14 - เด็กหญิงตัวน้อยผู้เอาแต่ใจ
ยามอาทิตย์อัสดง พระอาทิตย์ดั่งสาวงามผู้เขินอาย แก้มแดงระเรื่อซ่อนตัวเข้าห้องหอ แสงยามเย็นแต่งแต้มบรรยากาศราวกับลูกไม้หรือผ้าโปร่ง ทุกสิ่งที่ถูกแสงอัสดงสาดส่องดูเหมือนถูกเปลี่ยนโฉมใหม่หมด บรรยากาศอบอวลด้วยท่วงทำนองอันไพเราะ หมู่บ้านบนภูเขาก็แลดูมีเสน่ห์ขึ้นมาทันตา
เสียงล้อเกวียนเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นมาจากทางลูกรังที่เต็มไปด้วยโคลน สองครอบครัวของท่านปู่ใหญ่และท่านป้าใหญ่ ค่อยๆ เคลื่อนห่างไปท่ามกลางสายตาอาลัยของคนในบ้านตระกูลจู ท่านปู่ยืนอยู่ที่ประตูบ้าน มองตามหลังเกวียนที่ลับตาไปอย่างอาวร
แน่นอนว่า จูผิงอันไม่ได้มีความเศร้าโศกในยามจากลาเช่นนี้ เขาลูบคลำกระเป๋าที่ตุงของตัวเองพร้อมรอยยิ้มกว้างจนปิดไม่มิด
ท่านแม่เขาเองก็จ้องกระเป๋าของจูผิงอันด้วยสายตาที่หรี่ลงคล้ายพระจันทร์เสี้ยว
สุดท้ายก็พิสูจน์ได้ว่า "ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด" เงินอั่งเปาของจูผิงอันถูกท่านแม่ริบไปจนหมด โดยทิ้งไว้ให้เขาเพียง 5 เหรียญทองแดง และยังไม่วายกำชับไม่ให้เขาใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
จูผิงอันมองแม่ที่กำลังนั่งนับเงินใต้แสงตะเกียงด้วยสายตาโอดครวญ "ท่านแม่ให้ข้าแค่ 5 เหรียญ จะให้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยยังไง?"
“หนึ่ง...สอง...สาม...สี่...ห้า...หก...” แม่ของเขานับถั่วเงินอยู่ใต้แสงตะเกียง
"ภรรยา พรุ่งนี้ไปตลาด อยากได้อะไรไหม?" จูโซ่วอี้เดินเข้ามาจากนอกประตูพร้อมถาม เพราะเมื่อครู่ย่าพึ่งบอกให้เขาไปตลาดในวันรุ่งขึ้นเพื่อซื้อของใช้จำเป็นในบ้าน เช่น น้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว และยังให้เอาหนังกระต่าย 2 ผืนกับของป่าที่เก็บไว้ก่อนหน้านี้ เช่น เห็ดหูหนู และหน่อไม้แห้งไปขายด้วย
จูโซ่วอี้ถามด้วยความหวังดี แต่กลับถูกเฉินซื่อถลึงตาใส่
“อ๊าย! ข้ากำลังนับเงินอยู่ มาถามอะไรตอนนี้!” เฉินซื่อทำหน้าบึ้งทันที เพราะการนับเงินที่กำลังต่อเนื่องถูกขัดจังหวะ ต้องเริ่มนับใหม่ทั้งหมด จะให้เธอทำหน้ายิ้มตอบได้อย่างไร
เสียงนับเงินจึงเริ่มต้นอีกครั้ง
ไม่นาน เฉินซื่อก็นับเงินอั่งเปาที่ริบจากจูผิงอันได้เสร็จ โดยไม่รวม 5 เหรียญทองแดงที่เหลือไว้ให้จูผิงอัน บนโต๊ะมียอดรวมเป็นถั่วเงิน 8 เม็ด และเหรียญทองแดง 20 เหรียญ รวมแล้วประมาณ 1 ตำลึง เฉินซื่อยิ้มอย่างมีความสุขแล้วเก็บเงินทั้งหมดไว้ใต้หมอน รอให้คนในบ้านเผลอจึงจะซ่อนในที่ปลอดภัยอีกครั้ง
"พอแล้ว ไม่ต้องทำหน้างออีก พรุ่งนี้ให้พ่อเจ้าพาไปเที่ยวตลาดทั้งวันเลย" แม่ของเขาพูดปลอบใจจูผิงอัน
