ตอนที่ 36 ไอ้สารเลวนี่กล้าเรียกฉันว่าเพื่อนได้ยังไง!
ตอนที่ 36 ไอ้สารเลวนี่กล้าเรียกฉันว่าเพื่อนได้ยังไง!
เมื่อเอริคกลับมาถึงนิวยอร์กอีกครั้งก็มีเพียงอิวาน แวนโก ที่ติดตามเขามาด้วย
ส่วนแอนตัน แวนโก ผู้เป็นพ่อของอิวานทั้งเอริคและอิวานก็อยากให้เขาเดินทางมาด้วยเช่นกัน แต่โชคร้ายที่เขาไม่สามารถมาได้ เนื่องจากเขามีประวัติความผิดฐานจารกรรม ดังนั้นจึงไม่มีประเทศไหนยินดีต้อนรับผู้ที่มีประวัติแบบนี้ แม้ว่าเอริคจะใช้เงินติดสินบนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แอนตันก็ยังถูกจับตามองในฐานะบุคคลเฝ้าระวังพิเศษ ซึ่งสถานการณ์แบบนี้จะไม่ส่งผลดีต่อใครทั้งสิ้น
ส่วนจักเกอร์นอทและแซมมี่ตัวน้อย เอริคได้ส่งพวกเขาไปที่ โรงเรียนเซเวียร์สำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ พร้อมกับกลุ่มเด็กใหม่กว่า 100 คน เพื่อฝากฝังพวกเขาไว้กับศาสตราจารย์เอ็กซ์
ในขณะเดียวกันทันทีที่กลับถึงบริษัท เอริคได้จัดประชุมฉุกเฉินและประกาศการตัดสินใจสำคัญ นั่นคือการจัดตั้งแผนกอวกาศ
การตัดสินใจครั้งนี้สร้างความตกตะลึงให้กับทุกคน มันเกิดอะไรขึ้น? บริษัทของเราสร้างทางรถไฟก็จริง และบางครั้งก็ขายครีมกันแดดบ้าง แต่จะให้มาสร้างยานอวกาศนี่มันก้าวกระโดดเกินไปหรือเปล่า? แล้วแบบนี้บริษัทเราจะไม่กลายเป็นเรื่องตลกหรอ?
ด้วยเหตุนี้เองหัวหน้าแผนกหลายคนจึงพยายามเข้ามาโน้มน้าวให้เอริคมุ่งความสนใจไปที่โครงการรถไฟแม็กเลฟก่อน แต่เอริคก็มีแผนการในใจของเขาเองเช่นกัน ทำให้ในวันนั้นเอง เอริคจึงได้จัดตั้งแผนกอวกาศ โดยแต่งตั้งอิวาน แวนโก เป็นหัวหน้าแผนก
ค้อนแห่งสกาดีเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ ถ้าหากไม่มีการดำเนินการวางแผนป้องกันเอาไว้ เอริครู้สึกว่าเขาคงไม่สามารถนอนหลับหรือกินข้าวได้อย่างสงบ ส่วนเหตุผลสำคัญที่เขาจัดตั้งแผนกนี้ขึ้นมาก็เพื่อเตรียมรับมือกับวิกฤตของคัล บอร์สัน
คัล บอร์สันนั้นเป็นเทพแห่งความกลัว ซึ่งสามารถเพิ่มพลังของตัวเองได้จากการดูดซับความหวาดกลัวของมนุษย์ ตราบใดที่ความกลัวยังมีอยู่ คัลจะมีกำลังไม่สิ้นสุด ในจักรวาลอัลติเมทมาร์เวลนั้น โอดินถึงขั้นวางแผนจะระเบิดโลกเพื่อกำจัดคัล ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เอริคจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด
ดังนั้นเขาจึงต้องหาวิธีรับมือ!
