บทที่ 857 ภัยคุกคามถูกปลดเปลื้อง
ตำแหน่งกษัตริย์แห่งแคว้นอู๋ฉือหมายถึงมีโอกาสที่จะได้ขึ้นเป็นเซียน
สำนักเสินหนง สำนักเทียนกง และหน่วยฮวาเย่ว ไม่ได้ลงแข่ง ไม่ได้แปลว่าพวกเขาไม่อยากได้ตำแหน่งนี้ แถมฟ่านเทียนหมิง สุ่ยหยุนฉี และหยุนหยาที่นั่งประชุมอย่างสงบเรียบร้อยก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาไม่ให้ความสำคัญเช่นกัน
หากมีโอกาส พวกเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อขึ้นครองตำแหน่งกษัตริย์แห่งแคว้นนี้
อย่างไรก็ตาม แม้กระทั่งสุ่ยหยุนฉี ผู้ที่เต็มไปด้วยความหยิ่งผยองและท้าทายแต่ถึงเขาจะบรรลุขั้นหลอมรวมก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะสามารถจัดการกับผู้ฝึกตนขั้นหลอมรวมคนอื่นๆได้แน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น แคว้นอู๋ฉือเองก็ไม่ใช่ผืนแผ่นดินเดียวที่ไม่มีการแตกร้าว ช่วงที่ผ่านมาหลายเขตปกครองมีปีศาจและสิ่งชั่วร้ายแพร่ระบาด หากมีการต่อสู้ภายในเกิดขึ้นจริงๆ ผู้ฝึกตนขั้นหลอมรวมหลายคนคงต้องเจ็บปวดหนัก ไม่ต้องรอให้พวกเขาลงมือเอง แคว้นอู๋ฉือก็คงถูกพวกผู้ฝึกตนมารที่วนเวียนอยู่ในรอยแยกทำลายไปแล้ว
นี่แหละเหตุผลที่พวกเขาไม่ลงมือ แม้กระทั่งไม่ลังเลที่จะเชิญหลัวจิ่วจงมาช่วยไกล่เกลี่ย
หากว่าเหล่าผู้ฝึกตนขั้นหลอมรวมจากเป่ยโจวไม่แตกแยกกัน สถานการณ์ยังพอที่จะเจรจาได้ หรือถ้าหากผู้ที่พึ่งก้าวขึ้นระดับหลอมรวมยังไม่สามารถควบคุมพลังของขั้นนี้ได้ พวกเขาก็อาจเสี่ยงที่จะบาดเจ็บเพื่อจัดการกับภัยคุกคามจากเป่ยโจวให้สิ้นซาก
แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าพลังที่ฮวางฝู่หยวนแสดงออกมานั้นเกินกว่าที่พวกเขาคาดคิด
หากลงมือโดยประมาทจริงๆอาจจะต้องเสียหายอย่างหนัก!
“ดี! ดี! แท้จริงแล้วพวกเจ้าทนกล้ำกลืนมานานขนาดนี้!” สุ่ยหยุนฉีพูดด้วยเสียงกัดฟัน ดวงตาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด
ขั้นหลอมรวมนั้นยากเย็นแค่ไหน?
แคว้นอู๋ฉือมีผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วน ก่อนหน้าพวกเขา มีเพียงแค่เจ็ดคนที่สามารถบรรลุถึงขั้นนี้ได้
จำนวนผู้ฝึกตนขั้นหลอมรวมที่อยู่พร้อมกันในโลกนี้ไม่เคยเกินสองมือ!
และหกลัทธิ กับห้าสำนักเซียน ที่ยอมให้สี่เขตใหญ่เติบโตขึ้นได้ ก็เพราะมั่นใจว่าคนเหล่านี้ไม่มีทางบรรลุขั้นหลอมรวมได้
แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าคนจากเป่ยโจวเหล่านี้อาจมีความลับบางอย่างที่พวกเขาไม่เคยรับรู้!
“ท่านสุ่ย คำพูดนี้ไม่ยุติธรรมเกินไปหน่อยหรือ เราเพียงต้องการปกป้องตัวเองเท่านั้น” ฮวางฝู่หยวนยังคงแสดงออกด้วยท่าทีเย็นชา แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับซีหลิงหลง ที่พร้อมจะระเบิดอารมณ์ได้ทุกเมื่อ
“ปกป้องตัวเอง? ฮึ!”
