บทที่ 1118 (239) ศิลปะการต่อสู้โบราณและหวางฉาว (ตอนฟรี)
บทที่ 1118 (239) ศิลปะการต่อสู้โบราณและหวางฉาว (ตอนฟรี)
“พรุ่งนี้เหรอ...”
จี้เฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่ายหัวตอบ “พรุ่งนี้ไปไม่ได้ ต้องไปดูที่บริษัทเถิงเฟยก่อน ตอนนี้มีพนักงานกลุ่มใหม่ที่ย้ายมาจากกวางตุ้ง นี่เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับเถิงเฟยกรุ๊ป ต้องจัดการให้เข้าที่เข้าทางโดยเร็ว”
อุปกรณ์ที่ย้ายมาจากหรงเผิงกรุ๊ปยังคงอยู่ระหว่างการขนส่ง แต่บุคลากรที่มีความสามารถจำนวนหนึ่งได้ทยอยมาถึงแล้ว ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีที่เถิงเฟยกรุ๊ปจะได้บุคลากรใหม่ๆเข้ามามีส่วนร่วม และเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก จึงทำให้จี้เฟิงไม่สามารถปล่อยปละละเลยได้
แม้ว่าบุคลากรกลุ่มใหม่จะมาถึงแล้ว แต่ก็ยังมีปัญหาตามมาคือการจัดสรรตำแหน่งและวิธีการรักษาพนักงานเหล่านี้ให้ทำงานอยู่กับบริษัทต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
เนื่องจากปัญหาเหล่านี้มีความซับซ้อน จึงจำเป็นต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ จี้เฟิงจึงตัดสินใจที่จะไปปรึกษาฮั่นจงที่เถิงเฟยกรุ๊ป เพื่อขอคำแนะนำและร่วมกันวางแผน
“อืม” ถงเล่ยพยักหน้า
จี้เฟิงถาม “เล่ยเล่ย มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?”
“ก็ไม่ได้มีอะไรสำคัญหรอก พอดีว่าเมื่อวานฉันเจอพี่ชายฉัน แล้วรู้สึกว่าเขาแปลกๆไป พอถามว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า เขาก็บอกไม่มีอะไร ฉันเลยอยากให้นายไปถามเขาดูหน่อย ว่าเขาเจอปัญหาอะไรหรือเปล่า” ถงเล่ยกล่าว “ผู้ชายคุยกัน น่าจะคุยง่ายๆสบายๆ ถ้าให้ฉันไปเซ้าซี้ถาม เขาอาจจะเขินๆ แล้วไม่กล้าพูดก็ได้”
จู่ๆจี้เฟิงก็นึกอะไรบางอย่างได้ ทันทีที่เขาได้ยินสิ่งที่ถงเล่ยพูด เขาก็ตระหนักว่าจางเล่ยคงกังวลเรื่องของเฉินจิ้งยี่
แต่เขาไม่สามารถยื่นมือเข้าไปยุ่งในเรื่องนี้ได้ และจางเล่ยก็ได้บอกกับเขาอย่างชัดเจนแล้วว่าเขาจะจัดการกับปัญหานี้เอง อันที่จริงจี้เฟิงก็ค่อนข้างเป็นกังวล เขารู้ดีว่าจางเล่ยนิสัยเป็นยังไง ถ้าเขาเจอปัญหา จางเล่ยก็จะไม่ขอความช่วยเหลือจากเขาแน่นอน...
โดยเฉพาะเวลาเจอเรื่องเดือดร้อนใหญ่หลวง หรือถูกใครมาแกล้ง เขาจะแสดงความดื้อรั้นออกมาทันที โดยเฉพาะอารมณ์ร้อนของเขา พอถูกใครมาทำร้าย ไฟในใจก็จะลุกโชนขึ้นมาทันที
ดังนั้นตอนนี้จางเล่ยเป็นยังไงกันแน่ จี้เฟิงก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
พอคิดถึงผู้ชายที่ขับรถสปอร์ตมาอวดรวยคนนั้นทีไร จี้เฟิงก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ทุกที ยิ่งจี้เฟิงได้พบปะผู้คนมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้จักโลกใบนี้มากขึ้นเท่านั้น และสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจมากที่สุดก็คือสองอย่างนี้
อย่างแรกเลยก็คือเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า โดยเฉพาะเทคโนโลยีของหวางฉาว มันสุดยอดมาก ยิ่งพวกมนุษย์ที่ถูกดัดแปลงร่างกายให้มีความสามารถพิเศษ พวกมันไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!
นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้จี้เฟิงประหลาดใจ
และอีกสิ่งหนึ่งที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือ เขากำลังเริ่มเข้าไปพัวพันกับวงการศิลปะการต่อสู้โบราณ หรือพูดง่ายๆก็คือโลกของกำลังภายในที่เรามักจะเห็นกันในนิยายกำลังภายในหรือละครโทรทัศน์นั่นเอง
ถ้าจะบอกว่าหวางฉาวนั้นมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสูงมาก พวกเขาสามารถดัดแปลงร่างกายของคนธรรมดาให้มีความสามารถในการโจมตีที่เหนือธรรมชาติได้ เทคโนโลยีแบบนี้ทั้งน่าทึ่งและน่ากลัว เพราะคนที่ถูกดัดแปลงไปแล้วนั้น แท้จริงแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นมนุษย์อีกต่อไป!
เมื่อเทียบกับวิธีการที่โหดร้ายในการดัดแปลงร่างกายของคนในหวางฉาวแล้ว วิธีการฝึกฝนเพื่อให้ร่างกายแข็งแกร่งของคนในกลุ่มศิลปะการต่อสู้โบราณดูลึกลับน่าค้นหาไปเลย
แน่นอนไม่ว่าจะเป็นวิธีการดัดแปลงร่างกายด้วยเทคโนโลยีของหวางฉาว หรือวิธีการฝึกฝนของคนในกลุ่มศิลปะการต่อสู้โบราณ สำหรับจี้เฟิงแล้วเขาก็ไม่สามารถตัดสินได้ว่าวิธีไหนดีกว่ากัน
แม้ว่าเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน เมื่อหวางฉาวได้ทำการดัดแปลงผู้คนไปแล้ว คนที่ถูกดัดแปลงจะมีความเป็นมนุษย์น้อยลง และกลายเป็นปีศาจมากขึ้น!
แต่ก็ไม่มีใครกล้าฟันธงได้ว่าหวางฉาวมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีถึงระดับไหนกันแน่!
ถ้าหวางฉาวสามารถพัฒนาเทคโนโลยีการดัดแปลงร่างกายให้สมบูรณ์แบบจนสร้างมนุษย์ดัดแปลงที่ไม่มีข้อบกพร่องขึ้นมาได้ นั่นจะเป็นการปฏิวัติวงการทั้งโลกอย่างแน่นอน
ส่วนเรื่องการฝึกฝนของคนในโลกศิลปะการต่อสู้โบราณนั้น จี้เฟิงก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาจะฝึกฝนไปถึงขั้นไหน แต่ถ้าหากว่าพวกเขาสามารถทำอะไรได้อย่างที่เห็นในทีวีหรือในนิยาย เช่น กระโดดข้ามกำแพง หรือหยิบจับสิ่งของจากระยะไกลได้ล่ะก็ วิธีการฝึกฝนของคนเหล่านั้นก็จะไม่แพ้เทคโนโลยีการดัดแปลงร่างกายของหวางฉาวเลยทีเดียว
แต่น่าเสียดายที่จี้เฟิงไม่มีความรู้เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้โบราณมากนัก สิ่งที่เขาพอจะรู้ก็มีแค่เรื่องของสำนักซวนเหมินที่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเฉียว และเขาก็ยังเป็นศัตรูกับพวกนั้นด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าวิธีการฝึกฝนของพวกเขาเป็นอย่างไร และถ้าฝึกฝนไปถึงขั้นสูงสุดแล้วจะเก่งกาจขนาดไหน
กลับมาที่เรื่องของชายลึกลับเจ้าของรถสปอร์ตสีเงิน ผู้ที่มีความสามารถสูงและเข้าไปพัวพันกับเฉินจิ้งยี่ เขาเป็นใครกันแน่ ครอบครัวของเขาแข็งแกร่งแค่ไหน และจะก่อให้เกิดปัญหาอะไรตามมาอีกบ้าง...
