ตอนที่ 42 แดร็กคูลา!
ตอนที่ 42 แดร็กคูลา!
ศาสตราจารย์เอ็กซ์จากไปด้วยความสงสัย เพราะเอริคไม่อาจบอกความลับที่ใหญ่ที่สุดของเขาได้
หลังจากส่งศาสตราจารย์เอ็กซ์กลับไป เอริคก็ซ่อมแซมกรวยยักษ์ของเขาอีกครั้งเพื่อรับพลังงานจากพายุสุริยะ และใช้พลังนั้นทำลายรังแวมไพร์ทีละแห่งอย่างรวดเร็ว
ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รังแวมไพร์ทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาก็ถูกจัดการจนสิ้นซาก
แน่นอนว่าเอริคไม่ได้บอกฟิวรี่ในสิ่งที่เขาทำลงไป หลังจากออกมาจากรังของแวมไพร์ดยุก อีลิ ดามัสกินส ฟิวรี่และเบลดก็แยกทีมกันออกเป็นสองกลุ่ม พร้อมกับเติมกระสุนเพื่อเตรียมบุกรังถัดไป
ในรังแรกฟิวรี่ตรวจตราทั้งในและนอกอย่างละเอียด แต่ไม่พบแวมไพร์แม้แต่ตัวเดียว ดังนั้นด้วยความงุนงงเขาจึงนำทีมไปยังรังที่สอง แต่เขาก็ยังไม่พบอะไร เช่นเดียวกับรังที่สามและที่สี่
“ให้ตายสิ! ต้องเป็นฝีมือเอริคแน่ ๆ!” ฟิวรี่บ่นเสียงดัง ถึงแม้เขาจะไม่ใช่นักสู้มืออาชีพ แต่ ‘การต่อสู้’ ที่ไม่มีคู่ต่อสู้แบบนี้มันก็ทำให้เขาเหนื่อยจนหมดแรง ทำให้เขาทิ้งตัวนั่งกับพื้นโดยไม่สนภาพลักษณ์ และไม่ว่าโคลสันจะพยายามโน้มน้าวอย่างไรเขาก็ไม่ยอมลุกขึ้น
. . .
ทั่วทั้งยุโรปถือเป็นแหล่งแวมไพร์มาตลอดตั้งแต่ยุคประวัติศาสตร์ แม้แต่ในประเทศเล็ก ๆ อย่างอังกฤษ เอริคก็พบรังแวมไพร์มากกว่า 600 แห่ง
ใต้ปราสาทร้างแห่งหนึ่งในอังกฤษ แวมไพร์กลุ่มหนึ่งกำลังประกอบพิธีกรรมลึกลับ พวกมันยืนล้อมเป็นวงกลม บนพื้นมีวงเวทมนตร์ที่สลักไว้ซับซ้อน เปล่งแสงสีแดงอำมหิต ในวงเวทนั้นมีมนุษย์หลายคนถูกจับตัวไว้ โดยที่เลือดของพวกเขากำลังไหลไปตามเส้นสายของวงเวทเพื่อเติมเต็มให้มันเต็ม
“ดูเหมือนท่านเอิร์ลจะพอใจกับเครื่องบูชาครั้งนี้มาก!” แวมไพร์หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น ขณะมองมนุษย์ในวงเวทด้วยสายตาเหมือนกำลังประเมินสินค้า ซึ่งเธอในตอนนี้กำลังพอใจใน ‘คุณภาพ’ ของเครื่องบูชาในครั้งนี้เป็นอย่างมาก
แวมไพร์ตัวอื่น ๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน ก่อนที่แวมไพร์แก่คนหนึ่งจะยืนขึ้นด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “เห็นไหมล่ะ ข้าบอกแล้วว่าท่านเอิร์ลจะต้องชอบเลือดของชาวแอตแลนติส! ครั้งหน้าเราจะจับพวกแอตแลนติสมาอีก!”
แวมไพร์หญิงพยักหน้าเห็นด้วย “อืม ยาซา ครั้งหน้าการล่าเป็นหน้าที่ของเจ้า!”
ยาซาทำหน้าเหี่ยวลงทันที ก่อนที่เขาจะพยายามหดตัวลงให้เล็กและส่ายหัวอย่างช้า ๆ “นายท่าน ข้าไม่สามารถสู้กับนามอร์ได้!”
“ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าสู้ เจ้าก็แค่ต้อง . . .”
