บทที่ 16 เริ่มก่อน
ตำหนักปลูกฝัง มีผู้อาวุโสทั้งหมด 3 คน ผู้ตรวจการณ์ 8 คน และศิษย์ 77 คน เป็นตำหนักที่อ่อนแอที่สุดในสำนักตันซินเหมิน
การประเมินครั้งใหญ่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของตำหนัก ดังนั้นตำหนักปลูกฝังไม่จำเป็นต้องวัดระดับพลัง แต่ต้องวัดจากผลผลิต
"ข้าศิษย์ตำหนักปลูกฝัง หยางซิ่ว ปีนี้ข้าปลูก สมุนไพรหัวใจทรหด ได้ทั้งหมด 20 ต้น"
ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมากลางสนามฝึกและพูดเสียงดัง
"ได้บันทึกไว้แล้ว"
ลวี่หลัวพยักหน้าเบาๆ
"ผ่าน"
ลู่หงพยักหน้าเช่นกัน
หยางซิ่วถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะกลับไปยังกลุ่มศิษย์ จากนั้นเป็นคิวของศิษย์คนถัดไป
ศิษย์ทั้ง 77 คนทยอยรายงานผลผลิตของตัวเอง ปีนี้มีถึง 17 คนที่ทำไม่ผ่านเกณฑ์ แต่ละคนหน้าแดงด้วยความอับอาย
พวกเขาถูกลู่หงตำหนิอย่างรุนแรงต่อหน้าทุกคน และถูกหักเงินเดือน 3 เดือน
จากนั้นก็ถึงคิวของผู้ตรวจการณ์ทั้ง 8 คนและผู้อาวุโสทั้ง 3 คน พวกเขารายงานผลสำเร็จในปีนี้จนเสร็จสิ้น
เมื่อการประเมินของตำหนักปลูกฝังจบลง ก็ถึงคิวของ ตำหนักกฎระเบียบ
หลังจากตำหนักกฎระเบียบรายงานผลงานของปีนี้เสร็จ ก็ถึงคราวของ ตำหนักเสี่ยวจ้าน ทันใดนั้น บรรยากาศที่ดูซบเซาก็กลับมาคึกคักขึ้นทันที
ตำหนักเสี่ยวจ้าน ต้องวัดจากระดับพลัง
ในสำนักตันซินเหมิน มีกฎที่เข้มงวดมากข้อหนึ่งคือ การจะเข้าตำหนักเสี่ยวจ้านได้ ระดับพลังขั้นต่ำต้องอยู่ที่ ขอบเขตปรานกำลังขั้นที่ 7 ขึ้นไป เพื่อไม่ให้เสียชื่อเสียงของสำนักเวลาออกไปปฏิบัติหน้าที่
ด้วยเหตุนี้ ตำหนักเสี่ยวจ้านจึงมีชื่อเสียงในด้านพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนัก แม้แต่ตำหนักชิงมู่ก็ยังเทียบไม่ได้
เหล่านักรบผู้เก่งกาจแทบทั้งหมดในสำนัก ล้วนมารวมตัวกันที่ตำหนักเสี่ยวจ้าน เมื่อการประเมินเริ่มขึ้น บรรยากาศในสนามฝึกก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและเร่าร้อน
"ผู้อาวุโสตำหนักเสี่ยวจ้าน ทุกคนเตรียมพร้อม!"
จ้านเฟิง ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน พร้อมเปล่งเสียงดัง "สู้!"
ทันใดนั้น ผู้อาวุโสทั้งแปดคนของตำหนักเสี่ยวจ้านก็ตะโกนตอบรับด้วยเสียงดังกึกก้องราวกับเสียงกลอง "สู้!"
ถัดมาคือเสียงตอบรับจากผู้ตรวจการณ์ทั้งสามสิบคน "สู้!"
และสุดท้าย ศิษย์ทั้งแปดสิบคนของตำหนักเสี่ยวจ้านตะโกนพร้อมกัน "สู้!"
เมื่อเสียงทั้งหมดรวมตัวกัน กลายเป็นคลื่นเสียงที่ดังก้องราวกับพายุทะเล ซัดกระหน่ำไปทั่วสนามฝึก
"ช่างเป็นพลังที่แข็งแกร่งอะไรเช่นนี้!"
