ตอนที่แล้วตอนที่ 36 ไอ้สารเลวนี่กล้าเรียกฉันว่าเพื่อนได้ยังไง!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 38 ถึงเวลาแล้ว!

ตอนที่ 37 ถ้าหากทำพลาด ก็ต้องรับผลที่ตามมา!


ตอนที่ 37 ถ้าหากทำพลาด ก็ต้องรับผลที่ตามมา!

“พวกนายกำลังจะบอกว่า มีแวมไพร์อยู่ในโลกนี้?” เอริคมองชายผิวดำสองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าแปลกใจ “แน่ใจนะว่านายไม่ได้ล้อเล่น?”

“ฉันไม่เคยล้อเล่น!” ชายคนหนึ่งตอบด้วยเสียงจริงจัง เขามีสีหน้าเคร่งขรึมและแต่งตัวด้วยสีดำล้วนในเวลากลางวันแสก ๆ ตั้งแต่เสื้อแจ็กเก็ตหนัง กางเกงหนัง รองเท้าหนัง ถุงมือหนัง ไปจนถึงแว่นตาดำ ทำให้สีผิวของเขาดูซีดขาวขึ้นมานิดหน่อย

“โอเค คุณชื่อเบลดใช่ไหม? ฉันจะเชื่อสิ่งที่คุณพูดก็แล้วกัน งั้นช่วยอธิบายให้ฉันฟังทีว่าแวมไพร์คืออะไร? มนุษย์ต่างดาว? มนุษย์กลายพันธุ์? หรือสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่น?” เอริคกอดอกด้วยท่าทางเคร่งขรึม ถึงแม้ว่าเขาจะพูดว่าเชื่อ แต่สีหน้ากลับเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจอย่างเห็นได้ชัด

“มันคือไวรัส! ไวรัสที่แพร่เชื้อผ่านน้ำลายของโฮสต์ มันสามารถซึมเข้าสู่หลอดเลือดทั่วร่างกายภายใน 72 ชั่วโมง และสร้างเนื้อเยื่อปรสิตใหม่ขึ้นมา” นิค ฟิวรี่ ที่นั่งไขว่ห้างอยู่ตอบด้วยท่าทางมืออาชีพ

“ไวรัส! พระเจ้า แบบนี้ฉันคงต้องเตรียมสมุนไพรป้องกันไวรัสเพิ่มแล้วสิ!” เอริคยกมือปิดจมูกอย่างโอเวอร์ราวกับจะติดเชื้อทันทีที่ปล่อยมือออก

“เอริค!” นิค ฟิวรี่นั่งตัวตรงมองเอริคด้วยสายตาเหนื่อยใจ “เรากำลังพูดเรื่องจริงจัง และเราก็เป็นเพื่อนกัน ดังนั้นฉันจะโกหกนายได้ยังไง?”

“เพื่อน?!” คำนี้ทำให้เอริคโมโหทันที เขาลุกขึ้นยืนชี้นิ้วใส่ฟิวรี่และด่าออกว่า “ฉันมีเพื่อนแบบนายด้วยหรอฮะ? ฉันช่วยชีวิตลูกสาวเจ้านายนายจากดงกระสุน แต่นายกลับส่งคนไปแอบดูความลับของฉันในคืนนั้น! ยังไม่พอ นายยังกล้ามางานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของฉันแบบเสแสร้ง และส่งสายลับผู้หญิงไปเจาะตู้นิรภัยของฉันอีก!”

“แต่มันก็เจาะไม่สำเร็จไม่ใช่หรอ?” ฟิวรี่ยักไหล่ทำเหมือนไม่รู้สึกผิด ทำให้เอริคที่เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกโมโหจนอยากเตะเขาสักสองสามที

“โอเค เอริค ฉันขอโทษ นายก็รู้ว่านี่คืองานของฉัน มันมีกฎ . . .”

“ฉันไม่สนงานบ้าบอของนาย! และเอากฎของนายไปเก็บด้วย! ออกไปให้พ้น!” เอริคเดินเข้าไปคว้าคอเสื้อของฟิวรี่ และยกตัวเขาขึ้นอย่างง่ายดาย ก่อนจะโยนออกจากห้องไป

หลังจากระบายอารมณ์เสร็จ เอริคก็ปรบมือด้วยความพอใจ ใบหน้าของเขาเริ่มผ่อนคลายราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิอีกครั้ง “เอาล่ะ เบลด เรามาคุยเรื่องแวมไพร์กันต่อ”

. . .