ก่อนที่แวมไพร์หญิงจะพูดจบ ทันใดนั้นพายุร้อนแรงสายหนึ่งก็พัดเข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมอนุภาคสีเงินที่เจาะร่างของแวมไพร์จนพรุนเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นเถ้าถ่านก่อนจะทันตั้งตัว
ก่อนที่พายุจะกวาดไปทั่วทั้งรังเพื่อเช็คให้ชัวร์ว่าจะไม่มีแวมไพร์หลงเหลืออยู่ ก่อนจะพุ่งออกไปทางช่องลม
ในขณะเดียวกันวงเวทบนพื้นที่ไม่มีผู้ควบคุมก็เริ่มมืดลง พร้อมกับเลือดที่หยุดไหล ซึ่งมันเหลือเพียงแค่ระยะสั้น ๆ เท่านั้นก่อนที่เลือดจะเต็มทั้งวงเวท พร้อมกับพิธีกรรมที่ล้มเหลวลงในที่สุด
เลือดที่ไหลอยู่บนพื้นเริ่มแห้งลงทันที ส่วนชาวแอตแลนติสที่ถูกจับตัวไว้ก็แห้งกรังกลายเป็นมัมมี่ในพริบตา
“ใครกัน?! บังอาจรบกวนการหลับใหลอันยาวนานของแดร็กคูลา!”
ทันใดนั้นใต้พื้นวงเวท จู่ ๆ มันก็มีเสียงคำรามดังสนั่น และแขนที่แห้งผากข้างหนึ่งที่โผล่ทะลุขึ้นมาจากพื้นดิน
. . .
แน่นอนว่าเอริคไม่ทันได้รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในอังกฤษ เพราะเขาได้เบนความสนใจไปยังที่อื่นเรียบร้อยแล้ว
พายุสุริยะมีเวลาอยู่ไม่นาน เอริคจึงต้องรีบใช้ทุกวินาทีให้คุ้มค่า อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี จากนั้นก็เอเชีย แอฟริกา . . .
ยกเว้นพื้นที่ที่อ่อนไหวบางแห่ง เอริคกวาดล้างรังแวมไพร์ทั่วโลกจนหมดก่อนที่พายุสุริยะจะสิ้นสุดลง!
“ไม่มีแวมไพร์หลงเหลือบนโลกอีกแล้ว!” เอริคยืนเอามือไพล่หลังมองลงมายังโลกเบื้องล่าง พร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยัน
ในอีกจักรวาลหนึ่ง สการ์เล็ตวิทช์เคยพูดขึ้นมาว่า “ไม่มีมนุษย์กลายพันธุ์หลงเหลือบนโลกนี้อีกต่อไป” ซึ่งคำพูดนี้ทำให้มนุษย์กลายพันธุ์ทุกคนสูญเสียพลังพิเศษ
อย่างไรก็ตามเอริคไม่ได้มีพลังที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ดังนั้นคำพูดของเขาจึงเป็นเพียงการโอ้อวด . . . โอ้อวดที่ไม่มีใครได้ยินเลยสักคน . . .
“เฮ้ ไม่มีใครปรบมือให้ฉันบ้างเลยหรือไง อย่างน้อยก็ส่งดอกไม้ให้สักดอกก็ยังดี!” หลังจากยืนโพสท่าอยู่นาน เอริคก็ยักไหล่ด้วยความเบื่อหน่ายและบ่นพึมพำเบา ๆ แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดว่าจะมีใครปรบมือให้เขาจริง ๆ และถ้าหากมันมีคนปรบให้เขาจริง ๆ มันอาจจะทำให้เขาตกใจจนแทบสิ้นสติเลยก็ได้!
ในขณะเดียวกันกรวยยักษ์ก็เริ่มยุบตัวลงอย่างรวดเร็ว และในชั่วพริบตาก็กลับกลายเป็นมังกรสีเงินสองตัวอีกครั้ง
เมื่อไม่มีอุปกรณ์รวบรวมพลังงาน เอริคก็รู้สึกอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด
จากชีวิตที่เรียบง่ายไปสู่ความหรูหราเป็นเรื่องง่าย แต่จากความหรูหรากลับไปสู่ความเรียบง่ายนั้นยากจริง ๆ!
การเคยชินกับการมีพลังงานเต็มเปี่ยมและทรงพลังตลอดเวลา ทำให้เอริครู้สึกแปลก ๆ ที่จะต้องปรับตัวใหม่กลับมาใช้พลังดั้งเดิมของตัวเองอีกครั้ง
“คงจะดีมากถ้ามีพายุสุริยะทุกวัน” เอริคเงยหน้ามองดวงอาทิตย์สีแดงเพลิงด้วยความอิจฉา พร้อมกับเลียริมฝีปากสองครั้งด้วยความเสียดาย
. . .
เมื่อกลับมายังโลก เอริคตั้งใจหลีกเลี่ยงฟิวรี่ และทีมของเขา ก่อนจะปรากฏตัวอย่างเงียบ ๆ ที่หน้าประตูอาศรมเวทย์สาขานิวยอร์ก ทันใดนั้นประตูอาศรมเวทย์ก็ค่อย ๆ เปิดออกเป็นช่องเล็ก ๆ พอให้เขาเดินเข้าไปได้
“ท่านแอนเชียนวัน ยังมีแวมไพร์หลงเหลืออยู่ในโลกอีกหรือไม่?”