จี้เฟิงยังไม่รู้แน่ชัดเกี่ยวกับรายละเอียดของปัญหาเหล่านี้
เพราะฉะนั้นจี้เฟิงจึงไม่รู้ว่าจางเล่ยกำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่แค่ไหน หรือว่ากำลังแบกรับความกดดันมากน้อยเพียงใด ซึ่งมันทำให้จี้เฟิงรู้สึกไม่สบายใจอยู่ลึกๆ
หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว จี้เฟิงจึงยิ้มออกมาแล้วพูดกับเล่ยเล่ยว่า “ไม่ต้องห่วงนะเล่ยเล่ย เธอคงรู้จักนิสัยของเขาดีใช่ไหม? ตอนนี้เขาอารมณ์เสีย อาจจะทะเลาะกับเฉินจิ้งยี่ หรืออาจจะมีผู้หญิงคนอื่นมาชอบเขาก็ได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ดังนั้นไม่ต้องกังวลมากหรอก”
“ฉันก็หวังว่าเขาจะไม่ได้มีปัญหาอะไรใหญ่โต พี่ชายฉันคนนี้น่ะ อยู่เฉยเหมือนคนอื่นเขาไม่ค่อยได้ จี้เฟิง..ถ้าเป็นไปได้ นายช่วยดูแลเขาหน่อยได้ไหม ถึงปกติเขาจะดูเหมือนกลัวๆฉัน เหมือนจะฟังเวลาฉันพูด แต่จริงๆแล้วเขาแค่ขี้เกียจเถียงกับฉันเท่านั้นเอง เขาไม่ค่อยสนใจหรอกว่าฉันจะคิดยังไง” ถงเล่ยกล่าว “แต่นายกับเขาสนิทกันยิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆอย่างฉันเสียอีก เขาต้องฟังความคิดเห็นของนายอย่างแน่นอน”
“เรื่องดูแลเขาน่ะมันปกติอยู่แล้ว” จี้เฟิงหัวเราะเบาๆ แล้วบีบแก้มนิ่มๆ ของถงเล่ยเบาๆ พร้อมกับพูดติดตลก “อย่ากังวลไปเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้หลังจากจัดการธุระที่เถิงเฟยกรุ๊ปเสร็จแล้ว ฉันจะไปที่มหาวิทยาลัย ไปคุยกับเขาให้รู้เรื่อง”
“อื้ม!” ถงเล่ยจึงรู้สึกโล่งใจง
แต่เธอไม่รู้ว่าจางเล่ยกำลังประสบปัญหาจริงๆ เพียงแต่ว่าไม่ใช่เขาที่เป็นคนสร้างปัญหา แต่เป็นปัญหาที่คนอื่นนำมาให้เขาเอง
แม้แต่จี้เฟิงเองก็ไม่รู้เลยว่าปัญหาเหล่านี้มาจากไหน
ที่สำคัญกว่านั้น จี้เฟิงยังคิดไม่ออกเลยว่าจะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร เพราะว่าการจะแก้ปัญหานี้ได้ขึ้นอยู่กับทัศนคติของจางเล่ยเป็นหลัก
จี้เฟิงรู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องคุยกับจางเล่ยให้รู้เรื่อง เพราะการมีภัยคุกคามแบบนี้มันไม่ดีเลย
จากคำพูดของถงเล่ย จี้เฟิงก็พอจะรู้สึกได้ว่าช่วงนี้จางเล่ยดูแปลกๆไปจากเดิม ไม่งั้นด้วยนิสัยของจางเล่ยแล้ว เขาคงไม่แสดงออกให้เห็นชัดเจนขนาดนี้
อาจจะเป็นไปได้ว่า ระหว่างจางเล่ยกับเฉินจิ้งยี่ อาจจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
แต่จี้เฟิงไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้ถงเล่ยฟัง ด้วยนิสัยของเธอ ถ้าหากคนรอบข้างมีปัญหา มันจะทำให้เธอเป็นห่วง ความกังวลจะทำให้เธอไม่มีความสุข จี้เฟิงต้องการให้เธอใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจในทุกๆวัน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
แต่เซียวหยูซวนดูเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เธอเงยหน้าเล็กน้อยและมองไปที่จี้เฟิง แล้วหันไปมองถงเล่ยที่กำลังยิ้มหวานอยู่ เธอจึงเข้าใจความคิดของจี้เฟิง
เด็กสาวที่ดูบริสุทธิ์และงดงามราวกับนางฟ้าอย่างถงเล่ย ถ้าเป็นเธอเอง เธอก็ไม่อยากให้ถงเล่ยต้องมาเป็นห่วงเช่นกัน
เธอแตะแขนจี้เฟิงเบาๆ แล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “จี้เฟิง นอนหลับพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีงานอีกเยอะเลย”
..............
เช้าวันต่อมาจี้เฟิงได้พาเซียวหยูซวนและแมงมุมขาวไปที่สำนักงานใหญ่ของเถิงเฟยกรุ๊ป แน่นอนว่าเสี่ยวอิงก็ติดตามเซียวหยูซวนไปด้วยเพื่อคอยดูแลความปลอดภัยให้เธอ
“จี้เฟิงนายจะเล่นใหญ่เกินไปแล้วนะ ทำได้ไงเนี่ย! มันสุดยอดมาก!” ฮั่นจงหัวเราะลั่นอยู่ในห้องทำงานของสำนักใหญ่เถิงเฟยกรุ๊ป “ไปหาคนเก่งๆมาได้มากมายขนาดนี้ เดิมทีบริษัทเรามีตำแหน่งว่างเยอะแยะ แต่ตอนนี้ได้บุคลากรชั้นเยี่ยมมา แถมยังเยอะขนาดนี้ จะใช้ยังไงให้หมดล่ะเนี่ย... ฮ่าๆๆๆ~!!”
