3 - ข้อพิพาท
"พอได้แล้ว ยัยสะใภ้รอง นางก็แค่พูดไปตามปากเท่านั้นเอง" ท่านย่าชัดเจนว่าลำเอียงไปทางจ้าวซื่อ คำพูดของนางสื่อชัดเจนว่านางกำลังบอกว่าเฉินซื่อทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
"ท่านแม่ ทำไมท่านพูดแบบนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กเลยนะ ใครเขาจะมาว่าร้ายคนในครอบครัวตัวเองแบบนี้! ลูกชายข้ายังเด็ก จะให้ถูกแบกรับความยุ่งเหยิงแบบนี้ไม่ได้หรอก" เฉินซื่อยกมือแย้ง ราวกับแม่ไก่ปกป้องลูกน้อย คอยปกป้องจูผิงอัน
"พี่สะใภ้ ทำไมพูดกับท่านแม่แบบนี้ล่ะ" จ้าวซื่อเลี่ยงประเด็น หันไปตำหนิเฉินซื่อว่าไม่เคารพท่านแม่แทน
"เจ้านี่มันชอบยุแหย่จริงๆ!" เฉินซื่อหัวเราะเยาะเย้ย
"พอได้แล้ว กินข้าวกันเถอะ มีเรื่องอะไรกันนักหนา" ท่านปู่เคาะตะเกียบแล้วจ้องลูกชายคนรองกับคนเล็กของตน เป็นเชิงบอกให้ดูแลเมียตัวเองหน่อย จะได้ไม่มาทำให้บรรยากาศมื้ออาหารวุ่นวาย
จูโส่วอี้ยื่นมือดึงเฉินซื่อให้นั่งลงกินข้าว เฉินซื่อถึงจะทำหน้าบูดบึ้ง แต่ก็ยอมนั่งลงเพราะให้เกียรติสามี
"พ่อ ข้าก็พูดไปเพราะหวังดีกับครอบครัวเรา ถ้าบังเอิญโดนของเข้ามา แล้วทำให้บ้านเราซวยขึ้นมา คงแย่แน่ๆ" จ้าวซื่อสะไภ้สี่ทำหน้ากระอักกระอ่วน แต่ยังยิ้มแหยๆ และยังไม่เลิกพูดเรื่องโดนของ
"พูดบ้าอะไรของเจ้า!" เฉินซื่อเห็นว่าจ้าวซื่อยังไม่หยุดซ้ำเติม ก็เดือดขึ้นมาทันที อยากจะพุ่งไปข่วนอีกฝ่ายเสียให้ได้
"จู้จี้ขี้บ่นเรื่องเล็กน้อยช่างน่าอับอายเสียจริง" ลุงใหญ่ของบ้านทำท่าทางหยิ่งยโส ไม่สนโลก เหวี่ยงชายแขนเสื้อเบาๆ พลางส่ายหัวถอนหายใจ
ป้าสะใภ้ใหญ่ดูเรื่องราวตรงหน้าอย่างเพลิดเพลินใจ ไม่คิดจะห้ามปรามอะไร แถมยังพยายามปลูกฝังความสง่างามในแบบของผู้หญิงตระกูลใหญ่ให้ตัวเองอีกด้วย เพราะหวังว่าสักวันสามีจะสอบได้ตำแหน่งบัณฑิต (ซิ่วไฉ) แล้วนางจะได้เป็นภรรยาของบัณฑิต หากสามีสอบได้ระดับจวี่เหริน (บัณฑิตระดับสูงกว่า) นางก็จะได้เป็นฮูหยินของขุนนาง จึงต้องฝึกฝนความสง่างามให้สมฐานะ ตั้งแต่ตอนนี้ เมื่อเห็นน้องสะใภ้ทั้งสองทะเลาะกันอย่างไร้ศักดิ์ศรี นางก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองสูงส่งกว่าพวกนั้น
