บทที่ 8 คัมภีร์เซียน
โจวเจิ้งถอนหายใจเบาๆ ยกถ้วยชาในมือขึ้นเป่าไล่ไอร้อน ศิษย์ทุกคนต่างเข้าใจว่านี่คือสัญญาณว่าเขากำลังจะเริ่มสอน จึงตั้งท่ากันอย่างจริงจัง
“เฟิงจั่วจวิน เจ้าเข้ามาศึกษาที่นี่นานเท่าไรแล้ว?” โจวเจิ้งดื่มชาจนหมดถ้วย ก่อนวางถ้วยลงบนโต๊ะ
เฟิงจั่วจวินคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ “ข้าเข้ามาศึกษาที่นี่ตั้งแต่ปลายวสันต์ฤดูปีที่แล้ว ก็เกือบๆ ครึ่งปีแล้วกระมัง”
“ครึ่งปีที่ผ่านไป อาจารย์ทั้งสี่ต่างผลัดกันสอนเจ้า แต่เจ้ากลับให้คำตอบมาเพียงคำเดียวว่า สะใจเท่านั้นหรือ? ไม่มีอะไรจะกล่าวเพิ่มเติมอีกบ้างหรือ?” โจวเจิ้งถามต่อ
เฟิงจั่วจวินเกาหัวอย่างลังเล ไม่รู้จะตอบเช่นไร แต่หลานอวี่เจ๋อที่นั่งอยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์อาจไม่ทราบ คุณชายเฟิงเข้ามาศึกษาที่นี่ได้เก้าเดือนแล้ว แต่แปดเดือนแรกเขาหลับอยู่ในห้องเรียนตลอด จนกระทั่งมาเจอท่านอาจารย์โจว ถึงได้เริ่มทะเลาะวิวาทและฝึกฝนอย่างจริงจังได้สักเดือน จวบบัดนี้เลยพูดได้แค่คำว่า ‘สะใจ’ จริงๆ”
“งั้นหรือ? เช่นนั้นลองเล่ารายละเอียดให้อาจารย์ฟังสักหน่อยว่า เจ้าสะใจอย่างไร” โจวเจิ้งกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เฟิงจั่วจวินกระแอมเล็กน้อย “ในเมื่อท่านอาจารย์อยากฟัง ข้าก็จะกล่าวตามตรง ข้าคือเฟิงจั่วจวิน บุรุษผู้ถูกลิขิตให้สืบทอดสำนักเมฆาสางสวรรค์ ข้าใช้ชีวิตเสรีตั้งแต่เล็ก สหายที่ถูกใจก็ดื่มกินกับข้าจนรุ่งสาง คนที่ข้าไม่ชอบก็ตวัดดาบไล่ไปให้พ้น ด้วยเหตุนี้วิถีแห่งความชั่วร้ายที่ท่านอาจารย์สอนจึงเหมาะกับข้าพอดี ช่างเรื่องยุทธภพจะเป็นอย่างไร ทุกสิ่งล้วนตัดสินกันด้วยกำลังหมัด! ดังนั้นวิชานี้ของท่านอาจารย์ ช่างยอดเยี่ยมสะใจยิ่งนัก!”
“เหลวไหล!” โจวเจิ้งโยนถ้วยชาไปกระแทกศีรษะเฟิงจั่วจวิน ถ้วยชาเด้งกลับมาในมือเขาอีกครั้ง
โจวเจิ้งกล่าวอย่างดุดัน “ข้ากำลังสอนเรื่องวิถีแห่งความชั่วร้าย แต่ไม่ใช่ให้พวกเจ้ากลืนกลายไปกับมัน! คุณธรรมของวีรชนที่อาจารย์หลี่ไว่สอน แม้จะดูแตกต่างกับวิชาข้า แต่แท้จริงแล้วมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน หากเจ้าไม่เข้าใจสิ่งนี้ ก็ลงจากเขาไปทำหน้าที่เจ้าสำนักเมฆาสางสวรรค์ของเจ้าเสียเถอะ”
เฟิงจั่วจวินถอนหายใจเบาๆ “เฮ้อ หากมิใช่เพราะข้าสู้ท่านพ่อไม่ไหว ข้าก็คงลงเขาไปนานแล้ว…”
“เจ้าว่าอะไรนะ?” โจวเจิ้งยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พลางกำมือแน่น
ลมกระโชกวูบพัดผ่านเข้ามาในห้องเรียน
เฟิงจั่วจวินรีบก้มศีรษะและกล่าวอย่างอ่อนน้อม “ข้ากล่าวผิดไป อาจารย์โปรดลงโทษ”
“เจ้าบอกว่าตนเองเป็นคนไร้คุณธรรม ไร้ความเมตตา แต่เจ้าทำได้แค่นั้นจริงหรือ?” โจวเจิ้งกล่าวพลางชี้ไปที่ซูไป๋อีซึ่งแอบหัวเราะอยู่ข้างๆ “ซูไป๋อี เจ้าหัวเราะอะไร?”
