บทที่ 425 สำนักร้อยรบ และดวงตาชั่วร้ายแห่งโพรงฟ้าดินเสน่ห์แม่มด
#
"ท่านเรียกข้า?"
เทียนซ่าห์แปดใบไม้พยักหน้าเบา ๆ
"ขอแสดงความยินดีต่อท่าน ที่สังหารสวี่เหยียนลงได้ นับเป็นผลงานชิ้นใหญ่ในการฟื้นฟูเกียรติยศแห่งฟ้าดิน!"
ผู้มาถึงกล่าวแสดงความยินดีอย่างลิงโลด
ปากที่อยู่ภายใต้หน้ากากของเทียนซ่าห์แปดใบไม้กระตุกเล็กน้อย รู้สึกเจ็บปวดที่ฝ่ามือและเจ็บปวดที่ไหล่มากขึ้นกว่าเดิม ยิ่งเมื่อได้ยินชื่อ "สวี่เหยียน" ทำให้พลังแห่งกระบี่ที่ยังหลงเหลืออยู่ภายในกายของเขาเริ่มก่อกวนอีกครั้ง
"สวี่เหยียนยังไม่ตาย!"
"อะไรนะ?"
ใบหน้าของผู้มาเต็มไปด้วยความตกใจ ท่านเทียนซ่าห์แปดใบไม้ถึงกับลงมือเอง แต่ก็ไม่สามารถสังหารสวี่เหยียนได้? แล้วเมื่อนึกขึ้นได้ เขาจึงถามว่า "ท่านได้จับสวี่เหยียนเป็น ๆ เอาไว้หรือเปล่า เพื่อจะโยนความผิดให้กับพวกอื่น?"
ใช่แล้ว!
ท่านเทียนซ่าห์แปดใบไม้ไม่ได้สังหารสวี่เหยียน เพื่อที่จะใช้การตายของเขาโยนความผิดไปยังพวกอื่นงั้นหรือ?
"ข้าไม่ได้จับตัวสวี่เหยียน"
"อะไรนะ?"
ผู้มาถึงแสดงท่าทางตกใจ
"ท่าน สวี่เหยียนแข็งแกร่งถึงเพียงนั้นแล้วหรือ? ถึงกับท่านที่ลงมือเองก็ไม่สามารถจัดการได้?"
เทียนซ่าห์แปดใบไม้มองดูผู้ที่พูดด้วยสายตาเย็นชา และพูดขึ้นอย่างหนักแน่นว่า "เจ้าพูดอะไรไร้สาระ? ถ้าข้าลงมือเอง เจ้าสวี่เหยียนนี่นะ ไม่มีทางหนีพ้น!"
"แล้วทำไมถึง..."
คู่สนทนาทำหน้าสงสัย
"ข้าคิดอย่างรอบคอบแล้ว เห็นว่าการจับตัวสวี่เหยียนมันง่ายเกินไป ไม่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เลย ดังนั้นข้าจึงคิดว่ามีวิธีอื่นที่ดีกว่าให้ข้าลงมือสังหารสวี่เหยียนโดยตรง"
ผู้มาถึงได้ยินเช่นนั้นก็โล่งใจ เขาตกใจหมด คิดว่าท่านเทียนซ่าห์แปดใบไม้ยังไม่สามารถจัดการกับสวี่เหยียนได้เสียอีก
"ท่านมีแผนการใดหรือ?"
ในใจของเขากระซิบกับตัวเองว่าท่านเทียนซ่าห์นี้ มีหน้าที่หลักในการฆ่าฟัน ไม่ค่อยถนัดในการวางแผน แล้วจู่ ๆ ทำไมถึงฉลาดขึ้นมาได้?