นอกประตูฟิวรี่ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีสงบนิ่ง ก่อนที่เขาจะหันไปทักเจนนิเฟอร์ที่เดินผ่านไปด้วยความตกใจ และเดินเข้าไปในลิฟต์พร้อมกับมือที่ล้วงกระเป๋าเอาไว้

“เป็นยังไงบ้าง?” ชายในลิฟต์ที่สวมหมวกปีกกว้างซึ่งบดบังใบหน้าเอ่ยถามด้วยเสียงเบา

“ไม่เห็นเหรอ? ฉันถูกโยนออกมา” ฟิวรี่ตอบอย่างไม่ใส่ใจ “เราไม่มีโอกาสเลย ไม่มีทางที่จะได้เทคโนโลยีอุปกรณ์ป้องกันรังสียูวีจากเรื่องนี้”

ชายสวมหมวกเงียบไปครู่หนึ่ง จนกระทั่งลิฟต์ใกล้ถึงชั้นล่างแล้ว “แล้วภารกิจที่ผู้อำนวยการมอบหมาย . . .”

“ฉันคิดว่าผู้อำนวยการควรลองร่วมมือกับเขาดู” ฟิวรี่ยังคงแสดงท่าทีเหมือนกับว่าเขาไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ ก่อนจะเดินออกจากลิฟต์ไป

. . .

“คุณเบลด คุณต่อสู้กับแวมไพร์มาตลอด แต่ทำไมเพิ่งมาหาผมตอนนี้?” เอริคถามด้วยความสงสัย แต่ในใจเขาพอจะเดาเหตุผลได้แล้ว

“แวมไพร์กลัวแสงแดด หรือพูดให้ชัดคือ รังสียูวี แต่ด้วยอุปกรณ์ป้องกันรังสียูวีที่คุณพัฒนาขึ้นทำให้พวกมันไม่ต้องกลัวแสงแดดอีกต่อไป” เบลดหยิบอุปกรณ์ขนาดเท่าที่จุดไฟออกมาจากกระเป๋า และวางมันลงบนโต๊ะ ใช่ มันคือผลิตภัณฑ์แรกของ อลิซ อินดัสตรีส์ เครื่องป้องกันรังสียูวี

“ตั้งแต่หกเดือนก่อน แวมไพร์เริ่มใช้อุปกรณ์ป้องกันรังสียูวีนี้จำนวนมาก เจ้าสิ่งนี้ใช้งานง่าย พกพาสะดวก มันไม่เพียงแค่ทำให้ฉันสูญเสียอาวุธที่ทรงพลังที่สุดไป แต่มันยังทำให้แวมไพร์สามารถออกมาเดินเล่นตอนกลางวันได้!”

เอริคเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะมองอุปกรณ์ที่เขาสร้างขึ้นมาบนโต๊ะ และเงยหน้าขึ้นหลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง “ตอนนี้สถานการณ์แย่แค่ไหน?”

“แย่มาก! ในหกเดือนที่ผ่านมา จำนวนแวมไพร์เพิ่มขึ้นอย่างน้อยสิบเท่า!” เบลดกำหมัดแน่นจนมีเสียงลั่นออกมา “สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และยุโรปเต็มไปด้วยแวมไพร์ พวกมันล่าเหยื่ออย่างบ้าคลั่ง จับตัวมนุษย์ไปทุกหนทุกแห่ง”

“แต่ทำไมฉันไม่เคยได้ยินรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยล่ะ?” เอริคถามด้วยความสงสัยทั้งที่เขารู้คำตอบดีอยู่แล้ว

“แวมไพร์มีอายุยืนยาว” คำตอบของเบลดทำให้เอริคถอนหายใจในใจอย่างเหนื่อยหน่าย มันเป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆ ด้วย

ผู้มีอำนาจบางคนยอมเสียสละความเป็นมนุษย์ เพื่อให้ได้อายุยืนยาว พวกเขายอมกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่ต้องซ่อนตัวในความมืด กินเลือดเพื่อนมนุษย์เพื่อความอยู่รอด . . .

ซึ่งสิ่งนี้ทำให้สถานการณ์มันยิ่งเลวร้ายขึ้นไปใหญ่!