เอริคค้นพบว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าบางความถี่สามารถกระตุ้นต่อมพิทูอิทารีในสมองของมนุษย์และยับยั้งการผลิตฮอร์โมนที่เกี่ยวกับอารมณ์ได้ และเอริคก็กำลังเชี่ยวชาญในเทคนิคนี้มาก ดังนั้นในแผนการของเขาถ้าหากติดตั้งเครื่องกำเนิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าให้ครอบคลุมทั่วโลกได้ อารมณ์ของมนุษย์ก็จะถูกกดดันชั่วคราว และความหวาดกลัวจะถูกลบเลือนหายไป
ดังนั้นถ้าหากไม่มีความกลัว คัลก็จะไม่มีพลัง และเขาก็สามารถกำจัดอีกฝ่ายได้ในเวลาไม่นาน
แต่ทางเดียวที่จะติดตั้งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าครอบคลุมทั้งโลกได้ก็คือการใช้ดาวเทียม
. . .
ฤดูหนาวผ่านไป ฤดูใบไม้ผลิมาถึง เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และหนึ่งปีก็ผ่านไปในพริบตา
ตอนนี้คฤหาสน์ของเอริคในชานเมืองทางตอนใต้ของนิวยอร์กในที่สุดก็เสร็จสมบูรณ์ และเขาก็ย้ายเข้ามาอยู่ในคืนวันคริสต์มาสปี 1993
โครงการรถไฟแม็กเลฟ นิวยอร์ก-วอชิงตัน กำลังดำเนินไปอย่างคึกคัก การก่อสร้างเส้นทางนี้ได้สร้างงานนับแสนตำแหน่งให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ และช่วยลดปัญหาการว่างงานของเยาวชนชาวอเมริกันได้เป็นอย่างมาก
ประธานาธิบดีถึงกับพอใจจนสั่งเพิ่มอีกหนึ่งโครงการ นั่นคือเส้นทางจาก ชิคาโก-วอชิงตัน ความยาวรวม 1,100 กิโลเมตร พร้อมการลงทุนมหาศาลกว่า 8 หมื่นล้านดอลลาร์
ทำให้หุ้นของ อลิซ อินดัสตรีส์ พุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง ในขณะที่บริษัททางรถไฟของอเมริกาแทบลุกเป็นไฟ พวกเขาร่วมกันเขียนจดหมายร้องเรียนว่า อลิซ อินดัสตรีส์ ละเมิดกฎหมายป้องกันการผูกขาด
จากนั้นก็เริ่มมีการฟ้องร้องยืดเยื้อ แน่นอนว่าเอริคไม่สนใจเรื่องนี้ และมอบหมายให้เจนนิเฟอร์จัดการ แต่ถ้าหากเจนนิเฟอร์ยังจัดการไม่ได้อีก เขาก็เพียงแค่โทรหา นายพลรอสส์ ซึ่งมีเครือข่ายพอที่จะคลี่คลายปัญหาเหล่านี้ได้ ทั้งยังมีเหตุผลสนับสนุนเพียงพอ เพราะในหนึ่งปีที่ผ่านมา อลิซ อินดัสตรีส์ ช่วยให้เขาได้รับเงินสนับสนุนจากกระทรวงกลาโหมมากพอที่จะสร้างรถไฟแม็กเลฟยาว 1,000 กิโลเมตรได้เลยทีเดียว!
