บทที่ 13 ศิษย์พี่หญิง
“คารวะศิษย์พี่หญิง!” ทุกคนในลานต่างคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ยกมือคารวะด้วยความนอบน้อม แม้แต่เซี่ยอวี่หลิงผู้เย่อหยิ่งยังไม่ละเว้น มีเพียงเฟิงจั่วจวินที่ร้องเอะอะขึ้น “ศิษย์พี่หญิง ท่านช่วยดูหน่อย ว่าเจ้านี่เข้าภาวะวิปลาสหรือเปล่า!”
หญิงในชุดสีม่วงสะบัดแขนเสื้อเบาๆ กระโดดลงมาจากไหล่ของซูไป๋อี ก่อนจะโน้มตัวลงมาดูดวงตาของเขาอย่างใกล้ชิด “พวกเจ้าทำอะไรเขา?”
สวีเจ๋อรีบเข้ามาและตอบด้วยน้ำเสียงขลาดกลัว “เรียนศิษย์พี่หญิง พวกข้าแค่ใช้อัฐินิทราหอมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
“อัฐินิทราหอม? มิใช่ว่าคนโดนพิษนี้ควรจะหลับไปหรอกหรือ? ไฉนถึงดูเป็นคนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิงเช่นนี้?” หญิงชุดม่วงเอื้อมนิ้วเรียวยาวมาจับคางซูไป๋อีไว้เบาๆ “ม่านตาสีฟ้าอ่อน…”
“ตอนแรกดวงตาของเขาเป็นสีแดงเพลิงเลยนะ” เฟิงจั่วจวินเตือนขึ้น
“ศิษย์พี่จะให้เรียกอาจารย์โจวเจิ้งมาดูหรือไม่?” เซี่ยอวี่หลิงถาม
“มีวิธีแก้พิษอัฐินิทราหอมหรือไม่?” หญิงชุดม่วงถาม
“มีขอรับๆ!” สวีเจ๋อเหมือนเพิ่งนึกได้ รีบล้วงขวดยาแก้พิษออกจากอกและเปิดฝา “นี่คือกลิ่นหอมเทพพิสุทธิ์ ดมเพียงนิดก็ฟื้นแล้ว”
ทันทีที่เปิดฝาขวด กลิ่นเหม็นรุนแรงจนไม่อาจบรรยายได้กระจายไปทั่วลาน ทำให้ศิษย์คนอื่นๆ รีบยกมือปิดจมูก เฟิงจั่วจวินถึงกับสบถ “ไอ้สวีเจ๋อ นี่มันอะไร ข้าเหม็นจะตายอยู่แล้ว”
สวีเจ๋อวิ่งยิ้มมาหาศิษย์พี่หญิง “ขออภัยๆ ขายหน้าพวกท่านแล้ว อัฐินิทราหอมมันกลิ่นหอมเกินไปจึงหลับสบายขนาดนั้น ถ้าไม่ใช้กลิ่นเหม็นแรงๆ ปลุก คนคงไม่ตื่นหรอกขอรับ ศิษย์พี่หญิง แค่เอาขวดไปจ่อจมูกเขาก็พอแล้ว”
หญิงชุดม่วงไม่สนใจกลิ่นเหม็นที่ลอยฟุ้งอยู่ รับขวดจากสวีเจ๋อไปจ่อที่จมูกของซูไป๋อี “แบบนี้พอหรือยัง?”
“พอแล้วขอรับๆ” สวี่เจ๋อรีบเก็บขวดกลับไป “ขอบคุณศิษย์พี่หญิง”
หญิงชุดม่วงมองดูดวงตาสีฟ้าของซูไป๋อีค่อยๆ กลับมาเป็นสีปกติ นางเอ่ยถามเบาๆ “ตื่นแล้วหรือ?”
ซูไป๋อีกระพริบตาสองสามครั้ง มองดูหญิงตรงหน้า ก่อนจะขยับปากพูดช้าๆ ว่า “แม่นาง…ช่างงดงามยิ่งนัก…”
ทั้งลานตกอยู่ในความเงียบ ศิษย์ทุกคนพากันกลั้นหายใจ แม้แต่เฟิงจั่วจวินยังอ้าปากค้างด้วยความชื่นชมและขบขัน “เจ้านี่…กล้าหยอกเย้าศิษย์พี่หญิงด้วย ช่างบ้าบิ่นจริงๆ!”