“ข้าเคยบอกแล้วว่า เป่ยโจวของพวกเราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องใดๆ ของจงโจว ตรงกันข้ามหากรอยแยกเกิดการปั่นป่วน พวกเราก็จะไม่ลังเลที่จะยื่นมือเข้าช่วย การตัดการติดต่อกับจงโจวเป็นการประนีประนอมขั้นสุดท้ายของเรา ส่วนการให้สาบานด้วยคำสาบานแห่งจิตนั้น เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน”
ด้านข้าง หลัวจิ่วจงพยักหน้าอย่างคิดคำนึง แล้วถามว่า
“ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?”
“พวกท่านก็อย่าแกล้งไม่รู้ความจริงเลย ถ้าเป็นท่านล่ะ ท่านจะทำหรือไม่?”
ต่อหน้าคำถามกลับของฮวางฝู่หยวน คราวนี้สุ่ยหยุนฉีก็ไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้
ถึงเวลาที่หลัวจิ่วจงผู้เป็นกลางต้องลงมือ!
“ถ้าเช่นนั้น แต่ละฝ่ายก้าวถอยหลังกันคนละก้าว เป่ยโจวไม่ต้องสาบานด้วยคำสาบานแห่งจิต แต่ต้องทำเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษร หากผิดสัญญา ต่อให้ข้าต้องเสียพลังการฝึกตนทั้งหมด ข้าก็จะดึงพวกท่านทุกคนลงไปยมโลกด้วยกัน”
เมื่อคำนี้ถูกเอ่ยออกมา ไม่ใช่แค่ฮวางฝู่หยวนกับซีหลิงหลงที่ตกใจ แต่สุ่ยหยุนฉีและฟ่านเทียนหมิงเองก็เช่นกัน!
นี่หมายถึงอะไร?
หมายถึงหลัวจิ่วจงที่ปกติไม่เคยเข้าข้างฝ่ายใด ลงมือเอง!
“ดี งั้นพวกเรายอมรับ”
ฮวางฝู่หยวนไม่ต่อรองอีกต่อไป
เมื่อหลัวจิ่วจงลงมือและเข้ามาเป็นผู้ค้ำประกัน หากพวกเขายังพูดมากกว่านี้ ก็ดูจะไม่เหมาะสมเกินไป
“พวกท่านล่ะ?” หลัวจิ่วจงหันมาถาม
“ท่านอาวุโสหลัวเอ่ยปากแล้ว ข้าไม่มีข้อโต้แย้ง” หยุนหยารับปากทันที
“แค่กๆ ได้” ฟ่านเทียนหมิงกระแอมสองครั้งและยอมรับด้วยเช่นกัน
“ดี!”
การต่อสู้ครั้งนี้ จบลงอย่างสงบ
หวงอวี้ที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ยังรู้สึกไม่สงบใจ
เขารู้ถึงสถานะของอาจารย์ของเขาในแคว้นอู๋ฉือ แต่ไม่คิดว่าสถานะจะสูงส่งถึงเพียงนี้!
แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นหลอมรวมคนอื่นๆ ยังต้องให้เกียรติเขามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
สถานะนี้เกรงว่าจะสูงเกินแคว้นอู๋ฉือเสียอีก!
หนึ่งวันถัดมา
จงโจวและเป่ยโจวได้ทำเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรภายใต้การเป็นสักขีพยานของหลัวจิ่วจง
เป่ยโจวตัดการติดต่อกับเขตปกครองอื่นๆส่วนใหญ่ เหลือเพียงแค่ทางเดียวที่เชื่อมต่อกับจงโจวและทางไปกลับกับผิงตูโจว
นอกจากนี้ ผู้ฝึกตนจากเป่ยโจวที่ต้องการเข้าสู่จงโจวต้องรายงานตัวผ่านผิงตูโจวล่วงหน้า
หากไม่ได้รับอนุญาต ห้ามใครเข้าสู่จงโจวโดยพลการ
ยิ่งไปกว่านั้น ข้อสำคัญที่สุดก็คือ เป่ยโจวต้องไม่แย่งชิงตำแหน่งกษัตริย์แห่งแคว้นอู๋ฉือ!
และข้อนี้เองที่เปรียบเสมือนยาหัวใจที่ทำให้หยุนหยาและพวกมีความสบายใจขึ้นมาก
“อาจารย์ ข้าขออยู่ต่ออีกสักสองสามวัน” การเดินทางไปเป่ยโจวจบลง หลัวจิ่วจงกำลังจะจากไป หวงอวี้ก็กล่าวออกมา
“พวกเจ้าไปตามสะดวก ต่อไปแคว้นอู๋ฉือไม่น่าจะเกิดความวุ่นวายใหญ่” คำว่า “พวกเจ้า” นั้นหมายความว่าอย่างไร ชัดเจนอย่างยิ่ง
และแล้วหลัวซาซาก็ถามอย่างตื่นเต้น
“พวกเราจะไปเที่ยวที่ไหนกันดี?”
