาสตราจารย์ชาร์ลส์ นายก็เห็นพลังของฉันไปแล้ว!” เอริคตอบด้วยรอยยิ้มสบาย ๆ “ยิ่งกว่านั้น ฉันยังมีบริษัทเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง และฉันก็เป็นผู้พัฒนา 'วัสดุตัวนำยิ่งยวดอุณหภูมิห้อง' ตัวแรกของโลก ฉันเชื่อว่าฉันมีเทคโนโลยีเพียงพอที่จะซ่อมมันได้!”
แฮงก์ตั้งท่าเตรียมจะปฏิเสธทันที แต่ศาสตราจารย์เอ็กซ์ก็ยกมือห้ามไว้ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้าและตกลง “ตกลง งั้นขอฝากคุณเอริคด้วย”
โปรดติดตามตอนต่อไป …