"นี่คือเหล่ายอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักตันซินเหมินของเรา…"
"พวกเขาใช้ชีวิตต่อสู้ภายนอกมาหลายปี คอยแก้ไขความขัดแย้งและการต่อสู้ต่างๆ แต่ละคนล้วนผ่านสมรภูมิและมีสัญชาตญาณการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม"
หนิงเยว่พูดอธิบายให้โจวหลิงอวิ้นฟัง
"แต่พวกเขาก็ยังไม่เก่งเท่าพี่หนิงอยู่ดี"
โจวหลิงอวิ้นยิ้มบางๆ พร้อมกล่าว
ผู้ตรวจการณ์หลายคนจากตำหนักชิงมู่ที่อยู่ใกล้ๆ เหลือบมองมาที่นางด้วยสายตาประหลาด ก่อนจะมองหนิงเยว่ด้วยท่าทีครุ่นคิด
หนิงเยว่ยิ้มโดยไม่พูดอะไร แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาอาจจะเขินอายกับคำชมเช่นนี้ แต่ตอนนี้เขายอมรับมันอย่างเปิดเผย
เพราะเป็นความจริง เหล่าอัจฉริยะในตำหนักเสี่ยวจ้าน ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ ผู้ตรวจการณ์ หรือแม้แต่ผู้อาวุโส ก็ไม่อาจต้านทานเขาได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว
ยกเว้นเพียงคนเดียว...
สายตาของหนิงเยว่จ้องไปที่ จ้านเฟิง หัวหน้าตำหนักเสี่ยวจ้าน
"มีเพียงเขาคนนี้เท่านั้น ที่ข้าไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะได้"
ช่องว่างระหว่าง ขอบเขตพลังปรานกำลัง และ ขอบเขตพลังปราณเทพเคล็ดวิชา นั้นใหญ่มาก
การขาด พลังปราณเทพเคล็ดวิชา เปรียบเสมือนการขาดวิชาที่จะใช้ตอบโต้ศัตรู แม้จะมีวิชาการต่อสู้ที่แข็งแกร่งเพียงใด ก็ยังด้อยกว่า พลังปราณเทพเคล็ดวิชา ซึ่งสามารถเติบโตไปพร้อมกับระดับพลังของผู้ใช้ได้
การประเมินของตำหนักเสี่ยวจ้านดำเนินต่อไป การประเมินครั้งนี้ แท้จริงแล้วเป็นการแสดงศักยภาพในสนามประลองเสียมากกว่า!
ศิษย์ตำหนักเสี่ยวจ้านกว่า 80 คน ล้วนเป็นยอดฝีมือในระดับ ขอบเขตพลังปรานกำลังขั้นที่ 7 ขึ้นไป โดยมีอยู่ 3-4 คนที่ถึงขั้น ขอบเขตพลังปรานกำลังขั้นที่ 10 สูงสุด
ระดับพลังเช่นนี้ แม้แต่ผู้อาวุโสหลายคนที่อยู่ในสนามก็ยังเทียบไม่ติด หนิงเยว่เองก็รู้จักศิษย์เหล่านี้มาก่อน แต่ไม่เคยมีโอกาสได้ใกล้ชิดกัน
เพราะแม้แต่คนอย่างหลี่ชุนที่คอยดูถูกคนอื่นอยู่ตลอด ศิษย์เหล่านี้ก็ยังไม่สนใจ แล้วหนิงเยว่ที่ถูกมองว่าเป็นเพียง "คนไร้ค่าในขั้นที่ 1" จะอยู่ในสายตาพวกเขาได้อย่างไร?
หนึ่งชั่วยามผ่านไป การประเมินของตำหนักเสี่ยวจ้านจบลง ทุกคนผ่านเกณฑ์!
สายตาของผู้คนในสนามต่างจับจ้องมาที่ ตำหนักชิงมู่
หลี่ชุนที่คอยแอบสังเกตหนิงเยว่ตลอดเริ่มรู้สึกตื่นเต้น ในไม่ช้า เขาก็จะได้เห็นหนิงเยว่ขายหน้าต่อหน้าผู้คน!