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแผนของเขานั้นน่าเชื่อถือแค่ไหน
เทียนซ่าห์แปดใบไม้มีสายตาล้ำลึก ราวกับกำลังวางแผนลึกซึ้ง ทุกอย่างอยู่ในกำมือของเขา
"ฆ่าเซียนผิง โยนความผิดให้กับเมิ่งชง ตอนนี้พันธมิตรหมื่นสมบัติกับเมิ่งชงมีความแค้นลึกราวทะเล ไม่สามารถประสานกันได้อีกต่อไป ไม่ว่าเมิ่งชงจะไปที่ไหนก็จะต้องถูกพันธมิตรหมื่นสมบัติตามล่า
"หากถึงเวลาที่เหมาะสม จัดการฆ่าเมิ่งชง แล้วโยนความผิดให้พันธมิตรหมื่นสมบัติ พันธมิตรหมื่นสมบัติก็จะไม่พ้นที่จะต้องเผชิญการแก้แค้นจากผู้ที่อยู่เบื้องหลังเมิ่งชง
"ข้าคิดไปคิดมา หากทำเช่นเดียวกันกับสวี่เหยียน มันจะมีค่ามากกว่าการที่ข้าลงมือสังหารเขาเองเสียอีก!"
ผู้มาถึงได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจ แต่ก็ยังคงลังเลถามขึ้นว่า "ท่าน การที่พันธมิตรหมื่นสมบัติมุ่งไปที่เมิ่งชง หากจะไปทำเช่นเดียวกันกับสวี่เหยียน มันจะดีหรือ?"
"โง่เง่า!"
เทียนซ่าห์แปดใบไม้จ้องผู้พูดด้วยสายตาเฉียบขาด "ทำไมเจ้าถึงโง่ได้ถึงขนาดนี้? ดินแดนศักดิ์สิทธิ์มีเพียงพันธมิตรหมื่นสมบัติเพียงกลุ่มเดียวหรืออย่างไร? พันธมิตรหมื่นสมบัติเป็นกลุ่มเดียวที่อยู่ในดินแดนทั้งสามสิบแห่งหรือไง?"
ผู้มาถึงขบกราม ตำหนิอยู่ในใจ ว่าถูกคนที่มีแต่จะฆ่าฟันอย่างเทียนซ่าห์แปดใบไม้มาดูถูกได้อย่างไร!
"ท่านหมายถึง?"
เทียนซ่าห์แปดใบไม้แสดงสายตาที่มั่นใจ "สำนักร้อยรบ! ให้สวี่เหยียนมีความขัดแย้งกับสำนักร้อยรบ เทียนเจียวหงถิงแห่งสำนักร้อยรบอยู่ที่เขตชางหยุน และกำลังเข้าสู่โพรงฟ้าดินเสน่ห์แม่มดเพื่อทำสงคราม หาโอกาสที่เหมาะสมฆ่าเขา แล้วโยนความผิดให้สวี่เหยียน!"
"ท่านช่างฉลาดจริง ๆ!"
ผู้มาถึงเข้าใจในทันที นึกได้ว่าทำไมตนถึงลืมสำนักร้อยรบไปได้
เพียงแต่เขาก็ยังคงกังวลว่า "ท่าน หงถิงคือเทียนเจียวแห่งสำนักร้อยรบ มีพลังที่แข็งแกร่ง ไม่เหมือนเซียนผิงเลย หากจะฆ่าเขา จำเป็นต้องมีเทียนจุนอมตะลงมือ เพราะแม้แต่เทียนจุนเทพแท้ก็ทำไม่ได้ และหากมีการโจมตีแบบล้อมรอบก็อาจถูกเปิดเผยได้ง่าย ไม่สามารถโยนความผิดให้สวี่เหยียนได้
"แต่ถ้าหากใช้เทียนจุนอมตะ มันก็จะถูกสืบพบได้ง่ายว่าเป็นการตายที่เกิดจากเทียนจุนอมตะ มันก็จะโยนความผิดให้สวี่เหยียนไม่ได้เช่นกัน"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เทียนซ่าห์แปดใบไม้ก็ชะงักขึ้นมา เขาลืมไปได้ยังไงกันนะ?
