บทที่ 41 พลังของโจนินระดับยอดฝีมือ
ในฐานะนักรบ การรับรู้ความเคลื่อนไหวของศัตรูไม่ได้ใช้แค่การมองด้วยตาเท่านั้น ทั้งลม ลมหายใจ เสียง กลิ่น รวมถึงกลิ่นอายสังหาร ล้วนสามารถใช้บ่งบอกตำแหน่งของคนได้
แม้จะหลับตา หลี่ชวนก็ยังสามารถต่อสู้ได้ด้วยร่างกายที่เหนือกว่าคนทั่วไปและประสบการณ์อันมากมาย
วิชาสังหารไร้เสียงของซาบุซะนั้นร้ายกาจจริง แทบจะเคลื่อนไหวในหมอกหนาโดยไม่มีเสียงใดๆ แต่ก็ยังหนีการรับรู้ของหลี่ชวนไม่พ้น
"เคร้ง!"
เมื่อเจอไม้เท้าที่ไม่คาดคิด ซาบุซะขมวดคิ้ว รีบเปลี่ยนทิศทางคุไนที่กำลังจะแทงทาซึนะ มารับกับไม้เท้าที่พุ่งตรงมาที่หน้าอกด้วยพลังมหาศาล
"พลังมหาศาลจริงๆ!"
เมื่อคุไนปะทะกับไม้เท้า สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที รีบถอยหลังเพื่อผ่อนแรงที่ส่งมาจากไม้เท้า
ไม้เท้านั้นเป็นอาวุธหนักอยู่แล้ว และไม้เท้าในมือหลี่ชวนเล่มนี้ยิ่งเป็นของที่เขาสั่งให้กิโนะจ้างคนทำพิเศษ มีน้ำหนักมากกว่าไม้เท้าทั่วไปถึงสองเท่า
ถ้าตอนนี้ซาบุซะถือดาบคุบิคิริโบโชอยู่ก็คงรับมือได้ แต่ถือแค่คุไนที่เหมือนมีดสั้นๆ ย่อมไม่สามารถรับแรงปะทะได้
ยิ่งไปกว่านั้น ตัวหลี่ชวนเองในฐานะนักรบ ก็มีพละกำลังร่างกายที่แข็งแกร่งมาก เมื่อรวมกับจักระของตระกูลเซียนที่เพิ่มพลังร่างกาย และการใช้เทคนิคพิเศษในการออกแรง
เมื่อไม้เท้าพุ่งเข้าใส่ ถ้าซาบุซะไม่ได้มีประสบการณ์มากพอที่จะถอยได้เร็ว แล้วเลือกที่จะรับการปะทะ ตอนนี้ข้อมือคงหักไปแล้ว
จนถึงตอนนี้ ซาบุซะถึงได้เริ่มให้ความสำคัญกับหลี่ชวนอย่างจริงจัง
ในโลกของนินจา ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญมาก ดังนั้นนินจาที่เก่งๆ ส่วนใหญ่จะมีข้อมูลอยู่ในคู่มือนินจาของหมู่บ้านต่างๆ
ดังนั้นแม้ซาบุซะและคาคาชิจะเพิ่งเจอกันครั้งแรก ก็สามารถจำแลรู้ข้อมูลคร่าวๆ ของอีกฝ่ายได้ทันที
เช่นเดียวกัน หากเป็นนินจาที่ไม่มีข้อมูลในคู่มือ โดยทั่วไปพลังก็จะไม่แข็งแกร่งนัก อย่างน้อยในสายตาของโจนินระดับยอดฝีมืออย่างซาบุซะ ก็ไม่จำเป็นต้องระวังมากนัก
แต่ซาบุซะคาดไม่ถึงว่า เมื่อ 8 เดือนก่อนหลี่ชวนยังเป็นเจ้าชายแคว้นไฟ หลังจากนั้นที่กลายเป็นนินจาก็อยู่แต่ในวัดแห่งไฟ นอกจากคนในวัดแล้วไม่มีใครรู้พลังที่แท้จริงของหลี่ชวน
แม้แต่จิริคุ ที่จริงก็ไม่รู้พลังที่แท้จริงของหลี่ชวน
เพราะวิชานินจาที่ไม่ใช่ของแคว้นไฟที่หลี่ชวนแอบเรียนรู้มา แทบจะไม่เคยแสดงต่อหน้าจิริคุเลย เขาฝึกฝนเองลับๆ
กลเม็ดการฆ่าและท่าสังหารของนักรบบางอย่าง ก็ไม่เคยใช้ในการฝึกกับจิริคุ
คนเราต้องเก็บไพ่เด็ดไว้บ้าง ไม่เช่นนั้นถ้าข้อมูลทั้งหมดถูกคู่ต่อสู้รู้หมด ในการต่อสู้จะตกเป็นรองได้ง่าย
"สมแล้วที่เป็นโจนินระดับยอดฝีมือ!"