หวงอวี้เมื่อเห็นท่าทางดังนั้น แม้จะรู้สึกปวดหัวแต่ก็ยังยิ้มแล้วกล่าวว่า
“ไปหาสหายที่สามารถหมักสุราได้ของข้า”
“จริงหรือ?”
“แน่นอน!”
“ดีมาก! อยู่ที่ไหนกัน? พวกเราไปเดี๋ยวนี้เลย”
“อยู่ที่ผิงตูโจว เจ้าก็รู้จักเขา”
“ผิงตูโจว? ข้ารู้จัก?”
หลัวซาซาพิจารณาอย่างจริงจัง
ในขณะเดียวกัน หลัวจิ่วจงที่เห็นการพูดคุยที่แสนเบาสบายของทั้งสองก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อแล้วกลายเป็นแสงสว่างลอยหายไป
“เฉินโม่ ? เจ้าว่าเฉินโม่หรือ? ใช่เขาหรือไม่?”
เมื่อเห็นหวงอวี้พยักหน้า หลัวซาซาก็ยิ่งตกใจ
“เขาไม่ตายที่ไห่ผิงโจวหรือ?”
“แน่นอนว่าไม่ สหายเฉินมีความสามารถเกินกว่าที่เจ้ากับข้าจะจินตนาการ”
“จริงหรือ?”
“จริง!”
หลัวซาซามองตาหวงอวี้
“แต่เขาไม่มีทางเก่งเกินกว่าเจ้าแน่”
ครั้งหนึ่ง หวงอวี้จะคิดเช่นนั้นโดยไม่ลังเลและพร้อมที่จะทำร้ายใครก็ตามที่คัดค้าน แต่ตอนนี้ล่ะ?
เขาเองก็ไม่แน่ใจแล้ว
หลายปีที่อยู่ในผิงตูโจว หวงอวี้ไม่เคยเห็นเฉินโม่ลงมือเลยสักครั้ง
แต่เขามักจะมีความรู้สึกว่า ผู้ใช้วิชาเพาะปลูกพืชวิญญาณเพื่อเข้าสู่เส้นทางแห่งเซียนเช่นเฉินโม่ ดูเหมือนจะไม่ด้อยกว่าเขาเลย
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีสัตว์อสูรที่แต่ละตัวมีพลังวิเศษอีกมากมาย...
“ต่างคนต่างมีความโดดเด่นกันไป” หวงอวี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ยังไม่ยอมรับ
เมื่อก้าวสู่แผ่นดินผิงตูโจวอีกครั้ง ทุกอย่างดูคุ้นเคยอย่างยิ่ง
เขาไม่คิดเลยว่า ผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน เขากลับมาอีกครั้ง
แต่หวงอวี้รู้ดีว่า เขาจำเป็นต้องมา!
เขาจำเป็นต้องบอกสถานการณ์ปัจจุบันของแคว้นอู๋ฉือให้เฉินโม่รู้ เพื่อให้เขาทราบสถานการณ์ทั้งหมด
แม้ว่าหลัวจิ่วจงจะคุ้มครองให้พวกเขายืนอยู่ในฐานะผู้เป็นกลางอย่างเด็ดขาด แต่ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ยิ่งรู้ข้อมูลมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสามารถรับมือสถานการณ์ในปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น
“ที่นี่คือผิงตูโจวหรือ? ข้าเพิ่งเคยมาครั้งแรก”
หลัวซาซามองสำรวจไปรอบๆ
ที่นี่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณที่เบาบาง การฝึกตนที่นี่คงจะช้ามาก
“ใช่ ที่นี่คือด่านเฟยเทียน เป็นสถานที่ที่เคยรุ่งเรืองที่สุด”
“อ๊ะ? ที่รุ่งเรืองที่สุดก็เป็นเช่นนี้หรือ?”
“ใช่”
หวงอวี้พยักหน้า เขาไม่อยากอธิบายอะไรอีก
อีกไม่นาน หลัวซาซาจะได้เห็นทุกอย่างเอง
และในขณะที่พวกเขาเพิ่งเดินทางมาถึงได้ไม่นาน เงาร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามา
เจียงลั่วสุ่ยที่ในตอนแรกเต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว เมื่อเห็นผู้มาเยือนก็เปลี่ยนท่าทีทันทีและเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า
“คารวะท่านผู้อาวุโสอวี้!”
(จบบท)