ตอนที่ 34 ฝุ่นมรณะ!
ตอนที่ 34 ฝุ่นมรณะ!
ค้อนนี้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้!
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เอริคสามารถจัดการได้ในตอนนี้ และแน่นอนว่าเขาก็ไม่มีแผนที่จะยุ่งกับมันในอนาคต
เพรราะค้อนนี้มันเป็นเหมือนกับดักมากกว่า! ผู้ส่งสารแห่งสกาดี — ชื่อนี้อาจฟังดูดี แต่แท้จริงแล้วก็เป็นแค่หุ่นเชิดของ คัล เท่านั้นไม่ใช่หรือไง?
ดังนั้นเอริคจึงไม่คิดจะยุ่งกับมัน และลูกน้องของเขาก็ห้ามเข้าใกล้มันเช่นกัน เขายังจำได้ว่าจักเกอร์นอทเคยถูกเลือกโดยคัลและได้ค้อนมาถือเล่น แต่สุดท้ายเขาก็เสียพลังวิเศษสีแดงทั้งหมดของเขาไป
เจ้าหมอนี่โง่ก็ลำบากมากพอแล้ว จะให้เขาเข้าไปยุ่งกับของแบบนี้อีกไม่ได้เด็ดขาด!
หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็รีบเข้าสู่ฐานทัพอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เอริคจะยกมือขึ้นเบา ๆ และปิดสัญญาณเตือนที่ส่งเสียงน่ารำคาญทันที
ฐานทัพนี้มีคนไม่มากนัก และมีจำนวนทั้งหมดไม่ถึงสองพันคนด้วยซ้ำ ดังนั้นการโจมตีเพียงครั้งเดียวก็สามารถกำจัดพวกเขาทั้งหมดได้ในพริบตา แต่เนื่องจากเขามีน้องชายอย่างจักเกอร์นอทอยู่ เอริคจึงไม่คิดจะลงมือเอง และอธิบายข้อควรระวังให้จักเกอร์นอทฟังอย่างละเอียดและปล่อยให้น้องชายของเขาเป็นคนจัดการแทน
ทหารไฮดราที่ใส่เครื่องแบบสีเขียวมีประมาณ 90% รวมถึงผู้นำของฐานทัพที่มีกันราวสิบคน คนพวกนี้ไม่มีประโยชน์อะไร ดังนั้นเอริคจึงปล่อยให้จักเกอร์นอทจัดการได้ตามใจชอบ แต่สำหรับนักวิทยาศาสตร์ที่เหลืออีกเกือบ 100 คน เอริคไม่อยากเสียพวกเขาไปโดยเปล่าประโยชน์
ถ้าถามว่าในศตวรรษที่ 21 สิ่งที่ขาดแคลนมากที่สุดคืออะไร? ก็คือคนเก่งไงเล่า!
นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้คือทรัพยากรที่สำคัญที่สุด ถึงแม้พวกเขาจะถูกแยกจากสังคมมานานจนความรู้ตามไม่ทันโลกปัจจุบัน แต่พวกเขาก็สามารถเรียนรู้ได้ แถมพวกเขายังศึกษาค้อนอันนี้มานานหลายสิบปี ย่อมมีข้อมูลที่ได้มาไม่มากก็น้อย
ดังนั้นในอนาคต เมื่อเอริคสามารถติดต่อแอสการ์ดได้ คนเหล่านี้จะกลายเป็นทีมสำคัญในการศึกษาวิทยาการหรือเวทมนตร์ของแอสการ์ดของเขา
. . .
หลังจากที่จักเกอร์นอททำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า เอริคก็ใช้เวลาสำรวจสนามแม่เหล็กเพื่อยืนยันเป้าหมาย จากนั้นก็เดินตรงไปยังห้องวิจัย
ค้อนแห่งสกาดียังถูกวางอยู่ที่นั่น แซมมี่ก็อยู่ที่นั่น พร้อมกับนักวิทยาศาสตร์เกือบทั้งหมดและเด็กที่เป็นมนุษย์กลายพันธุ์อีกหลายร้อยคน พวกเขาทุกคนถูกขังไว้ในกรงเล็ก ๆ และในกรงนั้นถูกติดตั้ง ‘เครื่องสะกดยีน X’ โดยไฮดรา ทำให้มนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้สูญเสียพลังพิเศษชั่วคราว
“ดูจากสถานการณ์แล้ว ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังเตรียมสังเวยชีวิตพวกเขา? โชคดีที่มาทันเวลา!”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เอริคก็ระมัดระวังขึ้น เพราะพลังของเขาก็มาจากยีน X เหมือนกัน ดังนั้นเครื่องกดยีน X เหล่านี้จึงมีผลกับเขาด้วยเช่นกัน!