"หงถิงไปยังโพรงฟ้าดินเสน่ห์แม่มด นั่นแหละคือโอกาส หากเขาถูกแสงแห่งดวงตาชั่วร้ายในโพรงฟ้าดินเสน่ห์แม่มดส่องรัศมี พลังของเขาจะลดลงอย่างมาก และไม่สามารถใช้พลังได้เต็มที่ นั่นแหละคือโอกาสของเรา"
"ท่านช่างฉลาดยิ่งนัก ข้าจะไปจัดการวางแผนเดี๋ยวนี้!"
ผู้มาถึงตระหนักได้ทันที จากนั้นก็ออกไปอย่างตื่นเต้นเริ่มจัดเตรียมแผนการ
เทียนซ่าห์แปดใบไม้ถอนหายใจออกมา เรื่องที่ตนถูกสวี่เหยียนทำให้ตกอยู่ในสภาพเลวร้ายเช่นนี้ไม่ควรถูกเปิดเผย จะทำให้เสื่อมเสียเกียรติยศของตนเอง!
"หลังจากนี้ คงต้องปิดด่านและหาวิธีกำจัดเจตจำนงกระบี่นี้ออกไป"
........
ภายในโพรงฟ้าดินเสน่ห์แม่มด มีชายหนุ่มคนหนึ่งถือขวานคู่ ร่างกายของเขาถูกห้อมล้อมด้วยพลังสายฟ้า แสดงถึงเจตจำนงการต่อสู้ที่เต็มเปี่ยม ราวกับว่าเขาคือนักรบที่ผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชน
พลั่ก!
ขวานคู่ที่แผ่พลังสายฟ้า สับลงในพริบตาเดียว เฉือนร่างของผู้ที่มีเส้นผมแดงเป็นเข็ม ดวงตาโตดั่งระฆังทองแดง ใบหน้าปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีแดงจนถูกผ่าออกเป็นสองส่วน
มันคือ ตั่วอู่!(墯巫) (ขอใช้ทับเลยนะ แปลแล้วแปลกๆ)
ผู้บุกรุกโพรงฟ้าดินแห่งนี้ที่ถูกเขาฆ่า คือตั่วอู่ แต่มันไม่ใช่ตั่วอู่ที่แข็งแกร่งมาก แต่เป็นตั่วอู่ที่อ่อนแอกว่า
ตามข้อมูลที่มีอยู่ ตั่วอู่ที่อ่อนแอเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นลูกหลานของตั่วอู่ผู้แข็งแกร่งนั้น
ฮึม!
ทันใดนั้น ร่างของตั่วอู่ก็เปล่งแสงออกมา ที่หน้าผากและระหว่างอกปรากฏดวงตาหลายดวง แต่ละดวงตาเปล่งแสงประหลาดออกมา
แสงดวงตาชั่วร้ายของตั่วอู่!
หากถูกแสงนั้นส่องจะกลายเป็นคนขี้เกียจ ร่างกายอ่อนแอ และหมดเจตจำนงในการต่อสู้(ผู้แปลน่าจะโดนแสงนี่แล้วแหละ)
"ฮึ! มาดูกันว่าแสงดวงตาชั่วร้ายของตั่วอู่จะทำให้ข้าสูญเสียเจตจำนงในการต่อสู้ได้หรือไม่!"
ชายหนุ่มที่ถือขวานคู่หัวเราะเยาะ ร่างกายที่แผ่พลังสายฟ้ายิ่งแผ่รัศมีสว่างขึ้น
ขวานคู่ตั้งอยู่ตรงหน้า เจตจำนงการต่อสู้แผ่ซ่าน เสียงคำรามเบา ๆ ราวกับมีเสียงการต่อสู้ของกองทัพนับพัน
เจตจำนงร้อยรบ!
นี่คือวิถีแห่งสำนักร้อยรบที่สร้างเจตจำนงร้อยรบขึ้นมา ยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งแข็งแกร่ง ในภาวะวิกฤตก็จะยิ่งฝ่าฟัน ยิ่งเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง เจตจำนงการต่อสู้ก็ยิ่งทวีความรุนแรง สู้จนสุดใจไม่กลัวตาย!