ศิษย์พี่หญิงนั้นงดงามหรือไม่?
แน่นอนว่างดงามจนปฏิเสธไม่ได้ ทุกครั้งที่ศิษย์พี่หญิงปรากฏตัว สายตาทุกคู่ในลานมักจะจับจ้องไปที่นาง แม้แต่เซียนปราชญ์ผู้เลื่องชื่อก็ยังไม่ดึงดูดเท่า
แต่เหล่าศิษย์ทำได้เพียงแค่มองจากที่ไกลๆ เท่านั้น ไม่มีใครกล้ากล่าวชมนางอย่างโจ่งแจ้ง ด้วยเหตุที่ว่า ศิษย์พี่หญิงเข้าศึกษาในสำนักนี้ตั้งแต่เจ็ดขวบ เป็นดั่งตุ๊กตาแก้วที่เหล่าวีรชนคอยทะนุถนอมจนเติบโตขึ้นเป็นหญิงงาม
ใครก็ตามที่ไม่แสดงความเคารพต่อนาง จะถูกพวกเขารุมซ้อมอย่างไม่ไว้หน้า แม้แต่เฟิงจั่วจวินผู้ที่มีทั้งความแข็งแกร่งและวิทยายุทธ์ล้ำเลิศ ยังกล้าได้แค่รับตำแหน่งสุนัขรับใช้ศิษย์พี่หญิงเท่านั้น แล้วยังจะมีใครกล้าพูดคำว่า “แม่นางช่างงดงามยิ่งนัก” กับนางได้อีก?
ครั้งหนึ่ง เซียนปราชญ์ได้ถามศิษย์ทั้งหลายว่า “ดอกท้อที่งามสะพรั่งในทิวทัศน์สิบลี้ หรือบุปผาหอมหวลในทุ่งหญ้าเขียวขจีที่งดงามที่สุด?”
ท่านวีรชนลำดับสองตอบว่า “ดอกท้อย่อมงดงามเมื่อเบ่งบาน หญ้าเขียวขจีกับกลิ่นบุปผาช่างวิจิตรตรึงใจ แต่หากศิษย์น้องหญิงก้าวย่างในหุบเขา ทัศนียภาพใดๆ ล้วนมิอาจเทียบ”
แต่ก็มีเพียงวีรชนลำดับสองที่กล้าพูดเช่นนี้ เพราะเขานั้นมีฝีมือสูงส่ง อีกทั้งยังเชี่ยวชาญในวิชาตัวเบา จึงไม่กลัวโดนรุมซ้อม เหล่าวีรชนต่างรู้กันดี ว่าศิษย์น้องหญิงนั้นไม่ชอบให้ใครชมว่านางงดงาม เนื่องจากก่อนที่นางจะเข้ามายังสำนักนี้ หลายคนเคยพูดประโยคหนึ่งกับนาง
“เจ้าช่างงดงามนัก รูปโฉมเหมือนมารดาของเจ้าในอดีตมิผิดเพี้ยน”
ทว่ามารดาของนางล่วงลับไปก่อนที่นางจะเข้ามายังสำนักแห่งนี้
ดังนั้นเหล่าศิษย์ในที่นั้นจึงนึกภาพออกว่าอีกไม่นานซูไป๋อีคงจะโดนหมัดของศิษย์พี่หญิงอัดจนสลบ แต่ก่อนที่ศิษย์พี่หญิงจะทันได้ยกมือขึ้น ซูไป๋อีก็พลันเบิกตาจ้องนางอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะมึนงงและหลับไปเอง
“ศิษย์พี่หญิงมีวิชาอะไรหรือ ไม่ต้องลงมือก็ทำให้คนสลบได้?” สวีเจ๋อถามด้วยความประหลาดใจ
ศิษย์พี่หญิงยืนขึ้นพลางถอนหายใจ “ข้าไม่ได้ทำอะไร”
เฟิงจั่วจวินรีบเสริม “ใช่ๆ ศิษย์พี่หญิงจะลงมือทำร้ายศิษย์ใหม่ได้อย่างไร?”
ศิษย์พี่หญิงคิ้วขมวด “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ได้ทำ!”
