บทที่ 14 ลงเขา
“สิบห้าวันก่อน เสวี่ยโม่ไป๋ ผู้อาวุโสสำนักคัมภีร์สวรรค์แห่งต้าเจ๋อ ถูกสังหารที่เมืองอิงตู กล่าวกันว่าเขาผู้ที่ได้รับสมญานามกระบี่ไวไร้เทียมทาน สิ้นใจในขณะที่กระบี่ของเขาพึ่งจะถูกชักออกมาได้เพียงครึ่งเล่ม หัวก็ลอยกระเด็นออกไปนอกหน้าต่างแล้ว”
“สิบสองวันก่อน คุณชายกระบี่มารจากเมืองจี๋โม่ มุ่งหน้าไปยังหมู่ตึกกระบี่เลื่องชื่อเพื่อแสวงหากระบี่ เมื่อรถม้าถึงหมู่ตึกกระบี่เลื่องชื่อ ในรถกลับมีเพียงศพอันเย็นเฉียบ ขณะที่สารถีอ้างว่าตลอดเส้นทางไม่มีผู้ใดเข้าใกล้รถม้าเลย”
“สิบวันก่อน ชายชุดครามบุตรชายคนโตของตระกูลเซี่ย ถูกกล่าวหาว่าแอบฝึกฝนวิชาพรรคมาร ในระหว่างที่ถูกนำตัวไปกักขังที่จวนสกุลหวัง เขากลับถูกลักพาตัวไปกลางทาง และจนถึงบัดนี้ยังคงไร้ร่องรอย”
“เจ็ดวันก่อน ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งหมู่ตึกธารสวรรค์ กู่ซิงซือครบกำหนดออกจากการปิดด่านบำเพ็ญเพียรหลังผ่านไปร้อยวัน แต่เมื่อบุตรชายของเขาเปิดประตูห้องลับ กลับพบว่าภายในห้องว่างเปล่า ทิ้งไว้เพียงกระบี่ธารสารท อาวุธคู่กายของกู่ซิงซือ แต่กระบี่นั้นกลับหักสะบั้น”
“สองวันก่อน ช่างหลอมอันดับหนึ่งแห่งตระกูลตงฟาง หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเจียงหนาน ตงฟางเยี่ยนสิง ถูกพบเป็นศพภายในเตาหลอมกระบี่ของตนเอง มือเท้าทั้งสี่ข้างถูกตัดขาดอย่างเหี้ยมโหด”
“และเมื่อวาน สำนักเมฆาสางสวรรค์ปิดประตูเงียบสนิท ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น”
ชายวัยกลางคนที่ถือม้วนคัมภีร์ในมือ ใบหน้าฉายแววจริงจังนั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือ เบื้องหลังมีม้วนภาพขนาดใหญ่ที่มีตัวอักษรสี่ตัวเขียนไว้ว่า “ทะเลแห่งปัญญาไร้สิ้นสุด” เขามองไปยังศิษย์น้องสองคนเบื้องหน้า ก่อนจะกระแทกม้วนคัมภีร์ลงบนโต๊ะอย่างแรง
“ยุทธภพเกิดเหตุการณ์ใหญ่โตเพียงนี้ แต่พวกเจ้ากลับมายังที่นี่เพื่อพยายามหลอกข้าด้วยความกลัวว่าจะถูกศิษย์น้องหญิงตำหนิหรือ?”
โจวเจิ้งและหลี่ไว่ก้มหน้าด้วยท่าทางเหมือนถูกอบรม ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขาไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นหลี่เหยียนชี วีรชนลำดับสามแห่งสำนักศึกษา ภายใต้สายตาของศิษย์พี่คนนี้ โจวเจิ้งและหลี่ไว่กลับกลายเป็นดั่งศิษย์สามัญทั่วไป มิกล้าสบตา เกรงว่าหากเผลอสบตาเข้ายังไม่ทันพูดจบ ท้องฟ้าก็คงเปลี่ยนสีเสียแล้ว
โจวเจิ้งขมวดคิ้ว มองหลี่ไว่ด้วยสายตาประหลาดใจพลางเอ่ยถาม “เหตุการณ์เหล่านี้ เหตุใดพวกเราไม่รู้เลย?”