ชายหนุ่มผู้นี้ก็คือ หงถิง หนึ่งในเทียนเจียวแห่งสำนักร้อยรบ เขามีสายฟ้าเป็นลักษณะเฉพาะ และยังสร้างเจตจำนงร้อยรบขึ้นมาได้
การมาที่เขตชางหยุนในครั้งนี้ ก็เพื่อฝึกฝนเจตจำนงร้อยรบให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมที่จะทะลวงสู่ระดับเทียนจุนอมตะ
สำนักร้อยรบ เป็นกลุ่มพิเศษที่กระจายตัวอยู่ทั่วดินแดนศักดิ์สิทธิ์มากกว่าสามสิบแห่ง
มีชื่อเสียงในด้านการชอบต่อสู้ พวกเขามักจะปรากฏตัวอยู่ในโพรงฟ้าในแต่ละเขตที่เต็มไปด้วยอันตราย พวกเขากล้าหาญและไม่เกรงกลัวตาย ยิ่งในสถานที่อันตรายมากเท่าไหร่ ยิ่งจะเห็นสมาชิกของสำนักร้อยรบได้มากขึ้น
พวกเขาศรัทธาในการต่อสู้ สร้างเจตจำนงร้อยรบที่ไม่ย่อท้อ และหากสร้างเจตจำนงร้อยรบได้สำเร็จ พวกเขาจะสู้ในภาวะวิกฤตได้อย่างเข้มแข็งและทำให้พลังการต่อสู้ทวีขึ้น
นักบู๊แห่งสำนักร้อยรบมีพลังในระดับเดียวกัน สูงกว่านักบู๊กลุ่มอื่นประมาณสามส่วน
ในบรรดาเทียนเจียว หากจะพูดถึงการต่อสู้แล้ว สำนักร้อยรบยิ่งโหดเหี้ยมและกล้าหาญกว่า เทียนเจียวจากกลุ่มใหญ่กลุ่มอื่นก็จะไม่กล้าประลองกับเทียนเจียวของสำนักร้อยรบได้ง่าย ๆ
ในสายตาของเทียนเจียวจากกลุ่มอื่น ๆ เทียนเจียวของสำนักร้อยรบก็คือพวกบ้า!
คนบ้าชอบสู้ ทุกครั้งที่เริ่มต้นต่อสู้ก็ดุจคนบ้าที่จะไม่ยอมจบจนกว่าจะตายไปข้าง
คนของสำนักร้อยรบ หากมีความขัดแย้งหรือเกิดข้อโต้แย้งใด ๆ พวกเขาจะแก้ปัญหาอย่างตรงไปตรงมา ด้วยการต่อสู้หนึ่งครั้งเพื่อตัดสินความแค้น
การต่อสู้แบบชีวิตและความตาย หากสำนักร้อยรบแพ้ พวกเขาก็ยอมรับความพ่ายแพ้และจะลบล้างความแค้นนั้นไป
หากศัตรูแพ้ พวกเขาก็สามารถแก้แค้นและแก้ปัญหาได้สำเร็จ
วิธีการแก้ปัญหาอย่างตรงไปตรงมานี้ ทำให้ดูเหมือนการมีความขัดแย้งกับสำนักร้อยรบนั้นง่ายที่จะจบสิ้นได้ แท้จริงแล้วไม่ใช่ เพราะนักบู๊ของสำนักร้อยรบมีพลังเหนือกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกันถึงสามส่วน
และผู้ที่ออกมาจัดการความขัดแย้งก็มักจะเป็นยอดฝีมือจากสำนักร้อยรบ ไม่มีใครสามารถรอดจากการประลองเช่นนี้ได้
หากมีผู้ใดไม่พอใจและฝ่าฝืนกฎของการประลอง สำนักร้อยรบก็จะไม่ยอมและจะทำลายผู้ที่ฝ่าฝืนอย่างไม่มีปรานี