เซี่ยอวี่หลิงกล่าวขึ้นทันที “อย่างไรก็ให้ท่านอาจารย์โจวเจิ้งมาดูก่อนจะดีกว่า ข้าเห็นว่าเจ้าซูไป๋อีผู้นี้น่าจะมีปัญหาอยู่ เกรงว่ารับเขาเข้ามาโดยไม่ระวังจะมีผลเสียภายหลัง”
ศิษย์พี่หญิงมองซูไป๋อีที่ฝังอยู่ในพื้นดิน ลังเลอยู่ครู่จึงเอ่ยว่า “ศิษย์น้องเฟิง เจ้าช่วยขุดเขาขึ้นมาแล้วพาไปไว้ที่เรือนของข้า รอให้เขาฟื้น ข้าจะไตร่สวนเอง”
“รับทราบ! สวีเจ๋อ มาช่วยข้าหน่อย!” เฟิงจั่วจวินตอบรับอย่างกระตือรือร้น ท่าทางเหมือนลูกสมุนที่ซื่อสัตย์ไม่มีผิด หากมีหางจริงเขาคงกระดิกไปแล้ว
ศิษย์พี่หญิงเหลือบมองเซี่ยอวี่หลิง “ชายชุดครามพักฟื้นอยู่กับตระกูลเฉินที่จินโจว เจ้าจะไปเยี่ยมเขาเมื่อใดก็ย่อมได้ หากเจ้ากังวลเรื่องความปลอดภัยจะพามาที่สำนักก็ย่อมได้เช่นกัน ข้าจะช่วยพูดกับอาจารย์ให้”
“ขอบคุณศิษย์พี่หญิง” เซี่ยอวี่หลิงคารวะ “เรื่องที่นี่ข้าจะไม่แจ้งท่านอาจารย์โจวเจิ้ง ขอให้ศิษย์พี่หญิงจัดการตามแต่ท่านเห็นสมควรเถิด”
“ดี” ศิษย์พี่หญิงยิ้มเล็กน้อย แล้วพุ่งจากลานออกไปอย่างรวดเร็ว
บริเวณกำแพงลาน มีสองคนแอบซ่อนตัวอยู่ กลัวจะถูกจับได้ว่ามาแอบดู
“ทำอย่างไรดี? ดูเหมือนศิษย์น้องหญิงไม่ต้องการให้พวกเรายุ่งกับเรื่องนี้?” คนหนึ่งถาม
“ซูไป๋อีเป็นศิษย์ของเซี่ยคั่นฮวา เรื่องผิดปกติที่เกิดกับเขาในคืนนี้คงเกี่ยวข้องกับเซี่ยคั่นฮวา ไม่น่าแปลกใจที่ศิษย์น้องหญิงจะกังวล ครั้งนี้นางคงไล่ตามสำนักสวรรค์ซ่างหลินไม่ทัน ตอนนี้คงกำลังโมโหอยู่ เราคง…” อีกคนตอบ
“แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเซี่ยคั่นฮวา อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับคัมภีร์เซียน นี่ไม่ใช่เรื่องของคนคนเดียวแล้ว คงต้องรายงานโดยด่วน เรื่องทางนี้คงต้องฝากให้ศิษย์พี่ช่วยดูแล้ว”
“ว่าไงนะ? ทำไมต้องเป็นข้าด้วย? ตอนนี้คนดูแลห้องเรียนคือเจ้า ข้าแค่ออกมาชมทิวทัศน์ยามราตรีแล้วบังเอิญเจอเข้าเท่านั้นเอง!”
“ศิษย์น้องหญิงแค่ห้ามบอกอาจารย์โจวเจิ้ง แต่ไม่ได้ห้ามบอกอาจารย์หลี่ไว่! เจ้าน่าจะรู้นิสัยศิษย์น้องหญิงดี นางน่ารักราวลูกแมว แต่เมื่อไรที่เรื่องเกี่ยวพันกับคนรุ่นก่อนๆ ก็กลายร่างเป็นแม่เสือ ข้าล่ะไม่กล้าหาเรื่องเลย เจ้าทำเป็นแกล้งเจอเรื่องนี้โดยบังเอิญก็แล้วกัน”
“เจ้าไม่กล้า แล้วข้าจะกล้าอย่างนั้นหรือ? เฮ้อ แต่ถ้าข้าไม่ไป…”
“ข้ามีความคิดหนึ่ง!”
“ข้าเองก็นึกออกแล้ว!”
“หลอกพี่ศิษย์สามให้ไปแทนเรา!”