จี้เฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ถึงจะใช้ไม่หมดก็ต้องใช้ พวกเขาแต่ละคนน่ะเหมือนแก้วที่ล้ำค่า ต้องเก็บพวกเขาไว้หมดและต้องหาทางสร้างโอกาส ให้พวกเขาได้แสดงความสามารถออกมาให้เต็มที่!”
“ไม่ต้องห่วงฉันไม่ปล่อยให้ใครออกไปไหนหรอก ยิ่งเรื่องไล่ออกยิ่งไม่ต้องพูดถึง!”
ฮั่นจงพูดพลางก้มลงหยิบเอกสารออกมาจากลิ้นชักแล้วส่งให้จี้เฟิงพร้อมกับยิ้มแล้วพูดว่า “ลองดูสินี่คือร่างแผนการร่วมมือระหว่างเถิงเฟยกรุ๊ปกับบริษัทหมิงกวงอิเล็กทรอนิกส์ หลังจากที่ฉันได้พูดคุยกับหลี่ซินแล้ว เราตกลงเบื้องต้นว่าจะร่วมกันลงทุนตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมา โดยฝั่งเราจะถือหุ้นใหญ่ อย่างน้อย 51% และหลี่ซินก็เห็นด้วย”
“อย่างนี้ดีแล้วเหรอ?” จี้เฟิงถาม
การร่วมมือกันระหว่างสองฝ่ายย่อมเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าหากทั้งสองฝ่ายต่างถือหุ้นของกันและกัน แล้วเกิดความขัดแย้งขึ้นมาในอนาคต ก็จะเป็นเรื่องยุ่งยาก
ที่จริงแล้วจี้เฟิงก็ตั้งใจจะร่วมมือกับบริษัทหมิงกวงอิเล็กทรอนิกส์เหมือนกัน แต่รูปแบบการร่วมมือยังต้องพิจารณาอีกที จริงๆแล้วเขาอยากจะซื้อกิจการบริษัทหมิงกวงอิเล็กทรอนิกส์ไปเลย แล้วให้หลี่ซินเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทหมิงกวงอิเล็กทรอนิกส์ต่อ แบบนี้เถิงเฟยกรุ๊ปก็จะได้ทั้งคนเก่งและได้โรงงานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ามาด้วย
“จี้เฟิงฉันเข้าใจในสิ่งที่นายคิดนะ หลี่ซินคนนี้อาจจะมีความสามารถ แต่เขาก็ไม่ชอบให้ใครมาควบคุม ไม่ชอบถูกผูกมัด เลยไม่ยอมขายบริษัทหมิงกวงอิเล็กทรอนิกส์ให้เรา สุดท้ายเลยต้องตกลงกันที่จะลงทุนร่วมกันแบบนี้” ฮั่นจงรู้ดีว่าจี้เฟิงคิดอะไรอยู่ จริงๆแล้วเจ้าของกิจการทุกคนก็อยากได้ทั้งคนเก่งและเงิน แต่เรื่องแบบนี้มันก็ต้องดูที่ใจของอีกฝ่ายด้วย
“แต่ว่าฉันก็คิดถึงความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดความขัดแย้งกันในอนาคตด้วยนะ ดังนั้นตอนที่เราเจรจากัน หลี่ซินก็ตกลงกับเงื่อนไขหนึ่งนั่นคือ การร่วมมือกันครั้งนี้ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่เห็นด้วย อีกฝ่ายหนึ่งจะไม่สามารถถอนเงินลงทุนได้” ฮั่นจงพูดแทรกขึ้นมา “ฉันเห็นท่าทีของหลี่ซินแล้วเขาแค่ไม่ยอมขายบริษัทก็เพราะไม่อยากถูกผูกมัด แต่จริงๆแล้วเขาก็อยากจะร่วมมือกับเรามากนะ”
“ถ้ามีเงื่อนไขนี้ก็โอเคอยู่... นั่นคือทั้งหมดที่เราทำได้” จี้เฟิงพยักหน้ายิ้ม “ไม่มีอะไรบนโลกที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้วล่ะนะ เรื่องของหลี่ซินฉันก็ขอฝากนายด้วย ค่อยๆทำงานร่วมกันไป”
“ก็ต้องแบบนั้นล่ะนะ ฉันจะค่อยๆทำงานร่วมกันกับเขา อ้อ! ฉันอยากให้นายดูนี่ด้วย ฉันวางแผนที่จะย้ายพนักงานที่เหลือไปอยู่บริษัทใหม่ให้หมด ให้พวกเขาเริ่มต้นใหม่ น่าจะเร็วกว่า” ฮั่นจงพูด
จี้เฟิงพยักหน้าอย่างครุ่นคิดและมองดูแผนอย่างจริงจัง
.....จบบทที่ 1100~