ผู้อาวุโสจากตำหนักชิงมู่ นำโดย อู๋จื้อเว่ย ขึ้นไปประลองการประเมินก่อน
ตำหนักชิงมู่ วัดจาก วิชาปรุงโอสถ ความน่าสนใจไม่ได้ด้อยไปกว่าการประลองของตำหนักเสี่ยวจ้านเลย
ศิษย์สำนักตันซินเหมินต่างจ้องมองด้วยความตั้งใจ
อู๋จื้อเว่ยเลือกปรุงโอสถ หู๋กู่ตัน (โอสถเสริมกระดูกเสือ) ซึ่งมีคุณสมบัติเหมือนกับโอสถโลหิตฟื้นพลัง เป็นยาในระดับ ขั้นที่ 1 ของระดับเหลือง ซึ่งเป็นขั้นที่พื้นฐานที่สุด
คุณสมบัติของมันช่วยเสริมความแข็งแกร่งของกระดูก และเมื่อใช้ร่วมกับโอสถโลหิตฟื้นพลัง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการฝึกฝน
ผลสุดท้าย อู๋จื้อเว่ยปรุงได้ 3 เม็ด ผ่านการประเมิน
ถัดมาคือหลี่หมิงเย่ เขาเลือกปรุง โอสถโลหิตฟื้นพลัง และปรุงได้ 4 เม็ด ซึ่งผ่านเกณฑ์เช่นกัน
หลังจากผู้อาวุโสประลองกันเสร็จ ก็ถึงคราวของผู้ตรวจการณ์
ตำหนักชิงมู่ มีจำนวนผู้ตรวจการณ์น้อยกว่าตำหนักปลูกฝัง โดยมีเพียง 4 คนเท่านั้น เพราะคนที่มีพรสวรรค์ด้านการปรุงโอสถนั้นหาได้ยาก
อย่างไรก็ตาม ผู้ตรวจการณ์ของตำหนักชิงมู่ได้รับการปฏิบัติที่ดีที่สุดในสำนักตันซินเหมิน!
ในตำหนักชิงมู่ ผู้ตรวจการณ์แต่ละคนจะได้รับ วัตถุดิบปรุงโอสถโลหิตฟื้นพลัง จำนวน 10 ชุด และ โอสถโลหิตฟื้นพลัง 5 เม็ดทุกเดือน โดยหลังจากปรุงโอสถเสร็จ พวกเขาจะต้องส่งคืนให้สำนัก 30% และสามารถเก็บส่วนที่เหลืออีก 70% ไว้ใช้เอง
"พวกเจ้าสี่คน ใครจะขึ้นก่อน?"
หลี่หมิงเย่กวาดตามองหนิงเยว่และผู้ตรวจการณ์คนอื่นๆ ก่อนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
"ให้ผู้ตรวจการณ์หนิงขึ้นก่อนดีไหม? ช่วงนี้ในสำนักมีข่าวลือมากมายที่ตั้งคำถามถึงตัวเขา วันนี้เป็นโอกาสดีที่ผู้ตรวจการณ์หนิงจะได้แสดงฝีมือ ลบคำครหาเหล่านั้น"
หลี่ชุนพูดขึ้นก่อนทันที
ผู้ตรวจการณ์อีกสามคน เมื่อเห็นเช่นนั้นก็เข้าใจเจตนาของหลี่ชุนและหลี่หมิงเย่ พวกเขาไม่อยากมีปัญหา จึงพยักหน้าเบาๆ พร้อมพูดว่า
"งั้นให้ผู้ตรวจการณ์หนิงขึ้นก่อนเถอะ"
"ข้าไม่รีบ"
"เชิญผู้ตรวจการณ์หนิงก่อนเลย"
ที่ฝั่งตำหนักเสี่ยวจ้าน มีชายหญิงหนุ่มสาวสี่คนยืนรวมกลุ่มกันอยู่ พวกเขาคือ ดาวเด่นแห่งคนรุ่นใหม่ของสำนักตันซินเหมิน ล้วนอยู่ในระดับ ขอบเขตพลังปรานกำลังขั้นที่ 10 และใกล้จะบรรลุ ระดับพลังปราณเทพเคล็ดวิชา
หากพวกเขาบรรลุสำเร็จ ตำแหน่งและอิทธิพลในสำนักก็จะไม่ต่างจากผู้อาวุโสอย่างเฟิงลี่เคิง และด้วยความที่ยังหนุ่มสาว อนาคตของพวกเขาอาจรุ่งเรืองยิ่งกว่าด้วยซ้ำ
"นั่นคือลูกชายของผู้ตรวจการณ์หนิงอู๋ซวง หนิงเยว่ ใช่ไหม?"