แต่สำหรับจูผิงอัน เขาไม่แยแสต่อป้าสะใภ้ใหญ่เลยสักนิด ถ้าหากเป็นผู้หญิงตระกูลใหญ่จริงๆ เรื่องนี้คงถูกระงับไปนานแล้ว ไม่ใช่มัวแต่ดูเรื่องสนุกเหมือนป้าสะใภ้ใหญ่ในตอนนี้
แต่เมื่อมองเห็นสีหน้าบึ้งตึงของท่านปู่ จูผิงอันก็รู้สึกว่าสถานการณ์แบบนี้ไม่น่าเป็นลางดี เพราะยุคนี้ยังเป็นยุคที่ผู้ปกครองใหญ่สุดในครอบครัวเป็นใหญ่ การถูกมองว่าเป็นคนอกตัญญูในหมู่บ้านจะกลายเป็นเรื่องให้คนพูดถึงลับหลัง
"ท่านแม่ อาสะใภ้สี่ เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ?" จูผิงอันที่เพิ่งล้างมือเสร็จ เดินเตาะแตะด้วยขาสั้นๆ มาหาแม่ พลางเงยหน้ากลมๆ ที่ดูน่ารักน่าชังขึ้นถามอย่างสงสัย
ความน่ารักและมารยาทอันดีของเขา รวมถึงการทักทายอาสะใภ้สี่อย่างเป็นกันเอง ทำให้อาสะใภ้สี่ที่ก่อนหน้านี้ยังใส่ร้ายเขาอยู่ถึงกับรู้สึกกระดากใจ
"อาสะใภ้สี่ของเจ้าบอกว่าเจ้าโดนของไงล่ะ" เฉินซื่อพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองพร้อมกับมองจ้องจ้าวซื่อ
"ท่านแม่ โดนของคืออะไรเหรอ?" จูผิงอันถามอย่างสงสัยราวกับเด็กที่อยากรู้อยากเห็นทุกสิ่ง
เฉินซื่อจึงหันไปจ้องจ้าวซื่ออีกครั้งด้วยความไม่พอใจ
ท่านปู่เองก็หันไปมองจ้าวซื่อด้วยสายตาที่แฝงความไม่พอใจอยู่บ้าง จ้าวซื่อหัวเราะแห้งๆ เริ่มรู้สึกว่าตัวเองทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เกินไป แต่ก็ยังไม่อยากเสียหน้า จึงก้มตัวลงไป พลางถามว่า "จื้อเอ๋อ อาถามหน่อย ทำไมช่วงนี้เจ้าถึงเริ่มล้างมือกับล้างหน้าล่ะ?"
จูผิงอันไม่ใช่เด็กห้าขวบจริงๆ อยู่แล้ว จึงไม่ยอมพูดอะไรที่จะให้ตัวเองถูกจับผิดได้ง่ายๆ เขาวิ่งตัวเล็กๆ ไปซุกในอ้อมกอดของแม่อย่างสบายใจ ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความไร้เดียงสาขณะมองจ้าวซื่อ แล้วตอบว่า "ครั้งก่อนจื้อเอ๋อป่วย ท่านปู่หนวดขาวที่มาตรวจบอกว่าเพราะจื้อเอ๋อมือตัวเองสกปรกแล้วหยิบของมากินถึงได้ปวดท้อง จื้อเอ๋อไม่อยากกินยาขมๆ ก็เลยล้างมือกับล้างหน้าก่อนกินข้าวตามที่ท่านปู่คนนั้นบอกขอรับ"
ถึงแม้การทำตัวน่ารักจะดูน่าอาย และการแสร้งทำเป็นเด็กจะดูน่าขำ แต่ลองให้เด็กอายุห้าขวบมาทำตัวจริงจังดูสิ คงอยากจะหาเรื่องตายแล้วใช่ไหม? อยากโดนจับไปย่างแล้วเอาเกลือโรยเองหรือไง!