ซูไป๋อีรีบกลั้นยิ้มและส่ายศีรษะตอบ “เห็นคุณชายเฟิงจั่วจวินสนทนากับท่านอาจารย์อย่างตรงไปตรงมา ข้าอดไม่ได้ที่จะแอบขำในความซื่อตรงของเขา”
เฟิงจั่วจวินขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้ากล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
“เขาว่าเจ้ามันโง่ไงเล่า” เซี่ยอวี่หลิงซึ่งนั่งเงียบมาตลอดพลันเอ่ยขึ้น
เฟิงจั่วจวินกำลังจะระเบิดโทสะ แต่โดนโจวเจิ้งจ้องจนหยุด โจวเจิ้งจึงหันมาถามซูไป๋อี
“วันนี้เป็นวันแรกที่เจ้ามาเรียน หลังได้ฟังการสนทนาเกี่ยวกับวิถีแห่งความชั่วร้าย เจ้าคิดเห็นเช่นไรบ้าง?”
ซูไป๋อีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโค้งคำนับแล้วตอบว่า “วันนี้ข้าเพิ่งเข้าศึกษาวันแรก แต่ต้องมาเผชิญหน้ากับการรุมของสองพรรคใหญ่ การที่คนเราต้องสร้างพรรคพวกขึ้นมา ก็เพราะทำอะไรคนเดียวไม่ได้ แต่ข้านั้นต่างออกไป ข้าเติบใหญ่มาได้เพียงลำพังท่ามกลางโลกอันโหดร้ายนี้ ข้าคือราชันผู้ถูกลิขิตให้โดดเดี่ยว!”
ทุกคนในห้องตกตะลึง บ้างเพราะความโอหังของซูไป๋อีที่กล้าท้าทายอำนาจของสองพรรคใหญ่ อีกทั้งคำพูดนี้ก็เต็มไปด้วยวาทศิลป์และความน่าประทับใจ
แม้แต่เฟิงจั่วจวินเองก็นั่งนิ่งพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าและเอ่ยชมว่า “เจ้าหนุ่มนี่ไม่เลว ข้าชื่นชมเจ้านะ!”
ซูไป๋อีถอนหายใจในความคิด แล้วเอ่ยถามว่า “ท่านอาจารย์ ข้ากล่าวประโยคจากนิยายสายโลหิตแห่งสำนักไปแค่ไม่กี่คำ แต่ทำให้ศิษย์ที่นี่ล้วนหันมาชื่นชมข้า หรือข้าเข้ามาผิดที่ หรือว่าที่นี่ตกต่ำลงมากแล้วในช่วงที่ท่านอาจารย์วางมือจากยุทธภพไป?”
โจวเจิ้งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุดขำแต่ก็ยั้งไว้ได้ แล้วจึงทำสีหน้าขรึม สั่งให้ทุกคนเงียบ “คำพูดของซูไป๋อีมีนัยอะไรบ้างไหม? ลองอธิบายให้ทุกคนฟัง”
ซูไป๋อีคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มพลางขยิบตาให้โจวเจิ้ง “ข้าก็พอมีอะไรอยากพูดอยู่ ท่านอาจารย์มาสิ ข้าจะบอกท่าน”
“ทำไมไม่พูดต่อหน้าทุกคน?” โจวเจิ้งถาม
ซูไป๋อียิ้มอย่างลึกลับ “พูดไม่ได้หรอก ข้าไม่อยากพูด”
โจวเจิ้งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ตัดสินใจลุกขึ้นเดินไปหาซูไป๋อี “เจ้าจะพูดอะไรกันแน่?”