วิธีการแก้ปัญหาอย่างตรงไปตรงมาและเด็ดขาดเช่นนี้ การต่อสู้ที่ดุเดือดเหมือนคนบ้า ทำให้กลุ่มอำนาจใหญ่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ต้องการมีความขัดแย้งกับสำนักร้อยรบ
และสำนักร้อยรบที่ศรัทธาการต่อสู้ มักจะต่อสู้ในโพงฟ้าดินในแต่ละเขต พวกเขาจะไม่สร้างความรบกวนให้กับผู้อื่น หากไม่ได้รับการยั่วยุ
ดังนั้น เมื่อสมาชิกสำนักร้อยรบปรากฏตัว กลุ่มอำนาจใหญ่ทั้งหลายก็ยินดีต้อนรับพวกเขาเข้าสู่โพรงฟ้า เพื่อช่วยลดภาระในการเฝ้าระวัง
ยิ่งกว่านั้น ในยามที่โพรงฟ้าดินในแต่ละเขตถูกบุกรุกเป็นวงกว้างและสถานการณ์เร่งด่วน พวกเขายังจะติดต่อขอความช่วยเหลือจากสำนักร้อยรบเป็นครั้งแรก ซึ่งสำนักร้อยรบไม่เคยปฏิเสธ พวกเขากลับแสดงเจตจำนงการต่อสู้และมุ่งหน้าไปยังโพรงฟ้าดินทันที
หลายครั้งที่โพรงฟ้าดินในแต่ละเขตประสบสถานการณ์ที่อันตราย การบุกรุกครั้งใหญ่ก็สามารถถูกระงับได้เพราะการมาของสำนักร้อยรบ
หงถิง หนึ่งในเทียนเจียวของสำนักร้อยรบ ผู้ที่เคยรบในโพรงฟ้าดินหลายแห่งและมีชื่อเสียงโด่งดัง การมาที่โพรงฟ้าดินเสน่ห์แม่มดแห่งเขตชางหยุนของเขานั้น ข่าวก็แพร่กระจายไปทั่ว
กลุ่มอำนาจใหญ่ทั้งหลายต่างก็รู้ว่าหงถิงมาที่นี่เพื่อฝึกฝน
ฮึม!
แสงดวงตาชั่วร้ายของตั่วอู่ส่องมาที่หงถิง เขาแสดงเจตจำนงการต่อสู้อย่างสูงส่ง ถึงกับส่งเสียงคำรามออกมา ขวานคู่เปล่งแสงสายฟ้า ต่อต้านแสงดวงตาชั่วร้ายนั้น
"ตั่วอู่ ช่างลึกลับและประหลาดจริง ๆ!"
หงถิงใจเต้นระรัว ตั่วอู่ที่เขากำลังเผชิญอยู่นั้น มีพลังในระดับเดียวกับเขา แต่แสงดวงตาชั่วร้ายนี้ทำให้เขารู้สึกขี้เกียจขึ้นมา
ควรจะรู้ไว้ว่าด้วยพลังของเขานั้น เขาคือยอดฝีมือในระดับเดียวกัน โดยเฉพาะเจตจำนงร้อยรบแห่งสำนักร้อยรบ ซึ่งถือเป็นเจตจำนงที่แข็งแกร่งที่สุด
แม้กระนั้น เขาก็ยังรู้สึกถึงความน่าสะพรึงของแสงดวงตาชั่วร้ายนี้
"นี่มันคือพลังที่สามารถกัดกร่อนเจตจำนง กัดกร่อนจิตวิญญาณและความคิดได้จริง ๆ!"
หงถิงเข้าใจถึงสิ่งที่เผชิญ
แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่กลัว เจตจำนงการต่อสู้ยิ่งเพิ่มขึ้น ความคิดที่จะขี้เกียจถูกขจัดออกไปหมดสิ้น
"ตายซะ!"
ก้าวไปข้างหน้า ขวานคู่วาดลงในพริบตา แสงสายฟ้าสว่างไสว พลั่ก เสียงดังขึ้นเมื่อตั่วอู่ที่อยู่ตรงหน้าถูกเขาฟันลง
"พลังของตั่วอู่เพียงน้อยนิด จะทำให้เจตจำนงของข้าสั่นคลอนได้หรือ?"