“ข่าวจากฝั่งผีเสื้อวายุพึ่งถูกปลดผนึก ข้าเองก็เพิ่งทราบข่าวเมื่อครู่ พวกเราอยู่บนเขาทุกวันย่อมไม่ล่วงรู้ แต่ยุทธภพกลับร่ำลือกันไปทั่ว ศิษย์น้องหญิงเพิ่งกลับมาจากใต้เขา นางย่อมต้องทราบข่าวเหล่านี้อยู่แล้ว” ชายวัยกลางคนวางม้วนคัมภีร์ในมือลง “และมีข่าวลือว่านี่เป็นฝีมือของลัทธิมรรคาสวรรค์”
“พรรคมารงั้นหรือ?” โจวเจิ้งกล่าวพร้อมยักไหล่ “พรรคมารนี่ช่างเป็นประโยชน์นัก อะไรที่เลวร้ายก็โยนความผิดให้พวกมันหมด”
“สามสำนักใหญ่แห่งต้าเจ๋อ อันได้แก่ สำนักเมฆาสางสวรรค์ สำนักคัมภีร์สวรรค์ และหมู่ตึกธารสวรรค์ รวมถึงสี่ตระกูลใหญ่แห่งเจียงหนาน ตระกูลหวัง เซี่ย ลู่ และตงฟาง รวมถึงเมืองจี๋โม่ ล้วนเป็นผู้เข้าร่วมพันธมิตรแห่งเหวยหลงเมื่อปีนั้น หลังจากพันธมิตรเหวยหลงถูกก่อตั้งขึ้น พวกเขาก็โค่นล้มลัทธิมรรคาสวรรค์จนเหลือรอดเพียงหยิบมือเดียว ว่ากันว่าลัทธินั้นยังคงวางแผนการแก้แค้น และบัดนี้ผู้ที่เคยร่วมพันธมิตรเหวยหลงต่างก็ถูกลอบสังหาร จะไม่ให้สงสัยว่าเป็นฝีมือลัทธิมรรคาสวรรค์ได้อย่างไร?”
หลี่ไว่พยักหน้า “เรื่องนี้ยุ่งยากเสียแล้ว”
“ตั้งแต่เจ้าหอหมอกพิรุณอย่างเซี่ยคั่นฮวาปรากฏตัวอีกครั้ง จนถึงการหวนคืนยุทธภพของลัทธิมรรคาสวรรค์เพื่อตั้งสร้างความวุ่นวาย เช่นนี้ศิษย์น้องหญิง...” โจวเจิ้งถอนหายใจ “เกรงว่าจะห้ามนางไม่ไหว”
“เรื่องเมื่อปีนั้นซับซ้อนยิ่งนัก ความจริงยังคงเป็นปริศนา ศิษย์น้องหญิงใฝ่ฝันที่จะคลี่คลายเรื่องนี้มาตลอด และนี่คงเป็นโอกาสที่ดีที่สุด เจ้าคิดว่านางจะปล่อยไปง่ายๆ หรือ?” หลี่เหยียนชีลูบปลายคางของตนซึ่งไร้เครา “รีบไปพบศิษย์น้องหญิงทันที พร้อมกันนั้นให้คนของผีเสื้อวายุแจ้งท่านอาจารย์รีบกลับเขาด้วย”
“แล้ว...ใครจะเป็นคนไปพบนาง?” โจวเจิ้งกับหลี่ไว่เอ่ยถามพร้อมกัน
“คนมากย่อมกล้า! ไปพร้อมกันทั้งหมดนี่แหละ!” หลี่เหยียนชีถอนหายใจอย่างจนปัญญา
ณ ส่วนท้ายในเรือนที่สงบที่สุดด้านหลังสำนักศึกษา เฟิงจั่วจวินกำลังแบกซูไป๋อีไว้บนไหล่ มองดูศิษย์พี่หญิงของตนที่กำลังเดินวนไปมาอย่างไม่หยุดยั้ง
“ศิษย์พี่หญิง ให้ข้าอัดเขาสักชุดจนตื่นดีหรือไม่? รอเช่นนี้ต่อไปคงไม่มีประโยชน์กระมัง” เฟิงจั่วจวินอ้าปากหาว ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “ข้ายังอยากกลับไปนอนต่ออยู่เลย”
“ศิษย์น้องเฟิง หากข้าชวนเจ้าลงเขา เจ้าจะยินยอมหรือไม่?” ศิษย์พี่หญิงถามขึ้นมาทันที
เฟิงจั่วจวินดวงตาเป็นประกาย “ลงเขาอีกแล้วหรือ? ครานี้มีภารกิจสนุกๆ อะไรอีก? ข้ายินดี ข้ายินดีแน่นอน!”
ศิษย์พี่หญิงส่ายศีรษะ “ไม่เหมือนคราก่อน หากครั้งนี้เจ้าลงเขากับข้า จะถือเป็นการละเมิดกฎ และอาจถูกขับออกจากสำนักศึกษา ต้องกลับบ้านไปโดยไร้ข้อยกเว้น”
ดวงตาของเฟิงจั่วจวินยิ่งส่องประกายสว่างไสวขึ้นไปอีก “มีเรื่องดีๆ เช่นนี้ด้วยหรือ?”