นอกจากนี้ แขนขาเทียมโลหะ ที่พัฒนาโดย สตาร์ค อินดัสตรีส์ และ อลิซ อินดัสตรีส์ ก็ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ และได้รับความสนใจอย่างล้นหลามในวันเปิดตัว ทำให้โทนี่ สตาร์ค ได้มีโอกาสออกมาแสดงความโอ้อวดของตัวเองอีกครั้ง
ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับความสนใจจากกองทัพเป็นอย่างมาก นายพลมากกว่าสิบคนเข้าร่วมงานแถลงข่าว หลังจากงานจบลง และได้สั่งซื้อผลิตภัณฑ์นี้ทันที แน่นอนว่าไม่ใช่แบบชิ้นต่อชิ้น แต่เป็นการสั่งซื้อแบบรายปี ภายในห้าปี โดยทหารทุกนายที่บาดเจ็บพิการเพื่อชาติจะได้รับอวัยวะเทียมโลหะฟรีและกลับมาปฏิบัติหน้าที่ได้อีกครั้ง ส่วนทหารที่ได้รับบาดเจ็บก่อนหน้านี้ก็สามารถยื่นขออวัยวะเทียมจากรัฐบาลได้ แต่ต้องรอเข้าคิว
ส่วนแผนกอาวุธของ อลิซ อินดัสตรีส์ ก็ก่อตั้งขึ้นมาสำเร็จแล้วเช่นกัน และอาวุธคลื่นเสียงก็ถูกพัฒนาขึ้นในเวลาเพียงครึ่งปี ถึงแม้ว่าจะล้มเหลวในการผลิต ‘ปืนคลื่นเสียง’ ที่วางแผนไว้เนื่องจากข้อจำกัดด้านพลังงานไฟฟ้า แต่กลับได้เป็น ‘รถคลื่นเสียง’ ที่ติดตั้งอาวุธคลื่นเสียงบนหลังคารถที่ดูเหมือนรถเรดาร์มาแทน
ทำให้เอริคที่เห็นต้นแบบรถคันนี้ เขาก็อดยิ้มเจื่อนไม่ได้ นี่มันเหมือนรถที่เคยพัดยักษ์เขียวปลิวไปไม่ใช่หรอ!
ในขณะเดียวกันโครงการพัฒนาปืนแม่เหล็กไฟฟ้าสำหรับทหารก็กำลังเผชิญกับปัญหาท้าทายที่สำคัญมากที่สุด . . .
พลังงาน!!
ปืนแม่เหล็กไฟฟ้าต้องการพลังงานไฟฟ้าจำนวนมหาศาล ถ้าหากจะนำมาใช้ในระดับบุคคล ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน พลังงานสามารถดึงได้จากแบตเตอรี่เท่านั้น แต่ขนาดของแบตเตอรี่ส่งผลโดยตรงต่อขนาดและน้ำหนักของอาวุธ ซึ่งเป็นเหมือน ‘ไม้กระดก’ ที่ต้องหาจุดสมดุลระหว่างสองด้าน ดังนั้นแผนกอาวุธจึงทำได้เพียงค่อย ๆ หาจุดสมดุลนี้ทีละเล็กทีละน้อย
ทำให้เอริคไม่อยากมานั่งปวดหัวเรื่องพลังงานในอนาคต เขาจึงตั้ง ‘แผนกพลังงาน’ ขึ้นมาทันที และแบ่งทีมงานออกเป็นสองกลุ่ม
กลุ่มแรกมุ่งเน้นพัฒนาแบตเตอรี่กราฟีน ด้วยเทคโนโลยีสำรองขั้นสูงที่มีอยู่แล้ว การพัฒนาผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปเป็นเพียงเรื่องของการทดลองซ้ำ ๆ เท่านั้น
กลุ่มที่สองนำโดย อิวาน แวนโก วิจัยเตาปฏิกรณ์อาร์คจากแปลนที่ซื้อจากแอนตัน
สำหรับเตาปฏิกรณ์อาร์คนั้น อิวานถึงขั้นลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าแผนกอวกาศและทุ่มเทให้กับการวิจัยทั้งหมด ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะโทนี่ สตาร์คให้ได้