ตอนที่พูดถึงท่านปู่หนวดขาวที่เป็นหมอ จูผิงอันแอบสังเกตสีหน้าของคนรอบตัวอย่างแนบเนียน ทุกคนดูเหมือนจะเริ่มเชื่อกันแล้ว จะไม่เชื่อได้อย่างไร เพราะจูผิงอันเองก็เตรียมข้อมูลมาดี ท่านปู่หนวดขาวคนนั้นไม่ใช่หมอธรรมดา แต่เป็นหมอชื่อดังของอำเภอที่ปกติแทบไม่ออกมารักษาคนทั่วไป หากจะออกตรวจจริงๆ ก็มักจะเป็นพวกขุนนางหรือคนใหญ่คนโตเท่านั้น ที่ครั้งก่อนเขาได้รักษาจูผิงอันเป็นเพราะบังเอิญล้วนๆ ขณะเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนแล้วผ่านมาพบว่าคนในตระกูลจูกำลังวุ่นวาย ด้วยความสงสารจึงยื่นมือเข้าช่วย
"พอได้แล้ว เรื่องนี้ให้จบลงตรงนี้ ต่อไปใครอย่าได้พูดถึงเรื่องพวกโดนของหรือภูตผีปีศาจอะไรอีก ทุกคนล้วนเป็นลูกหลานที่ดีของตระกูลจูหากข้าได้ยินเรื่องเล่าร้ายๆ เกี่ยวกับคนในครอบครัวอีก อย่าหาว่าข้าไม่เตือน จะให้ใช้กฎบรรพบุรุษลงโทษ!" ท่านปู่ยังรู้จักแยกแยะเรื่องใหญ่เรื่องเล็ก ไม่ยอมให้สะใภ้ทั้งหลายทะเลาะกันไม่จบไม่สิ้น จึงตบโต๊ะครั้งหนึ่งเป็นการยุติความขัดแย้ง
บ้านที่สงบสุขจะนำพาความเจริญมา ทุกคนในครอบครัวที่อยู่ดีก็เป็นรากฐานสำคัญของความรุ่งเรือง ท่านปู่จึงไม่ยอมให้มีข่าวลือหรือคำพูดที่ไม่ดีเกี่ยวกับครอบครัวออกไปเด็ดขาด ท่านเฝ้าฝันทุกวันคืนให้ครอบครัวเจริญรุ่งเรืองในยุคของท่าน
การทะเลาะกันจึงจบลงในที่สุด ท่านปู่วางไม้ท้าวลงแล้วเริ่มหยิบตะเกียบขึ้นกินอาหาร
เมื่อท่านปู่เริ่มตักอาหารคำแรก คนในบ้านจึงเริ่มมื้อเย็น ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของระบบครอบครัวในยุคโบราณ สำหรับจูผิงอันที่ผ่านมาได้สิบกว่าวันแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไรกับเรื่องนี้ สิ่งเดียวที่เขายังยอมรับไม่ได้จนถึงตอนนี้คืออาหารบนโต๊ะ
สิ่งที่เรียกว่าอาหารนั้น ส่วนใหญ่เป็นผักต้มใส่เกลือหรือการนึ่งแบบธรรมดาใส่เกลือ ในความทรงจำ การทำอาหารผัดดูเหมือนจะเริ่มมีขึ้นในช่วงกลางราชวงศ์ชิง หลังจากมีวิธีสกัดน้ำมันจากพืช และยังไม่เป็นที่แพร่หลายนัก ในยุคนี้ การทำอาหารผัดน่าจะเป็นเรื่องของคนมีฐานะ ส่วนชาวบ้านทั่วไปมักจะไม่ยอมใช้น้ำมันจากสัตว์มาทำอาหาร สิ่งที่เป็นอาหารหลักคือขนมปังทำจากธัญพืชหยาบๆ ลักษณะคล้ายซาลาเปาหรือแป้งทอด รสชาติแย่มาก แถมยังกระด้างจนกลืนลำบาก ต้องพยายามอยู่นานถึงจะกลืนลงไปได้ ส่วนโจ๊กนั้นรสชาติพอจะยอมรับได้ แต่มีปัญหาตรงที่มันเหลวเกินไป
มื้ออาหารบนโต๊ะถูกกำหนดปริมาณไว้อย่างชัดเจน และคนที่กำหนดปริมาณนี้ก็คือท่านย่า ผู้ชายได้ขนมปังคนละสองชิ้น ส่วนผู้หญิงและเด็กได้เพียงคนละชิ้น โจ๊กก็มีการแบ่งชัดเจนเช่นกัน โจ๊กของผู้ชายจะข้นหนืด ส่วนของผู้หญิงและเด็กจะเป็นน้ำซุปใสๆ เสียมากกว่า