ศิษย์พี่หญิงอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนยกมือนวดขมับ “สำนักเมฆาสางสวรรค์ที่เจ้าสืบทอดในอนาคตจะเป็นเช่นไร หากเจ้ายังคงทำตัวเช่นนี้?”
“หากท่านได้พบกับบิดาข้า ท่านจะไม่ถามเช่นนี้แน่ เมื่อเทียบกับบิดาแล้ว ข้าเฟิงจั่วจวินถือว่าเป็นยอดคนที่สำนักเมฆาสางสวรรค์รอคอยมากว่าร้อยปีทีเดียว” เฟิงจั่วจวินว่า พลางเขย่าตัวซูไป๋อีที่แบกอยู่บนหลัง “ศิษย์พี่หญิง พวกเราจะลงเขาเมื่อไร?”
ศิษย์พี่หญิงเดินเข้าไปใกล้ซูไป๋อี ก่อนจะลังเลครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ตอนนี้”
“ได้” เฟิงจั่วจวินตอบรับโดยไม่คิด
“ง่ายดายถึงเพียงนี้เลยหรือ?” ศิษย์พี่หญิงหัวเราะเบาๆ
“ใช่” เฟิงจั่วจวินกล่าวอย่างภาคภูมิ “บุตรชายแห่งตระกูลเฟิง ล้วนกระทำเช่นนี้เสมอ”
“ไม่ผิดจริงๆ ที่ข้ารับเจ้าเป็นศิษย์น้อง” ศิษย์พี่หญิงยกนิ้วสองนิ้วขึ้นจรดริมฝีปาก ก่อนเป่าปากดังหวีดลั่น แล้วเอ่ยว่า “ไปกันเถอะ!”
“ตามแต่ศิษย์พี่หญิงบัญชา!” เฟิงจั่วจวินดีดตัวขึ้นพร้อมซูไป๋อีบนหลัง กระโดดขึ้นไปบนกำแพงสวน ศิษย์พี่หญิงกระโจนตามไปทันที
ยามค่ำคืนในสำนักศึกษาช่างเงียบสงัด เสมือนทุกผู้คนกำลังหลับใหลในห้วงฝัน แต่เงาร่างของทั้งสองที่เคลื่อนผ่านกลับสะดุดตาผู้หนึ่งเข้า
เมื่อพวกเขาก้าวออกจากเขตสำนักศึกษา รถม้าคันหนึ่งรออยู่ก่อนแล้ว ชายผู้ถือแส้ มองพวกเขาด้วยความอ่อนใจ “แม่นาง เรามิใช่ตกลงกันว่าจะวางแผนอย่างรอบคอบหรอกหรือ?”
ศิษย์พี่หญิงแตะปลายเท้าลงบนรถม้า “ข้าก็บอกแล้วมิใช่หรือ ว่าต้องปรับตัวตามสถานการณ์”
“ไปก็ไป แต่เหตุใดพาสองคนนี้มาด้วย? คนที่นอนสลบอยู่มิใช่ซูไป๋อีหรือ? แล้วไฉนเขาถึงหมดสติไปได้?” หลี่กุ่ยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงความห่วงใย “เฟิงจั่วจวิน เป็นเจ้ารังแกเขาหรือ?”
“อย่ากล่าวหาข้าผู้บริสุทธิ์นะ คืนนี้เป็นข้าต่างหากที่เกือบถูกเขาทุบตายเสียเอง” เฟิงจั่วจวินโยนร่างซูไป๋อีลงบนรถม้า “รีบไปเถิด มิฉะนั้น หากเหล่าวีรชนตามทัน จะยุ่งยากแน่”
“ได้เลย” หลี่กุ่ยบังคับม้าหันกลับ เตรียมเงื้อมือฟาดแส้ แต่ทันใดนั้น เงาร่างสีขาวพุ่งผ่านมาขวางรถม้าไว้
เขามองเห็นชัดเจนแล้วร้องออกมา “คุณชายสามเซี่ย?”
ชายที่ยืนขวางอยู่คือเซี่ยอวี่หลิง เขาถือพัดพับไว้ในมือ มีกระบี่ยาวพกอยู่ที่เอว และแบกสัมภาระไว้บนหลัง
เฟิงจั่วจวินกำหมัดแน่น “เจ้าจะขวางเราหรือ?”
“พาข้าลงเขาด้วย” เซี่ยอวี่หลิงเขย่าสัมภาระบนหลังของตนพลางกล่าว