“ฮึ! เครื่องสะกดยีน X? ฝีมือโบลิวาร์ ทรัสค์ อีกแล้วสินะ! เจ้าหมอนี่ต้องโดนสั่งสอนบ้างสักที!”
เอริคส่ายหน้าอย่างไม่พอใจ ก่อนจะควบคุมลูกเหล็กหลายลูกให้พุ่งชนเครื่องสะกดยีนจนพังทั้งหมด
ในตอนแรกกลายพันธุ์เด็กในกรงต่างตกใจกลัว และคิดว่าปีศาจพวกนี้จะมาทรมานพวกเขาอีก ทำให้พวกเขาต่างพากันตัวสั่นและกอดกันกลม
แต่เมื่อเวลาผ่านไปมันก็ไม่มีการลงโทษหรือเฆี่ยนตีตามที่พวกเขาคิด มีเพียงเสียงโกลาหลจากรอบด้าน และปีศาจที่จับพวกเขามาก่อนหน้านี้กำลังวิ่งพล่านและร้องตะโกนเหมือนเจอศัตรู
ทำให้เด็กบางคนที่กล้าหาญและเริ่มมองเห็นโอกาส พวกเขาใช้พลังพิเศษโจมตีทหารไฮดรา และเมื่อเด็กคนอื่นเห็นโอกาสก็ลงมือเช่นกัน ทำให้ภายในห้องวิจัยจึงเต็มไปด้วยพลังสายฟ้า ลมพายุ และการโจมตีหลากหลายรูปแบบ จนทำให้ทหารไฮดราหลายคนตายและนักวิทยาศาสตร์บาดเจ็บ อีกทั้งอุปกรณ์หลายชิ้นก็ถูกทำลายลง
ทำให้เอริคที่เห็นเช่นนั้นเขาก็รีบลงมือสร้างสนามแม่เหล็กหุ้มร่างเด็กเหล่านี้เอาไว้ เพื่อปกป้องพวกเขาและเพื่อจำกัดการกระทำของพวกเขา อุปกรณ์และนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ถือว่าเป็นสมบัติในกระเป๋าของเขาแล้ว จะให้พวกเขาทำลายไปเฉย ๆ ไม่ได้!
“ไฮดราจงเจริญ!” เอริคก้าวเข้าห้องวิจัย พลางตะโกนคำขวัญขึ้น ทันใดนั้นทหารไฮดราทั้งหมดต่างสะดุ้ง ยืนตัวตรงและตะโกนกลับพร้อมกัน “ไฮดราจงเจริญ!”
“แกเป็นใคร?” แต่หลังจากตะโกนไปได้ไม่นาน ทหารไฮดราคนหนึ่งก็เริ่มรู้ตัวว่าเอริคดูไม่เหมือนพวกเขา เขาจึงยกปืนขึ้นเล็งไปที่เอริคทันที
เอริคเมินเฉยอีกฝ่าย และเดินเข้าไปในห้องวิจัยอย่างสง่างาม ก่อนจะมองไปรอบ ๆ และพยักหน้าอย่างพอใจ พร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยสำเนียงเบอร์ลินที่ลื่นไหล
“ดีมาก ถึงแม้ว่าท่านนายพลจะจากไปหลายสิบปีแล้ว แต่พวกนายก็ยังไม่ลืมภารกิจอันยิ่งใหญ่ของตัวเอง! เมื่อท่านนายพลกลับมา ฉันจะต้องรายงานความดีความชอบของพวกนายให้เขาฟังอย่างแน่นอน!”
“ท่านนายพลยังมีชีวิตอยู่หรอ? แล้วแกเป็นใคร?” ชายชราผมขาวคนหนึ่งเดินออกมาจากฝูงชน เขาสวมเสื้อกาวน์สีขาวและชุดทหารสีเขียวด้านใน ดูเหมือนจะเป็นผู้นำของที่นี่
“หึ! บังอาจนัก! กล้าสงสัยในพลังของท่านนายพลอย่างนั้นหรอ!” สีหน้าเอริคเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะหยิบปืนพกหน้าตาแปลก ๆ ออกมาจากเสื้อ และลั่นไกใส่ชายชราโดยไม่ลังเล!