หงถิงมองไปข้างหน้าด้วยสายตาที่คมกล้า เห็นตั่วอู่สิบกว่าตัวที่อยู่ตรงหน้า เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าเตรียมเข้าโจมตี
ฮึม!
ตั่วอู่ทั้งสิบกว่าตัวที่อยู่ตรงหน้าต่างถือสามง่ามสีดำ ดวงตาที่อยู่ระหว่างอกเปิดออกพร้อมกัน แสงดวงตาชั่วร้ายอันแข็งแกร่งส่องออกมา
ตั่วอู่ทั้งสิบกว่าตัวต่างใช้แสงดวงตาชั่วร้ายโจมตีพร้อมกัน
"โฮ่!"
หงถิงคำรามออกมา ดวงตาทั้งสองของเขาเวลานี้มีแสงสีแดงปรากฏ เจตจำนงการต่อสู้เพิ่มขึ้นอย่างแรงกล้า เขาเข้าสู่ภาวะคลุ้มคลั่งในการต่อสู้อย่างสมบูรณ์
"ตาย!"
ขวานคู่ฟันออก พลังขวานอันดุดันพุ่งเข้าฟันตั่วอู่สิบกว่าตัว
แกร๊ง!
ตั่วอู่สิบกว่าตัวนั้นยกสามง่ามขึ้นมาต้านไว้ ทั้งสองฝ่ายเปิดศึกกันในทันที แสงดวงตาชั่วร้ายยังคงส่องมาที่หงถิง หวังจะกัดกร่อนเจตจำนงของเขา
แต่หงถิงกลับยิ่งต่อสู้ยิ่งเกรี้ยวกราด ไม่มีท่าทีที่จะขี้เกียจหรือสูญเสียเจตจำนงในการต่อสู้ ตรงกันข้าม เขากลับเข้าสู่ภาวะคลุ้มคลั่งยิ่งขึ้นไปอีก
"สมแล้วที่เป็นเทียนเจียวแห่งสำนักร้อยรบ แข็งแกร่งมาก ถึงขนาดต้านทานแสงดวงตาชั่วร้ายของตั่วอู่ได้!"
"เจตจำนงร้อยรบของหงถิงช่างแข็งแกร่งและบริสุทธิ์ สมกับเป็นหนึ่งในผู้ที่มีโอกาสเข้าสู่ระดับเทียนจุนอมตะของสำนักร้อยรบ!"
ในโพรงฟ้าดินเสน่ห์แม่มด นักบู๊คนอื่น ๆ ต่างพากันชื่นชม
เพราะแสงดวงตาชั่วร้ายของตั่วอู่ ทำให้ไม่มีนักบู๊คนใดกล้าที่จะเผชิญหน้ากับตั่วอู่เพียงลำพัง อย่างน้อยก็ต้องมาสองคนร่วมมือกัน
แต่หงถิงกลับต่อสู้กับตั่วอู่สิบกว่าตัวโดยลำพังได้โดยไม่เสียเปรียบ
"จะทำให้ร่างแยกของตั่วอู่บรรพชนตื่นตัวหรือไม่?"
นักบู๊คนหนึ่งพูดขึ้นด้วยความกังวล
"น่าจะไม่ถึงขั้นนั้น"
การต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างหงถิงกับตั่วอู่ยังคงดำเนินต่อไป เสียงคำรามดังขึ้นเรื่อย ๆ เจตจำนงการต่อสู้ของเขาเต็มเปี่ยม ยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งคลุ้มคลั่ง ลักษณะที่ดุเดือดนั้นทำให้ตั่วอู่ที่ต่อสู้กับเขาเริ่มเกิดความคิดที่จะถอยหนี
เขาคนนี้มันบ้าคลั่งเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถต้านทานแสงดวงตาชั่วร้ายได้อีกด้วย
พลั่ก!