ถ้าหากไม่กำจัดรากเหง้าทั้งหมด พวกมันก็จะกลับมางอกงามอีกครั้งในสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิ ตราบใดที่ยังมีแวมไพร์เหลืออยู่แม้เพียงตัวเดียว มันก็อาจแพร่พันธุ์จนเต็มโลกอีกครั้ง ดังนั้นเอริคจึงตั้งใจจะถอนรากถอนโคนให้สิ้นซากในคราวเดียว!
“ยังมีอยู่” แอนเชียนวันตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ดวงตาของเธอไม่มีความเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย แม้จะยังไม่ถึงฤดูใบไม้ผลิ แต่เธอก็ยังคงถือพัดเล็ก ๆ โบกมือไล่ลมไปมาอย่างสบายใจ
คำตอบนี้ของแอนเชียนวันไม่ได้ทำให้เอริคแปลกใจเลย เขารู้ดีว่าในโลกนี้ย่อมมีผู้โชคดีหลุดรอดมาได้บ้าง แม้แต่ในหมู่แวมไพร์
“มันอยู่ที่ไหน?” ประกายความมุ่งร้ายปรากฏขึ้นในดวงตาของเอริค พร้อมกับน้ำเสียงของเขาที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร
แอนเชียนวันปิดพัดลงและเอียงศีรษะมองเอริค ทำให้เอริคที่เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกขนลุกขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาไม่เข้าใจเลยว่าเขาได้ทำสิ่งใดให้เทพเจ้าคนนี้ไม่พอใจอีก
“เอริค เจ้ากำจัดแวมไพร์ทั้งหมดไม่ได้หรอก!”
“ทำไม?” เอริคเบิกตากว้างด้วยความไม่เข้าใจ
แอนเชียนวันยิ้มเล็กน้อย ก่อนโยนพัดในมือออกไปในอากาศ ทันใดนั้นพัดอันนั้นก็ระเบิดออกกลายเป็นกลุ่มอักษรรูนสีทอง ก่อนที่อักษรรูนจะหมุนวนอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนเป็นม่านแสง
บนม่านแสงนั้นมีภาพของมือที่เหี่ยวแห้งข้างหนึ่งยื่นขึ้นมาจากใต้ดิน เล็บมือสีดำสนิท และมีผิวแห้งกร้านราวกับเปลือกไม้
จากนั้นร่างที่ดูเหมือนมัมมี่ก็พุ่งทะลุพื้นดินขึ้นมา โดยที่ร่างของมันดูเหมือนจะถูกลมพัดปลิวไปได้ทุกเมื่อ แต่เมื่อมันเคลื่อนที่มันกลับสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ
เอริคขมวดคิ้วมองภาพบนม่านแสง เขารู้สึกว่าที่นี่มันคุ้นเคยอย่างประหลาด ก่อนที่เขาจะพยายามนึกย้อนอย่างรวดเร็ว และใช้เวลานานกว่าจะจำได้ว่าสถานที่นี้เหมือนจะเป็นหนึ่งในรังที่เขาเคยจัดการไปแล้ว แต่เขาจำไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหน เพราะรังที่เขาทำลายมันมีมากเกินไป . . .
มัมมี่ตัวนี้เคลื่อนไหวเหมือนภูตผี และมันไม่หวาดกลัวแสงแดดเลย มันกัดคนตายไปสองคนบนถนน พร้อมกับผิวหนังของมันที่พองขึ้นเหมือนลูกโป่งที่ถูกเติมลม และในเวลาเพียงไม่กี่นาทีต่อมาร่างของมันก็กลับคืนเป็นชายที่ดูมีรูปลักษณ์อ่อนช้อยผิดธรรมชาติ
นอกจากนี้ถ้าสังเกตจากฟันสองคู่ที่แหลมคมของเขา มันก็เห็นได้ชัดเจนว่าเขาเป็นแวมไพร์!
“เหลืออยู่ตัวเดียวใช่ไหม? งั้นเดี๋ยวฉันจะไปฆ่ามันเอง” หลังจากเห็นมันดูดเลือดของคนสองคนต่อหน้าต่อตา เอริคก็รู้สึกขยะแขยงแวมไพร์ตัวนี้อย่างบอกไม่ถูก
“เจ้าไม่สามารถฆ่ามันได้!” แอนเชียนวันโบกมือเก็บพัดกลับมา
“ทำไม?”
“เพราะมันคือแดร็กคูลา!”
โปรดติดตามตอนต่อไป …