แน่นอนว่าไม่มีเลือดสาดกระเซ็นเหมือนที่ทุกคนคิดเอาไว้ มีเพียงกลุ่มควันสีเทาพวยพุ่งออกจากปากกระบอกปืน ปกคลุมใบหน้าของชายชรา
ในขณะเดียวกันเมื่อเอริคชักปืนออกมา ทหารไฮดราหลายคนที่เตรียมจะชักปืนเล็งไปที่เขาก็หยุดชะงักเช่นั้น และเมื่อพวกเขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า พวกเขาก็ลดปืนลงอย่างมึนงง
“อ๊าก! หน้าของฉัน! หน้าฉันน!” ชายชราร้องลั่นพร้อมใช้สองมือข่วนใบหน้าตัวเอง ล้มลงนอนชักกระตุกบนพื้น เสียงร้องโหยหวนสะท้านใจ เนื้อหนังบนใบหน้าเริ่มละลาย แห้งเหี่ยว เปลี่ยนเป็นสีแดงจัด เส้นผมร่วงหมดจนเผยให้เห็นกะโหลกศีรษะสีแดงที่น่าสะพรึงกลัว
ไม่นานนัก ร่างของชายชราก็เงียบสงบลง มือที่ข่วนใบหน้าตกลงข้างตัว เผยให้เห็นโฉมใบหน้าสีแดงเกลี้ยงเกลาที่ทำให้ทุกคนที่เหลือถอยหลังอย่างหวาดผวา
“นั่นมันฝุ่นมรณะ! อาวุธของท่านนายพล!” นักวิจัยอาวุโสบางคนร้องอุทานอย่างตกใจ ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งอย่างรวดเร็ว ส่วนคนอื่น ๆ เมื่อได้ยินชื่อของ ฝุ่นมรณะ พวกเขาก็รีบคุกเข่าตามด้วยความหวาดกลัวทันที
เอริคเก็บปืนพกกลับเข้าไปในเสื้อ ซึ่งทันทีที่ปืนหายไป มันก็กลายเป็นผงโลหะละเอียดที่ยึดติดอยู่กับเสื้อผ้าของเขาอย่างแนบเนียน แท้จริงแล้วมันไม่ใช่ ฝุ่นมรณะ จริง ๆ แต่เป็นผงโลหะที่เขาควบคุมด้วยพลังพิเศษของตัวเอง
เอริคเอามือไขว้หลังมองไปรอบ ๆ อย่างภาคภูมิใจ “ฉันคือองครักษ์ส่วนตัวของท่านนายพล ตำแหน่งพันเอก! พวกนายสามารถเรียกฉันว่า 'พันเอกเอริค' ได้!”
“ฉันมาที่นี่เพราะพบว่ามีคนแอบอ้างชื่อของนายพลเพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว และตามรอยมาจนถึงที่นี่! ตามกฎทหารแล้ว พวกนายควรถูกประหารทั้งหมด! แต่เมื่อพิจารณาว่าพวกนายไม่เคยลืมภารกิจของตนเอง และยังคงศึกษาค้นคว้าเพื่อนายพลมาตลอดหลายสิบปี ครั้งนี้ฉันจะไว้ชีวิตพวกนายเป็นกรณีพิเศษ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ไฮดราทั้งหมดที่คุกเข่าก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนที่เอริคจะยิ้มอย่างเยือกเย็นอีกครั้ง และพูดต่อว่า “ฮ่า ๆ แต่พวกตัวการหลักที่อยู่ด้านนอกนี้ไม่ได้โชคดีเหมือนพวกนาย! ต่อไปนี้จงจำไว้ให้ดีว่า เลือดและเกียรติยศสำคัญที่สุด และจงทำงานเพื่ออุทิศตนให้ท่านนายพลต่อไป! ไฮดราจงเจริญ!”
“ไฮดราจงเจริญ!” เสียงตอบรับดังขึ้นอย่างพร้อมเพียง
เอริคพยักหน้าอย่างพอใจ “ดีมาก! ทุกคน เตรียมเก็บข้าวของให้เรียบร้อย บรรจุอุปกรณ์และเอกสารทั้งหมดเตรียมพร้อมเอาไว้ แล้วรอคำสั่ง!”
“แต่ . . . ท่านพันเอกครับ พวกเราจะไม่ศึกษาค้อนแห่งสกาดีต่อแล้วหรอครับ?” ชายหนุ่มร่างผอมคนหนึ่งถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ
เอริคจ้องเขาด้วยสายตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังจะถูกบดเป็นผุยผง
“นายชื่ออะไร?”
“ผมชื่อ เวเบอร์ ครับ”
เอริคชี้นิ้วไปที่เวเบอร์ และพูดว่า “ต่อไปนี้นายจะเป็นหัวหน้าของพวกเขา! ส่วนค้อนแห่งสกาดี ไม่จำเป็นต้องศึกษาอีกต่อไป ฉันได้คำตอบจากบันทึกแล้ว ค้อนแห่งสกาดีกำลังรอเจ้าของที่แท้จริงมันมารับอยู่ และตอนนี้มันก็ยังไม่ถึงเวลา ดังนั้นการวิจัยต่อไปมันก็ไร้ความหมาย”
โปรดติดตามตอนต่อไป …