ฉู่ซวิ่น มองหนิงเยว่ครู่หนึ่งก่อนหันไปถามเพื่อนอีกสามคน
"ใช่ เขานั่นแหละ หลังจากที่หนิงอู๋ซวงเสียชีวิตเพราะบาดเจ็บสาหัส ตำแหน่งผู้ตรวจการณ์ก็ตกทอดมาถึงเขา นี่เป็นกฎที่ปฏิบัติกันในสำนักตันซินเหมินมาโดยตลอด แต่..."
ชายหนุ่มอีกคนที่ชื่อ ต้วนเทียนอิง ซึ่งมีอายุไล่เลี่ยกับหนิงเยว่ แต่บรรลุระดับ ขอบเขตพลังปรานกำลังขั้นที่ 10 แล้ว ส่ายหัวเล็กน้อยพร้อมแสดงความไม่เห็นด้วยในน้ำเสียง
"แต่ว่า หากเขาสอบไม่ผ่านตำแหน่งผู้ตรวจการณ์นี้คงต้องถูกปลด และเขาจะตกเป็นเพียงศิษย์ธรรมดา ซึ่งแม้แต่ในตำหนักชิงมู่ก็อาจไม่มีที่สำหรับเขาอีกต่อไป"
หญิงสาวหน้าตาเย็นชากล่าวอย่างเย้ยหยัน นางชื่อ หลี่อวี้ซวง เป็นลูกพี่ลูกน้องของหลี่ชุน
"ข้ารู้ว่าเจ้ามีแผนให้หลี่ชุนได้ตำแหน่งผู้ตรวจการณ์ วันนี้หลังการประเมินเสร็จ เขาคงจะได้สมใจแล้ว"
ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าซื่อๆ ชื่อ หยางเชียนโม่ เอ่ยพลางหัวเราะ เขาคือผู้ที่มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม แต่ด้วยอายุที่มากกว่าคนอื่นในกลุ่ม เขาอายุถึง 25 ปีแล้ว
"ฟ้าลิขิตมีธรรม ผู้ที่มีคุณธรรมเท่านั้นจึงคู่ควร"
หลี่อวี้ซวงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ในขณะนั้นเอง หนิงเยว่ซึ่งถูกจับจ้องด้วยสายตาหลายคู่ ยิ้มเล็กน้อย
"ในเมื่อทุกคนให้ข้าขึ้นก่อน เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว"
พูดจบ เขาก็เดินขึ้นไปยืนกลางสนามฝึก
สายตาของลู่หงแฝงด้วยความสงสัย เขาเองก็อยากรู้ว่าหนิงเยว่จะมีฝีมือในด้านปรุงโอสถเพียงใด
"หนิงเยว่ เจ้าจะปรุงโอสถอะไร?"
อู๋จื้อเว่ย ถามขึ้น
"โอสถโลหิตฟื้นพลังแล้วกัน"
หนิงเยว่ยิ้มบางๆ
"ได้"
อู๋จื้อเว่ยพยักหน้า ก่อนจะสั่งให้นำวัตถุดิบสำหรับปรุงโอสถโลหิตฟื้นพลังสามชุดพร้อมเตาหลอมมาส่งให้
ในขณะนั้นเอง มู่หรงหวง ซึ่งเพิ่งออกจากการปิดด่าน เดินมาถึงพอดี เขาเห็นหนิงเยว่กำลังยื
นอยู่กลางสนามฝึกก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อย
"หนิงเยว่ สู้เขานะ!"
มู่หรงหวงกำหมัดแน่นด้วยความตื่นเต้น เขาเพิ่งบรรลุระดับใหม่ได้สำเร็จจากการใช้โอสถโลหิตฟื้นพลังที่หนิงเยว่ให้!