ทันใดนั้น ตั่วอู่ตัวหนึ่งเกิดความคิดที่จะถอย เมื่อคิดจะถอยกลับไปนั้นเอง หงถิงฉวยโอกาสเข้าฟันด้วยขวานเพียงครั้งเดียวจนตัวมันขาดกลาง!
เมื่อเป็นเช่นนี้ ตั่วอู่ตัวอื่นก็เริ่มหวาดกลัว ต่างพยายามป้องกันและถอยกลับไปในขณะเดียวกัน
หงถิงไล่ตามตั่วอู่อยู่สักพัก ก่อนจะหยุดลง
"ก็แค่นี้เอง!"
ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยไอร้อน ผิวหนังเป็นสีแดง ร่างกายเต็มไปด้วยเจตจำนงการต่อสู้ ดวงตาดูถูกมองตั่วอู่ที่ถอยกลับไป
"ในการต้านทานแสงดวงตาชั่วร้ายของตั่วอู่ เจตจำนงการต่อสู้ของข้าก็ถูกขัดเกลาอีกครั้ง แต่ว่าพลังจิตวิญญาณก็ถูกใช้ไปไม่น้อย"
หงถิงถอนหายใจออกมา คิดที่จะออกจากโพรงฟ้าดินเสน่ห์แม่มดเพื่อไปพักฟื้นสักหน่อย
แต่ในเวลานั้นเอง ร่างของตั่วอู่ตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
ตั่วอู่ตัวนี้แตกต่างจากตั่วอู่ตัวอื่น ผมของเขาเป็นสีแดงแต่ใบหน้ากลับไม่มีเกล็ดเลย ดูเหมือนคนปกติไม่มีผิด
หงถิงรู้สึกประหลาดใจทันที
นักบู๊คนอื่น ๆ ก็ประหลาดใจเช่นกัน ต่างพากันร้องเตือนว่า "หงถิง! รีบถอย!"
ร่างแยกบรรพชนตั่วอู่!
หรือกล่าวได้ว่า เขานี่แหละคือตั่วอู่ที่แท้จริง
"แสงดวงตาชั่วร้ายแห่งตั่วอู่ ผู้ใดที่พบเห็นก็จะกลายเป็นคนขี้เกียจ ไม่มีข้อยกเว้น"
ตั่วอู่พูดพลางมองหงถิงด้วยสายตาที่เยือกเย็น
"ร่างแยกบรรพชนตั่วอู่งั้นหรือ? เจ้าร่างแยกนี้ พลังไม่ได้ถึงระดับเทียนจุนอมตะ และอยู่ในระดับเดียวกับข้า ข้าจะกลัวอะไร?"
เจตจำนงการต่อสู้ของหงถิงพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง
แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นร่างแยกของบรรพชนตั่วอู่ แต่พลังของร่างนี้ก็อยู่เพียงในระดับเทียนจุนเทพแท้เท่านั้น ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับเขา แล้วเขาจะต้องกลัวอะไร?
"ตั่วอู่ก็คือตัวข้า ข้าก็คือตั่วอู่ อะไรคือบรรพชนตั่วอู่ ก็แค่ความไม่รู้ของพวกเจ้าเท่านั้น คนอื่น ๆ ล้วนเป็นหุ่นเชิดของข้า ไม่ใช่แม้กระทั่งทายาทสายเลือดของข้า"
หงถิงรู้สึกสะท้านใจ สิ่งที่เขาสังหารไปก่อนหน้านี้เป็นเพียงหุ่นเชิดของตั่วอู่งั้นหรือ?
หุ่นเชิดแค่นี้ แต่กลับมีพลังถึงเพียงนี้?
"ดี งั้นข้าหงถิงจะขอลองพลังของแสงดวงตาชั่วร้ายแห่งตั่วอู่สักหน่อย!"
หงถิงไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย คำรามออกมา เวลานี้เจตจำนงการต่อสู้ของเขามีมากกว่าในช่วงเวลาที่ต่อสู้อยู่ก่อนหน้านี้เสียอีก ทำให้ดูบ้าคลั่งมากยิ่งขึ้น
"ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!"