“ตอนนี้ ด้วยการมีอยู่ของอุปกรณ์ป้องกันรังสียูวี ความลังเลสุดท้ายของผู้มีอำนาจที่จะกลายเป็นแวมไพร์ก็พังทลายลงในที่สุด ส่วนเรื่องดูดเลือด? ฮ่า ๆ! พวกเขาแต่ละคนร่ำรวยจากการสูบเลือดและเหงื่อของประชาชนมาโดยตลอดไม่ใช่หรอ?!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเอริคก็หยิบโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นมาโทรหาเจนนิเฟอร์ทันที “เรียกคืนอุปกรณ์ป้องกันรังสียูวีทั้งหมด! อะไรนะ? เรียกคืนไม่ได้? งั้นขึ้นราคา! ซื้อคืนที่สองเท่าของราคาปกติ! ถ้าไม่ได้อีกก็ห้าเท่า สิบเท่า! ใช้วิธีไหนก็ได้ เรียกคืนมาให้หมด!”

“นั่นไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา!” เบลดมองหน้าเอริคอย่างไร้อารมณ์ ก่อนกดตัดสายโทรศัพท์บนโต๊ะของเอริคทิ้ง

“ฉันรู้ ขอเวลาให้ฉันคิดหน่อย” เอริคขมวดคิ้ว และเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะ “แวมไพร์กลัวอะไรบ้าง?”

“พวกเงินบริสุทธิ์กับกระเทียม”

ทันใดนั้นดวงตาของเอริคก็เป็นประกายขึ้นมาทันที “แล้วพวกไบเบิลกับน้ำมนต์ล่ะ?”

“นั่นเป็นเรื่องที่บาทหลวงใช้หลอกคน” เบลดกลอกตาอย่างหงุดหงิด

“อย่างนั้นเหรอ?” เอริคเกาคางพลางครุ่นคิดอีกครั้ง “แล้วหน่วย กองงานยุทธวิธีจัดระเบียบกำลังพิเศษแห่งมาตุภูมิ (ชีลด์) ว่าไง? ท่าทีของพวกเขาเป็นยังไง?”

“แน่นอนว่าต้องการกำจัดให้สิ้นซาก!” ก่อนที่เบลดจะได้ทันตอบ จู่ ๆ มันก็มีเสียงตอบกลับดังขึ้นมาจากนิค ฟิวรี่ที่เพิ่งโดนโยนออกไปเมื่อครู่ ตอนนี้เขาได้เดินกลับเข้ามาในห้องและนั่งบนโซฟาอย่างหน้าตาเฉย ขณะที่เอริคที่เพิ่งโยนเขาออกไปก็ไม่ได้แสดงทีท่าโกรธเคืองแต่อย่างใด

“เขาเป็นใคร?” เอริคถามด้วยความสงสัย

ฟิวรี่ส่ายหัวเล็กน้อย “คนใกล้ชิดของผู้อำนวยการ เอริค ฉันช่วยนายได้แค่นี้แหละ!”

“งั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนายแล้วกัน!” เอริคยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะพูดต่อว่า “เอาล่ะ มาคุยกันต่อว่าจะจัดการกับแวมไพร์ยังไง ฟิวรี่ นายส่งคนมาได้เท่าไหร่?”

“เจ้าหน้าที่สองหมื่นคน!”

“งบหน่วยงานนายเยอะไม่เบาเลยนะ” เอริคพึมพำ “แล้วพวกคนเบื้องบนล่ะ? จะจัดการยังไงกับพวกเขา?”

“ใคร? เบื้องบนอะไร? พวกเรากำลังจะต่อสู้กับแวมไพร์ต่างหาก!” ฟิวรี่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแฝงไปด้วยความเย็นชาในคำพูด

“แสดงว่าไม่มีข้อยกเว้นสินะ? ดีเลย!” เอริคพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “โอเค เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นความผิดของฉันเอง อุปกรณ์ทั้งหมดเป็นของ อลิซ อินดัสตรีส์ ฟิวรี่ นายช่วยฉันจัดหาวัสดุเงินบริสุทธิ์ให้หน่อยได้ไหม? เวลามีจำกัด ฉันกลัวว่าของในตลาดจะไม่พอ”

“ได้ แต่เงินนายจะต้องจ่ายเองนะ!”

“ไม่มีปัญหา! งั้นเราจะเริ่มทำการกวาดล้างในอีกยี่สิบวันแล้วกัน” เอริครู้ดีว่าตัวเองเป็นคนทำพลาด ดังนั้นเขาจึงจะต้องรับผลของมันที่ตามมา

“ทำไมต้องรอถึงยี่สิบวัน?” เบลดถามพร้อมกับขมวดคิ้ว เพราะเขารู้สึกว่าเวลามันนานเกินไป

“เพราะอีกยี่สิบวัน พระเจ้าจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับพวกแวมไพร์ยังไงล่ะ!” เอริคพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

โปรดติดตามตอนต่อไป …

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด