บทที่ 9 วีรชน
แม้โจวเจิ้งจะดูแปลกไปบ้าง แต่คำพูดของเขาก็มีน้ำหนัก เมื่อออกจากลานนั้นแล้ว ไม่มีศิษย์จากสำนักคนใดมารบกวนซูไป๋อีอีก มีเพียงหลี่กุ่ยที่รอเขาอยู่ด้านนอก ด้วยสีหน้ากังวล ก่อนจะยิ้มเมื่อเห็นว่าซูไป๋อีไม่เป็นอะไร “ดีแล้วที่ไม่มีเรื่องอะไร ข้าเองก็ห่วงว่าเจ้าจะถูกกลั่นแกล้ง”
ซูไป๋อีปลดกระบี่คำกล่าววีรชนจากเอวและส่งให้หลี่กุ่ย “กระบี่เล่มนี้ให้คนอื่นเก็บข้าไม่ไว้ใจ เจ้าเก็บไว้ให้ข้าสักสองสามวันแล้วกัน แล้วนี่สำนักศึกษาที่เจ้าว่าเป็นศูนย์รวมแห่งปัญญาชนของยุทธภพงั้นรึ…ไฉนเจอแต่พวกคนโง่เง่าแบบนี้?”
“เบาๆ หน่อย เผื่อใครได้ยินเข้าจะเป็นเรื่อง!” หลี่กุ่ยรีบลากเขาไปอีกทางพลางกล่าวว่า
“สำนักนี้ก็เป็นศูนย์รวมแห่งปัญญาชนจริงๆ ที่นี่มีทั้งเซียนปราชญ์ผู้เลื่องชื่อว่าเป็นผู้รู้ลึกที่สุดในแผ่นดินและวีรชนทั้งเก้าท่าน อีกทั้งยังมีปราชญ์ที่อ่านคัมภีร์มากมายถึงสามร้อยคน แต่เพราะเหตุนี้ ทุกสำนักและทุกตระกูลจึงเร่งส่งศิษย์รุ่นใหม่มาเพื่อซึมซับบรรยากาศและชื่อเสียงจากที่นี่ และเมื่อต้องกลับไปที่ตระกูลตัวเอง ใครจะสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลก็พร้อมแล้ว ส่วนใครที่มีคู่หมายก็จะได้บรรลุสมปรารถนา เป็นเหตุให้ศิษย์เหล่านี้ล้วนถูกเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอม แทบจะหยิ่งผยองและไร้ระเบียบขึ้นเรื่อยๆ เป็นปัญหาที่ทางสำนักต้องปวดเศียรเวียนเกล้ามิใช่น้อย โดยเฉพาะตั้งแต่วีรชนท่านนั้นลงจากเขาไป”
“วีรชนท่านนั้นคือใคร?” ซูไป๋อีถาม
หลี่กุ่ยยิ้มอย่างมีเลศนัย “ไม่นานเจ้าก็จะรู้เอง เจ้ารู้แค่ว่าตอนนี้ในสำนักมีวีรชนอยู่สามท่าน วีรชนลำดับสามคือหลี่เหยียนชี วีรชนลำดับสี่คือหลี่ไว่ และวีรชนลำดับห้าคือโจวเจิ้ง”
“โจวเจิ้ง ข้าได้พบแล้ว” ซูไป๋อีนึกถึงฉากที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ก่อนสรุปว่า “ข้าว่าเขาดูสติไม่ค่อยสมประกอบนัก”
หลี่กุ่ยไม่โกรธ กลับหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าฮ่าฮ่า! ก็จริงดั่งเจ้าว่า ที่จริงแล้วบรรดาวีรชนของสำนักนี้ล้วนสติไม่สมประกอบสักคน อย่างวีรชนลำดับสามหลี่เหยียนชี เขามีฉายาว่า ‘ต้นท้อและต้นเหมยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยคำใด ผู้คนก็ยังมักมาเดินจนเกิดเป็นทางใต้ต้นเอง’ คนในสำนักจึงเรียกเขาว่า ‘หลี่ผู้ไม่พูด’”
“เขาไม่ชอบพูดงั้นหรือ?” ซูไป๋อีถาม
“วันไหนที่วีรชนลำดับสามหลี่เหยียนชีสอนเจ้า เขาจะบรรยายต่อเนื่องหกชั่วยามโดยไม่หยุดพัก ไม่กินข้าว ไม่ดื่มน้ำ ถ้ามีคนถามหนึ่งคำ เขาจะตอบร้อยคำ สุดท้ายไม่มีใครกล้าพูดในห้องอีก ใครเผลอสบตาเขาก็ถูกถามคำถามจนสมองกลับ ‘หลี่ผู้ไม่พูด’ จึงหมายความว่า…อย่าได้คุยกับเขา แต่ที่เขามีชั่วยามสอนมากก็เพราะเขารอบรู้มาก”
“แล้ววีรชนลำดับสี่หลี่ไว่เล่า?” ซูไป๋อีคิดในใจว่า สักวันจะลองแข่งกลอนกับหลี่เหยียนชีดู
“วีรชนลำดับสี่หลี่ไว่เป็นคนมีคุณธรรมอันแรงกล้า ชอบสอนเรื่องความดีและมักจะนำศิษย์ลงเขาไปช่วยเหลือผู้คนในเมืองเฉียนถัง เช่น ซ่อมแซมบ้านให้คนชรา มอบหมั่นโถวให้คนยากจน หรือสอนหนังสือเด็กๆ ดังนั้นเขาจึงเป็นหนึ่งในวีรชนที่ศิษย์กลัวที่สุด”
“ถ้าช่วยคนแก่กับเด็ก แล้วสตรีเล่า?”
“ในเฉียนถังนั้นมีหอหญิงงามนามว่า ‘หมื่นบุปผา’ เรื่องราวของท่านหลี่ไว่ก็เป็นที่เลื่องลือในหอนั้น”
“นับถือ!” ซูไป๋อีคารวะ
“ตอนที่วีรชนลำดับสี่หลี่ไว่สอนนั้น ศิษย์ต้องเงียบสนิท ห้ามเล่น ห้ามโหวกเหวกในเวลารับประทานอาหาร ห้ามคุยหลังดับไฟเข้านอน หรือแม้แต่ในยามอาบน้ำก็ห้ามเหลียวมองคนอื่น ห้ามผิวปาก” หลี่กุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงแฝงความอัดอั้น
“อย่างนี้ควรเรียกหลี่ผู้ไม่พูดเสียมากกว่า!” ซูไป๋อีกพึมพำอย่างเห็นด้วย “แล้ววีรชนลำดับห้าโจวเจิ้งเล่า…”
“โจวเจิ้งเป็นวีรชนที่มีความเป็นธรรมในตัวเองและยังเป็นผู้ที่ใช้หมัดเก่งที่สุด” หลี่กุ่ยยกกำปั้นขึ้นแน่นเป็นเชิงยืนยัน
“แล้วเมื่อใดท่านเซียนปราชญ์จะกลับมา ข้าอยากรีบลงเขาไปเร็วๆ”
…
ตกค่ำ ซูไป๋อีนั่งอยู่ในห้องพักเล็กๆ ที่สำนักจัดให้ เขาจุดเทียนแล้วหยิบสมุดเล่มเล็กๆ ออกมา เขียนบันทึกพลางพึมพำกับตัวเอง “หากข้าเขียนออกมาได้เหมือนกับนวนิยายสายโลหิตแห่งสำนักของท่านซานซวี่ก็คงจะดี”
ซูไป๋อีครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในวันนี้ “เซี่ยอวี่หลิง บุตรชายคนที่สามของตระกูลเซี่ย น่าจะเป็นคนที่ขอให้แม่นางผู้นั้นช่วย แต่เหตุใดเขาถึงไม่ลงเขาด้วยตนเอง แต่ปล่อยให้ศัตรูอย่างเฟิงจั่วจวินลงเขาแทน?”
ขณะที่ซูไป๋อีเขียนบันทึกไปเรื่อยๆ ด้วยความสนใจ ไม่รู้ตัวเลยว่ามีศิษย์สามคนหมอบอยู่บนกำแพงลาน สะกดรอยดูเขาจนง่วงหาว
“เจ้าคนใหม่นี่ทำด้วยเหล็กรึ? ป่านนี้แล้วยังไม่นอนอีก” คนหนึ่งหาวพลางพูด
ศิษย์นามว่าสวีเจ๋อรีบปิดปากสหาย “เงียบๆ รอดูไปก่อน”
ไม่นานนัก ซูไป๋อีวางสมุดลงพลางลุกขึ้นเป่าเทียนจนดับ สามคนนั้นรออยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ ปีนเข้ามาที่หน้าต่างอย่างระมัดระวัง สวีเจ๋อค่อยๆ แง้มหน้าต่าง เห็นซูไป๋อีนอนอยู่บนเตียง โดยหันหลังให้ เขาจึงหยิบลูกดอกอาบยาขึ้นมา เป่าเบาๆ
“สำเร็จแล้ว!” สวีเจ๋อยิ้มอย่างพึงพอใจ
แต่ทันใดนั้น ซูไป๋อีกลับพลิกตัว คีบลูกดอกอาบยาไว้ด้วยสองนิ้ว
“เจ้า…เจ้าไม่ได้หลับจริงๆ หรือ?” สวีเจ๋อถามอย่างตกใจ
ซูไป๋อีนั่งขึ้นยิ้มเยาะ “เจ้าพูดถูก ข้าไม่ได้หลับมาหลายปีแล้ว”
ศิษย์อีกสองคนถามอย่างร้อนรน “แล้วจะอย่างไรดี สวีเจ๋อ?”
ซูไป๋อีมองชายหนุ่มตรงหน้า ใต้แสงจันทร์ก็จำได้ว่าเป็นคนที่ยืนอยู่ข้างเฟิงจั่วจวินในตอนกลางวัน จึงถอนใจถาม “เจ้ามาทำอะไร?”
สวีเจ๋อยิ้มเย็น “เดี๋ยวเจ้าก็รู้! หัวหน้าเดาไม่ผิดว่าเจ้ามีฝีมือ แต่เจ้าก็ยังอ่อนหัดเกินไป คิดหรือว่าจะรับอาวุธลับของตระกูลสวีด้วยมือเปล่าได้?”
ซูไป๋อีขมวดคิ้ว ขณะรู้สึกชามือ เห็นสีมือเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินอมดำ “เจ้า!”
“ในเมื่อเจ้าไม่ได้หลับมานาน เช่นนั้นวันนี้ก็จงหลับให้เต็มอิ่มเถิด” สวีเจ๋อกระโดดเข้ามาในห้อง ใช้บ่าพยุงร่างที่ขยับไม่ได้ของซูไป๋อีขึ้น “พิษนี้เรียกว่าอัฐินิทราหอม มันจะทำให้เจ้าหลับลึกไปอีกหลายชั่วยาม”