แม้จะรู้ว่าเป็นการปลอบแบบไร้เนื้อหา แต่เมื่อแขนสั้นไม่อาจงัดข้อกับคนที่ใหญ่กว่าได้ จูผิงอันก็จำต้องยอมรับโดยดุษณี
หมู่บ้านเซี่ยเหออยู่ห่างจากตลาดในตัวเมืองประมาณ 5 ลี้ เมืองนั้นชื่อว่า "เมืองเค่าซาน" ซึ่งตั้งชื่อตามภูเขาที่อยู่ใกล้
เมืองเค่าซานล้อมรอบด้วยขุนเขา แม่น้ำโบราณที่งดงามไหลคดเคี้ยวเหมือน "แผนผังไท่จี๋" ล้อมรอบสองด้านของเมือง ถนนสายเก่าในเมืองคดเคี้ยวซับซ้อน บ้านเรือนและร้านค้าถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ มีพื้นที่อยู่อาศัยและเขตการค้าแยกจากกัน ถนนสายหลักปูด้วยหินสีน้ำเงินที่เต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน ร้านค้าเรียงราย เสียงตะโกนขายของดังไม่ขาดสาย
เมื่อเปรียบเทียบกับหมู่บ้าน เมืองเค่าซานถือว่าเป็นที่ที่คึกคักและครึกครื้นมากทีเดียว
จูโซ่วอี้ขับเกวียนพาวัวและลูกชายสองคนเข้าสู่เมืองเค่าซาน ของที่บรรทุกมาด้วยนอกจากหนังกระต่ายและของป่าตามที่ท่านย่าสั่งแล้ว ยังมีตะกร้าหวายที่จูโซ่วอี้สานไว้ในช่วงก่อนหน้า และของใช้เล็กๆ น้อยๆ ส่วนจูผิงอันเองก็เอาดอกไม้จันทน์ตากแห้งหนึ่งกระสอบไปด้วย หวังว่าจะลองไปขายที่ร้านขายยาในตลาด
เมื่อเข้าสู่เขตการค้า จูโซ่วอี้จ่าย 2 เหรียญเพื่อเช่าพื้นที่ขนาด 10 ตารางเมตร แล้วเริ่มตั้งแผงขายสินค้าจากรถเกวียน
แผงขายของพวกเขาอยู่ติดกับร้านอาหารเล็กๆ ซึ่งตั้งเต็นท์กันน้ำมันไว้นอกอาคาร มีโต๊ะอยู่ 6 ตัวสำหรับให้ลูกค้านั่งรับประทานอาหาร
เพราะออกมาแต่เช้าตรู่เพื่อจองพื้นที่ พวกเขาจึงยังไม่ได้กินอาหารเช้า หลังจากจัดแผงเสร็จ จูโส่วอี้จึงพาลูกชายสองคนไปกินอาหารที่ร้านอาหารข้างๆ
จูโซ่วอี้สั่งซาลาเปาเนื้อ 2 ลูก และหมั่นโถว 4 ลูก พร้อมกับซุปข้น 3 ชาม รวมแล้วทั้งหมด 5 เหรียญทองแดง โดยทางร้านแถมผักดองเล็กน้อยมาให้
จูโซ่วอี้กินหมั่นโถว 2 ลูก ส่วนจูผิงอันและจูผิงชวนคนละ 1 ลูกกับซาลาเปาเนื้ออีกคนละ 1 ลูก
“พ่อ ท่านกินซาลาเปาเถอะ ข้ากินหมั่นโถวลูกเดียวก็พอแล้ว” จูผิงอันพูดพลางยื่นซาลาเปาเนื้อที่เขาไม่อยากจะจากไปให้พ่อ
“ข้าก็เหมือนกัน” พี่ชายจูผิงชวนพูดสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
พ่อของพวกเขายิ้มอย่างพึงพอใจ ลูบหัวลูกชายทั้งสองเบาๆ ก่อนส่ายหน้า “พวกเจ้ากินเถอะ เมื่อวานข้าดื่มเหล้ามากไป วันนี้ไม่อยากกินของมันๆ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จูผิงอันที่อยากกินซาลาเปาเนื้อเป็นทุนเดิมก็ไม่รีรอ นี่เป็นซาลาเปาเนื้ออันแรกที่เขาได้พบเจอนับตั้งแต่มาอยู่ในยุคโบราณ เขาแน่ใจว่ารสชาติของมันต้องไม่ทำให้ผิดหวัง
“คนจน!”