ท่านย่าเองก็ลำเอียงอย่างเห็นได้ชัด ตอนแบ่งขนมปังและโจ๊กก็ปฏิบัติไม่เท่ากัน บ้านลุงใหญ่กับบ้านอาสี่ได้ขนมปังก้อนใหญ่ ส่วนบ้านตัวเองกับบ้านอาสามได้ก้อนเล็กกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ลุงใหญ่ยังได้ขนมปังสามก้อน โดยให้เหตุผลว่าต้องใช้สมองอ่านหนังสือ ตัวอย่างการลำเอียงแบบนี้มีอีกมาก เช่น ไข่เจียวที่ไม่ค่อยได้ทำบ่อยๆ ก็มักจะแบ่งไปให้ลุงใหญ่กับอาสี่มากกว่า
โดยเฉพาะวันนี้ ท่านย่าไม่รู้ว่าเพราะจะชดเชยอะไรหรือเปล่า ถึงได้คีบไข่เจียวให้อาสี่กับอาสะไภ้สี่อยู่เรื่อยๆ ขณะที่อาสะไภ้สี่เองก็มีทีท่าอวดใส่เฉินซื่ออย่างตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้าง จนเกือบทำให้เฉินซื่อของขึ้นอยากจะพุ่งไปกัดสักจ้าวซื่อ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความตึงเครียด ราวกับอยู่ในสนามรบ
จูผิงอันจำได้ว่า ตอนที่เพิ่งข้ามมามิตินี้ใหม่ๆ เขาเคยลองจะคีบไข่เจียว แต่โดนท่านย่าใช้ตะเกียบปัดไว้ แล้วบอกว่าไข่เจียวมีไว้ให้ผู้ใหญ่บำรุงร่างกาย เพราะพวกเขาทำงานหนัก แต่จนถึงตอนนี้ จูผิงอันยังไม่เคยเห็นท่านย่าแบ่งไข่เจียวให้พ่อเลยสักครั้ง
ทุกบ้านต่างก็มีปัญหาของตัวเองที่ไม่สามารถเล่าออกมาได้
กินไม่อิ่ม กินไม่อร่อย สำหรับคนรักอาหารแล้ว นี่ถือเป็นการลงโทษที่ทรมานที่สุด
จูผิงอันถึงแม้จะมีอายุห้าหกขวบแต่จิตใจเกินยี่สิบปี ก็ยังพอทนได้ แต่เมื่อเห็นหนูน้อยหยูเอ๋อที่อยู่ในอ้อมแขนของอาสะใภ้สาม กัดนิ้วตัวเองแล้วมองไข่เจียวด้วยดวงตากลมโตน้ำตาคลอ เขาก็อดสงสารไม่ได้
เฉินซื่อ สะไภ้สาม ลุงใหญ่กับอาสะใภ้สี่ยังมักจะทะเลาะกันบนโต๊ะอาหารด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น เอาขนมปังก้อนเดียวกัน หรือคีบผักจานเดียวกัน เป็นต้น สรุปแล้ว โต๊ะอาหารในบ้านนี้ไม่มีวันที่จะสงบสุข
จริงๆ แล้ว ความขัดแย้งในบ้านนี้มันก็สรุปได้แค่คำเดียว "จน" หากมีทรัพย์สมบัติหลายล้าน คงไม่เกิดการทะเลาะกันเรื่องเล็กน้อยแบบนี้หรอก ที่พูดกันว่า "คนจนใจแคบ ม้าผอมขนหยาบ" ก็เป็นแบบนี้แหละ
แต่เมื่อมองไปที่แขนขาสั้นๆ ของตัวเอง การจะร่ำรวยและประสบความสำเร็จในชีวิตก็ต้องบอกว่ามันยากมาก ประสบการณ์จากชีวิตก่อนหน้านี้หลายๆ อย่างในที่นี้ไม่สามารถใช้ได้ และวิชาชีพของตัวเองก็เป็นวรรณกรรมจีนโบราณ ซึ่งไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับการประดิษฐ์แก้วหรือสิ่งประดิษฐ์อื่นๆ แม้กระทั่งทักษะการทำอาหารหรือการทำกับข้าวที่มักพบในนิยายสาวข้ามภพก็ไม่ถนัดเลย แน่นอนว่าไม่ได้หมายความว่าตัวเองไม่มีความสามารถอะไรเลย อย่างน้อยก็ยังมีประสบการณ์และความรู้จากหลายร้อยปีที่ผ่านมา และความรู้ในวรรณกรรมจีนโบราณ การจะร่ำรวยและประสบความสำเร็จยังคงเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้