ทำให้ตอนนี้กิจการของบริษัทจึงเริ่มเข้าสู่เส้นทางที่มั่นคงเรื่อย ๆ งานประจำวันของเอริคจึงมีเพียงการอ่านรายงาน เซ็นอนุมัติ และบางครั้งก็เข้าไปทำวิจัยในห้องทดลอง เรียกได้ว่าชีวิตของเขาในตอนนี้สะดวกสบายมาก แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่ายสุด ๆ
วันนี้เอริคนั่งอยู่ในออฟฟิศด้วยความเซื่องซึม ตรวจสอบรายงานใหม่จากฝ่ายการเงินตามปกติ แต่จู่ ๆ มันก็มีรายงานการขายชิ้นหนึ่งที่สะดุดตาเขา
ผลิตภัณฑ์ป้องกันรังสียูวี ซึ่งเป็นสินค้าที่แทบไม่มีประโยชน์อะไรเลย มียอดขายเพียงไม่กี่รายการตั้งแต่เปิดตัว ทำให้ยอดขายในช่วงหลายเดือนแรกยังไม่ถึง 10,000 ชิ้นด้วยซ้ำ และในจำนวนนี้ 80% ก็มาจากการสั่งซื้อของอเล็กซานเดอร์
แต่สิ่งที่แปลกประหลาดในตอนนี้ก็คือ ตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ยอดขายของสินค้าชิ้นนี้เริ่มพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ และในบางวันก็มียอดขายถึงหลักหมื่นชิ้น!
เกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าอเล็กซานเดอร์กำลังปั่นยอดขาย? แต่ปั่นแบบนี้แล้วเขาจะได้อะไร?
เอริคโทรหาเจนนิเฟอร์ เธอก็บอกไม่รู้
เอริคโทรหาผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน เธอก็บอกไม่รู้เช่นกัน
เอริคโทรหาผู้อำนวยการฝ่ายขาย เขาก็ไม่เข้าใจ
เอริคโทรถามทุกคนที่เขาจะถามได้แล้ว แต่พวกเขาก็ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเลยสักคน
ลองคิดดูสิ ในบริษัท อลิซ อินดัสตรีส์ ทั้งหมด จะมีใครสนใจสินค้าชิ้นนี้นอกจากตัวเขาเอง? เวลาที่พนักงานมี พวกเขาส่วนใหญ่ก็เอาไปเข้าพบสมาชิกสภาคองเกรสหรือวิ่งเต้นเพื่อโครงการรถไฟแม็กเลฟ ซึ่งให้ผลตอบแทนมากกว่า และถ้าหากปิดดีลได้สักหนึ่งสัญญา ชีวิตของพวเขาก็สบายไปทั้งชาติ
แน่นอนว่าเอริคก็เข้าใจในความ ‘ละเลย’ ของพนักงานและไม่ได้ตำหนิพวกเขา อย่างไรก็ตาม เขารู้ดีว่ายังไงเขาก็ต้องตรวจสอบเรื่องนี้ เพราะมันเกี่ยวข้องกับแผนการในอนาคตของเขาโดยตรง
แต่เขาจะตรวจสอบอย่างไรดี? สินค้าชิ้นนี้วางขายผ่านหลายช่องทาง ตั้งแต่เปิดตัวมันได้กระจายไปทั่วประเทศในยุโรปและอเมริกา ต่างจากบางประเทศที่การซื้อขายต้องใช้ชื่อจริง
“ท่านประธานคะ มีสุภาพบุรุษผิวดำสองคนมาหาบอกว่าพวกเขาเป็นเพื่อนของคุณค่ะ”
เสียงโทรศัพท์จากแผนกต้อนรับดังขัดจังหวะความคิดของเอริค เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและปล่อยสนามแม่เหล็กเพื่อตรวจสอบด้านล่างทันที
“เพื่อนผิวดำ? นิค ฟิวรี่! เจ้าหมอนี่กล้าพูดว่าเป็นเพื่อนฉันเนี่ยนะ? ไม่รู้สึกผิดในใจบ้างหรือไง? อืม . . . แล้วอีกคนคือใครกัน?”
โปรดติดตามตอนต่อไป …