ทันใดนั้น เสียงเล็กๆ แหลมๆ แต่หยิ่งยโสดังขึ้นมา
จูผิงอันหันไปตามเสียง ก็เห็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ วัยประมาณสี่ถึงห้าขวบ ใกล้เคียงกับเขา กำลังมองเขาด้วยสายตาดูถูก
เด็กหญิงตัวน้อยสวมชุดฮั่นฝูแบบดั้งเดิม พร้อมเครื่องประดับพู่ที่ศีรษะ ทำให้นางดูสง่างามและพลิ้วไหว หากไม่ได้ยินคำพูดเมื่อครู่ จูผิงอันคงอดชื่นชมความงดงามของฮั่นฝูไม่ได้
แต่น่าเสียดายที่เธอเป็นเพียงเด็กหญิงที่ทั้งเอาแต่ใจและปากร้ายไร้มารยาท นับว่าสูญเปล่าสำหรับใบหน้าที่สวยงามเช่นนั้น
ข้างๆ เด็กหญิงมีชายร่างอ้วนผู้ดูเหมือนเจ้าของที่ดิน เขาสวมหมวกทรงแตงโมนิ่งๆ นิ้วทั้งสองข้างประดับด้วยแหวนทองคำ ใส่เสื้อผ้าที่ดูดีกว่าท่านปู่ใหญ่ของจูผิงอัน บนโต๊ะมีทั้งเนื้อเปื่อย ซาลาเปาเนื้อหนึ่งเข่ง กับข้าวเล็กๆ น้อยๆ และเกี๊ยวน้ำสองถ้วย
ที่แท้ก็เจ้าที่ดินนี่เอง ไม่แปลกใจเลย!
เจ้าของที่ดินไม่เพียงไม่ว่ากล่าวตักเตือนลูกสาวของเขา แต่กลับตามใจเขาด้วยความเอ็นดู “เจ้าหนูซู อย่าไปสนใจพวกเขา รีบกินข้าวเถอะ”
เจ้าของที่ดินคนนี้มีลูกชายสามคน แต่ลูกสาวคนนี้เป็นลูกสาวคนเดียวของเขา เขาจึงเลี้ยงดูราวกับแก้วตาดวงใจ หวงแหนจนไม่กล้าให้แตะต้อง
“ท่านตามใจลูกสาว แต่ข้าไม่ตามใจหรอก”
จูผิงอันกลอกตาใส่เด็กหญิง แล้วพูดเบาๆ ออกมาสามคำ “ยัยเด็กขี้เหร่!”
คำพูดนี้เหมือนจุดชนวนระเบิด เด็กหญิงไม่ยอมทันที เธอเม้มปาก น้ำตาคลอในดวงตากลมโตด้วยความโกรธ “เจ้าหนูนี่มันกล้าดียังไงมาว่าข้าเป็นยัยเด็กขี้เหร่! มีแต่คนบอกว่าข้าสวยทั้งนั้น!”
“เจ้าหนูน้อย เจ้าหมายถึงใคร?!” เด็กหญิงจ้องจูผิงอันด้วยความโกรธแทบอยากพุ่งไปกัดเขา
จูผิงอันยิ้มเยาะเล็กน้อย ทำท่าเหมือนจะตอบโต้กลับ
“แค่ก!” พ่อของเขากระแอมเสียงดัง “ผิงอัน กินข้าวได้แล้ว”
พ่อของจูผิงอันเป็นคนซื่อ ไม่อยากสร้างปัญหา และเขาก็จำได้ว่าเจ้าของที่ดินคนนี้คือหลี่ต้าคุณชายจากหมู่บ้านใกล้เคียง จึงรีบห้ามปรามลูกชาย
“น้องชาย อย่าก่อเรื่อง” จูผิงชวนพี่ชายที่เงียบขรึมก็เข้ามาช่วยพูดอีกแรง
เมื่อพ่อสั่ง และพี่ชายตักเตือน จูผิงอันจึงต้องเก็บคำพูดไว้
เด็กหญิงเห็นจูผิงอันไม่กล้าพูดอะไร ก็ยิ่งได้ใจ พลางเรียกเขาว่า “เด็กจน” “ไอ้คนบ้านนอก” ไม่หยุด
“พอแล้วหนูซู รีบกินข้าวเถอะ เดี๋ยวเย็นจะไม่อร่อย” เจ้าของที่ดินหลี่พูดปลอบลูกสาวพร้อมตักเกี๊ยวน้ำป้อน
เขาดูรักและทะนุถนอมลูกสาวมาก ยอมให้เธอกินก่อนจนพอใจ จึงเริ่มจะกินเอง
แต่ทันทีที่เขาเริ่มจะกิน เด็กหญิงก็เอะอะขอซื้อขนมเชื่อม เจ้าของที่ดินที่ไม่กล้าขัดใจจึงรีบไปซื้อมาให้
ระหว่างนั้น เด็กหญิงก็หยิบพริกเผามาตักใส่ถ้วยเกี๊ยวน้ำของพ่อนางทีละช้อนๆ พลางพึมพำ “ข้าจะใส่เผ็ดให้ตาย ข้าจะใส่เผ็ดให้เข็ด…ฮึ!”
จูผิงอันมองภาพนั้นพลางเพิ่มคำว่า “เจ้าเด็กเจ้าเล่ห์” ให้เป็นอีกหนึ่งนิยามของเด็กหญิงคนนี้