ซูไป๋อีลุกขึ้น ยื่นหน้าไปกระซิบที่ข้างหูโจวเจิ้ง ใช้มือปิดปากกระซิบเบาๆ “ท่านวีรชนโจว ข้าเองยังไม่ได้ซื้อเล่มล่าสุดเลย ไม่รู้จะกล่าวต่ออย่างไรแล้ว ท่านปล่อยข้าไปเถอะ”
โจวเจิ้งหน้าแดงเล็กน้อย เขาตบไหล่ซูไป๋อีพลางกระแอมเบาๆ “วันนี้พอแค่นี้แล้วกัน ซูไป๋อีเพิ่งมาเรียนวันแรก อย่าเพิ่งไปกวนใจเขานัก”
“รับทราบ” เหล่าศิษย์รับคำพร้อมกัน
“เลิกเรียน!” โจวเจิ้งประกาศเสียงดัง
ศิษย์ทุกคนพากันกรูออกจากห้องเรียน ซูไป๋อีเดินนำออกไป แต่ทันใดนั้นเฟิงจั่วจวินก็โอบไหล่เขาไว้ด้วยท่าทีเป็นมิตร ดูเหมือนเขาจะลืมเรื่องที่ซูไป๋อีเสียดสีเขาว่าโง่ก่อนหน้านี้ไปแล้ว เฟิงจั่วจวินกล่าวอย่างอารมณ์ดี “เจ้าหนุ่ม คำพูดของเจ้าต้องใจข้ายิ่งนัก สุดท้ายแล้วเจ้ากระซิบอะไรกับอาจารย์อีก?”
ซูไป๋อีส่ายหน้าแล้วกล่าว “อาจารย์ตบไหล่ข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันหมายถึงอะไร?”
“หมายความว่าอะไร?” เฟิงจั่วจวินถามด้วยความสงสัย
“หมายความว่า…” ซูไป๋อีทำท่าตบไหล่เฟิงจั่วจวินเหมือนกันแล้วกล่าว “ถ้าหากเจ้าเอาไปบอกใคร เจ้าได้ตายแน่ๆ!”
“ฮ่าๆๆๆ งั้นไม่ถามต่อก็ได้!” เฟิงจั่วจวินหัวเราะแล้วกล่าว “ว่าแต่ เจ้าไม่คิดจะเข้าร่วมกับพรรคหฤโหดจริงหรือ? เจ้าก็ฝีมือดีทั้งยังกล้าหาญ ถ้ามาเข้าพรรคหฤโหดด้วยกัน เมื่อจบการสอนแล้ว ข้ารับรองว่าเราจะต้องเอาชนะพรรคดอกท้อโลหิตได้แน่นอน ข้าจะได้เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในรุ่น ส่วนเจ้า…ก็จะเป็นลูกกระจ๊อกที่แข็งแกร่งที่สุด!”
“ขอลา!” ซูไป๋อีโค้งคำนับแบบประชด
หลังจากที่ศิษย์ทุกคนออกจากห้องไป ชายผู้หนึ่งก็เลื่อนผ้าม่านด้านหลังออกแล้วเดินเข้ามา พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นึกไม่ถึงเลย ศิษย์ใหม่คนนี้แท้จริงเป็นผู้คลั่งไคล้นวนิยายสายโลหิตแห่งสำนัก ถึงขั้นกล้าใช้คำพูดจากในหนังสือโดยไม่แสดงสีหน้าเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย”
โจวเจิ้งแสดงสีหน้าเขินๆ “เขาคงคิดว่าข้าเป็นผู้คลั่งไคล้นวนิยายสายโลหิตแห่งสำนักเหมือนกันกระมัง”
ชายผู้นั้นหัวเราะและกล่าว “เขาคือซูไป๋อีที่ซีเอ๋อร์เขียนถึงในจดหมายจริงๆ สินะ เป็นศิษย์ของเซี่ยคั่นฮวา แถมยังแซ่ซูอีก ช่างน่าสนใจจริงๆ” จากนั้นก็รินชาให้ทั้งตนเองและโจวเจิ้ง
โจวเจิ้งจิบชาแล้วถอนหายใจ “เซี่ยคั่นฮวาถูกพวกสำนักสวรรค์ซ่างหลินพาตัวไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นที่ข้าคาดการณ์ไว้ว่ายุทธภพจะเกิดความโกลาหลในอีกสามปี อาจจะเลื่อนมาเร็วกว่านั้น”
“ยุทธภพจะเกิดกลียุคขึ้นเพราะสำนักสวรรค์ซ่างหลิน แล้วสำนักสวรรค์ซ่างหลินเคลื่อนไหวเช่นนี้ต้องการสิ่งใดกันแน่?” ชายผู้นั้นเป่าชาเบาๆ แล้วถามต่อ
“แน่นอน ก็เพื่อคัมภีร์เซียนน่ะสิ” โจวเจิ้งกล่าวพลางใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