หลี่ชวนหันมามองซาบุซะที่ถอยหลัง อดชมออกมาไม่ได้
เมื่อครู่ซาบุซะใช้วิชาสังหารไร้เสียงลอบโจมตีทาซึนะ และเขาฉวยโอกาสตอนที่อีกฝ่ายดูถูกตน สนใจคาคาชิเป็นหลัก หันมาโต้กลับ ก็เป็นการโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัวเช่นกัน
แต่ถึงอย่างนั้น ซาบุซะก็ยังสามารถตอบสนองได้ทันท่วงที และหลบการโจมตีครั้งนี้ได้โดยไม่บาดเจ็บด้วยการถอยหลังผ่อนแรง
"เร็วจริงๆ!"
เพิ่งจะชมความเชี่ยวชาญของซาบุซะจบ ต่อมาเขาก็เห็นคาคาชิฉวยจังหวะ ปรากฏตัวด้านหลังซาบุซะที่กำลังถอย แทงคุไนเข้าที่เอวของซาบุซะอย่างไร้เสียง
"ฟุบ!"
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ ซาบุซะที่ถูกแทงที่เอวกลับกลายเป็นน้ำหล่นลงพื้นในทันที
และด้านหลังคาคาชิ ก็ปรากฏซาบุซะอีกคน
"ฟุบ!":
เสียงเดียวกันดังขึ้นอีกครั้ง คาคาชิก็กลายเป็นน้ำ และที่คอของซาบุซะก็มีคุไนจ่ออยู่
"เกิดอะไรขึ้นกันแน่?"
นารุโตะและอีกสองคนยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ตั้งแต่ซาบุซะลอบโจมตีทาซึนะ จนถึงตอนนี้ที่คาคาชิเอาคุไนจ่อคอซาบุซะ ดูเหมือนจะผ่านไปนาน แต่จริงๆ แล้วก็แค่หนึ่งถึงสองวินาทีเท่านั้น
"เมื่อกี้ตอนที่ผมบังคับให้ซาบุซะถอย เขาก็ใช้วิชาร่างน้ำแล้ว ซ่อนตัวจริงไว้ในหมอกหนา
ส่วนคาคาชิก็ลอกเลียนวิชานินจาของเขาตอนที่ซาบุซะใช้วิชาร่างแยก เช่นเดียวกันก็ซ่อนตัวจริงไว้ในหมอกหนา
ดังนั้นที่จริงแล้ว เมื่อกี้เป็นการต่อสู้ของร่างน้ำทั้งคู่!"
หลี่ชวนอธิบายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
การเคลื่อนไหวของทั้งสองคนแม้เขาจะมองเห็นได้ด้วยสายตา แต่ด้วยความชำนาญในวิชานินจาของเขา ยังทำไม่ได้เหมือนพวกเขาที่ใช้ร่างแยกแทนตัวจริงได้ในชั่วพริบตา
พูดตามตรง แค่ศัตรูที่มีสายตาแย่กว่านี้หน่อยเจอกับสองคนนี้ อาจจะโดนร่างแยกของพวกเขาจัดการตั้งแต่รอบแรกแล้ว
"สายตาของแกไม่เลว และนินจาจอมลอกเลียนคาคาชิก็สมกับชื่อเสียง ที่มองทะลุและลอกเลียนวิชานินจาของฉันได้เร็วขนาดนั้น แต่แค่นี้ล่ะ!"