หงถิงคำรามพุ่งเข้าไปโจมตีตั่วอู่
ในเวลานั้นเอง ร่างของตั่วอู่ปรากฏดวงตาหลายดวงขึ้นทันที ดวงตาเหล่านั้นเปิดออกอย่างกะทันหัน ดูเหมือนแต่ละดวงตามีแสงที่แตกต่างกัน มีท่าทีที่หลากหลายและดูแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
ไม่มีแสงสว่างที่แสบตา มีแต่ความชั่วร้าย
"ฆ่า!"
หงถิงหยุดก้าวลงอย่างกะทันหัน ร้องคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่ง แต่กลับพบว่าเจตจำนงการต่อสู้ของเขากำลังถูกสลายลงเรื่อย ๆ
สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ ความคิดที่จะขี้เกียจเริ่มเข้ามาในใจมากขึ้น เจตจำนงในการต่อสู้กำลังสลายลง รู้สึกว่าแค่ล้มตัวลงบนพื้น ไม่ทำอะไรเลย ก็เป็นสิ่งที่สบายและน่าพึงพอใจ
"ไม่ดีแล้ว!"
หงถิงใจเต้นแรง เขารู้ตัวว่าตนเองไม่สามารถต้านทานแสงดวงตาชั่วร้ายนี้ได้
ก่อนที่เขาจะหมดสิ้นเจตจำนงในการต่อสู้อย่างสิ้นเชิง ร่างของหงถิงก็ถอยหลังไปด้วยความรวดเร็ว
แสงดวงตาชั่วร้ายของตั่วอู่หายไป สายตาของตั่วอู่ยังคงเยือกเย็น เขาไม่ได้ไล่ตามหงถิง แต่กลับยิ้มเล็กน้อยและพูดขึ้นว่า "เทียนเจียวที่ล้มลงเพราะแสงดวงตาของข้ามีไม่น้อย ลองดูสิว่าเจ้าจะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้หรือไม่"
พูดจบ เขาหมุนตัวก้าวเดินแล้วหายเข้าไปในส่วนลึกของโพรงฟ้าดินเสน่ห์แม่มด
หงถิงในเวลานี้มีใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว รู้สึกได้ว่าร่างกายเริ่มอ่อนแรง ราวกับว่าเขาไม่มีแรงที่จะลุกขึ้นมา ความคิดที่จะล้มตัวลงนอนเฉย ๆ และไม่ทำอะไรเลยก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น แม้จะมีคนมาโจมตีเขา เขาก็ขี้เกียจที่จะยกมือขึ้นต่อต้าน
"แสงดวงตาชั่วร้ายนี้ช่างประหลาดและแข็งแกร่งเกินไป!"
หงถิงรีบออกจากโพรงฟ้าดินเสน่ห์แม่มด ต้องรีบหาวิธีแก้พลังของตั่วอู่โดยเร็วที่สุด
เวลานี้ ภาพในสมองของเขาปรากฏขึ้นมา เป็นภาพของผู้คนที่เคยเป็นเทียนเจียวที่มีชื่อเสียงและเกรียงไกร แต่ไม่รู้ทำไมกลับกลายเป็นคนขี้เกียจ ไม่ฝึกฝน แม้จะถูกคนอื่นทำร้ายก็ขี้เกียจที่จะตอบโต้
พวกเขากลายเป็นคนขี้เกียจอย่างสมบูรณ์ ทำให้ระดับพลังลดลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ตายไปเพราะความขี้เกียจ!
หงถิงเพิ่งเข้าใจ ว่าพวกเขาเหล่านั้นถูกแสงดวงตาชั่วร้ายของตั่วอู่ส่องใส่จึงกลายเป็นแบบนั้น
เมื่อคิดถึงตัวเขาเอง อาจจะกลายเป็นเช่นนั้นเช่นกัน ทำให้เกิดความกลัวขึ้นในใจ