จู่ๆ ก็มีร่างหนึ่งปรากฏในหมอกหนา แล้วพุ่งเข้าโจมตีด้านหลังคาคาชิ
ที่แท้ ซาบุซะที่โดนคาคาชิจ่อคอก็ยังเป็นร่างน้ำ ส่วนตัวจริงของซาบุซะซ่อนตัวในหมอกหนามาตลอดไม่ได้ออกมา
เพราะเนตรวงแหวน คาคาชิถูกจำกัดจักระส่วนใหญ่ไว้ ปริมาณจักระที่ใช้ได้มีน้อย และวิชาร่างแยกต้องแบ่งจักระออกครึ่งทุกครั้ง
ดังนั้นการใช้วิชาร่างแยก คาคาชิจึงต้องระมัดระวังมาก
ต่างจากวิชาแยกเงาพันร่าง ถ้าเป็นวิชาแยกเงาพันร่าง คาคาชิก็แยกได้เป็นร้อยร่าง แต่อย่างที่เขาบอกเอง ใช้แค่ขู่คนได้เท่านั้น
วิชาแยกเงาพันร่างเป็นการแบ่งจักระในร่างเท่าๆ กัน สมมติว่าคาคาชิมีจักระ 100 เมื่อแยกร่างเป็น 100 ร่าง ร่างจริงและร่างแยกจะมีจักระแค่ 1 ดูได้ แต่สู้คงไม่ได้แล้ว
แต่ถ้าเขาใช้วิชาร่างแยกแยกออกมาหนึ่งร่าง ร่างแยกก็จะมี 50 ร่างจริงก็ 50 พลังต่อสู้ก็จะไม่อ่อนแอ แยกอีกร่าง ร่างแยก 25 ร่างจริง 25 ก็ยังพอได้
แต่ถ้าแยกต่อไปอีก ก็จะทำให้พลังต่อสู้ของร่างจริงอ่อนแอเกินไป
ดังนั้นวิชาแยกเงาพันร่างจึงเหมาะกับคนที่มีจักระในร่างกายมากๆ เช่น นารุโตะที่มีจักระล้นเหลือ แม้จะแยกร่างออกไปเป็นสิบเป็นร้อน แต่ละร่างก็ยังมีจักระมากอยู่ดี
แม้ซาบุซะจะเป็นโจนินระดับยอดฝีมือเหมือนคาคาชิ แต่ไม่ได้มีภาระจากเนตรวงแหวน จักระในร่างกายก็เป็นระดับปกติของโจนินระดับยอดฝีมือ แยกร่างออกมาหลายร่างก็ไม่กระทบพลังมากนัก
ขณะนั้นหลี่ชวนยกไม้เท้าในมือขึ้นแล้วก็วางลง
เมื่อร่างจริงของซาบุซะไม่เคลื่อนไหว มีหมอกปกปิด เขาก็รับรู้ไม่ได้เช่นกัน แต่เมื่อซาบุซะพุ่งเข้าหาคาคาชิ กระแสลมเล็กๆ ที่ร่างกายพาไป ก็เพียงพอให้เขาหยั่งรู้ตำแหน่งของซาบุซะได้แล้ว
ถ้าตอนนี้เขาขว้างไม้เท้าในมือออกไป ก็สามารถขัดขวางการโจมตีของซาบุซะได้ทันที แต่คิดดูแล้วเขาก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น
เพราะมันไม่เข้ากับแผนการที่เขาวางไว้ตั้งแต่แรก
ยังไงด้วยฝีมือของคาคาชิ คงไม่ถึงขั้นถูกซาบุซะกำจัดง่ายๆ แบบนี้หรอก
(จบบทที่ 41)