บทที่ 7 วิถีแห่งความชั่วร้าย
“ข้าได้ยินมานานแล้วว่าสำนักศึกษาแห่งนี้ถือเป็นที่หนึ่งในใต้หล้า คิดว่าแต่ละวันพวกเจ้าคงอ่านคัมภีร์ปราชญ์อย่างหนัก ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าก็ชอบอ่านนิยายกำลังภายในเหมือนข้า! แต่ดูเหมือนว่าพรรคดอกท้อโลหิตกับพรรคหฤโหดจะต่างกัน พรรคหนึ่งลุกฮืออีกพรรคทำชั่วสารพัด นับว่า…” ซูไป๋อีกล่าวไปถึงตรงนี้ก็หยุดลง
ทันใดนั้น พัดพับเล่มหนึ่งถูกยกมาจรดหน้าอกของเขา
“ว่าอะไรหรือ?” ชายหัวหน้าพรรคดอกท้อโลหิตยืนอยู่ต่อหน้าซูไป๋อีด้วยเสียงเย็นชา
“เซี่ยอวี่หลิง เจ้าหลีกไปเสียเถอะ! เจ้ารู้จักคำว่ามาก่อนได้สิทธิ์ก่อนรึไม่?” เฟิงจั่วจวินชูดาบไม้ไผ่พุ่งเข้าหาเซี่ยอวี่หลิง หัวหน้าพรรคดอกท้อโลหิตเปิดพัดทันที บนพัดมีตัวอักษร “ต่ำละเมิดสูง” เขาเอียงตัวหลบแล้วใช้พัดป้องกันดาบไม้ไผ่
“ข้ากับเจ้าสู้กันมาแล้วสิบสามครั้งล้วนเสมอ ข้าเริ่มเบื่อเสียแล้ว วันนี้ต้องตัดสินให้ได้” เฟิงจั่วจวินเพิ่มแรงกดดาบลงและสะบัดฟาดไปอีกครั้ง เซี่ยอวี่หลิงอาศัยแรงถอยไปยืนอยู่บนกำแพงลาน
“ดี!” เซี่ยอวี่หลิงเปิดพัดอีกครั้ง
พร้อมกับดอกท้อที่ลอยร่วงลงจากฟ้า ดอกหนึ่งร่วงลงในมือซูไป๋อี
“น่าสนใจ ฤดูนี้ยังมีกลีบดอกท้ออีกหรือ?” ซูไป๋อีมองขึ้นเห็นลูกน้องพรรคดอกท้อโลหิตสองคนถือกระเช้ากลีบดอกท้อโปรยให้เซี่ยอวี่หลิง
“ต่ำเกินไปหน่อย โยนให้สูงขึ้นอีก อย่าให้โดนหน้าหัวหน้าสิ!” หลานอวี่เจ๋ออยู่ข้างล่างตะโกนสั่ง
ซูไป๋อีอึ้ง หันไปมองเฟิงจั่วจวิน
“หลังจากวันนี้ เราจะได้คำตอบว่าใครจะเป็นบุรุษผู้ยืนหยัดบนจุดสูงสุดของสำนัก” เฟิงจั่วจวินชูดาบไม้ไผ่ขึ้น
ซูไป๋อีสะดุ้ง หันไปพูดกับหลานอวี่เจ๋อว่า “ประโยคนี้ไฉนข้าคุ้นนัก”
หลานอวี่เจ๋อเก็บพัดพับยิ้ม “จริงหรือ?”
“มันคือประโยคในนิยาย สายโลหิตแห่งสำนัก ของผู้เฒ่าซานซวี่! เฟิงจั่วจวินคงเป็นสหายร่วมทางกับข้าจริงๆ สมัยข้าเรียนปีสอง ข้ารักหนังสือเล่มนี้มาก!” ซูไป๋อีตื่นเต้น
“ลมเหนือโหมพัด กองทัพนับแสนพินาศ!” เฟิงจั่วจวินกำดาบไม้ไผ่แน่น ชูขึ้นเหนือศีรษะ “รวม! พลัง!”
เสียงตะโกนของเฟิงจั่วจวินทำให้ปราณดาบวายุหมุนวนจนได้ยินเสียงลมพัดดังสนั่น บรรดาศิษย์รอบๆ ต่างพากันถอยออกห่าง
“โหมพัดอีกครั้ง!” เฟิงจั่วจวินกระทืบเท้าเบาๆ ปล่อยคลื่นปราณดาบวายุจนแม้แต่ซูไป๋อีและหลานอวี่เจ๋อก็ต้องถอยหลัง
“แม้จะเป็นแค่ดาบไม้ไผ่ แต่ท่านเฟิงนี่สามารถฆ่าคนได้แน่ๆ” ซูไป๋อีพึมพำ
หลานอวี่เจ๋อยิ้ม “เฟิงจั่วจวินนี่ใจร้อนจริงๆ”
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง แควก!
เฟิงจั่วจวินขมวดคิ้ว ดาบไม้ไผ่ในมือเขากลับหักเป็นชิ้นๆ หนึ่งชิ้นยังหล่นโดนหัวเขาอีก
“ปราณดาบรุนแรงเช่นนี้ เพียงดาบไม้ไผ่ไหนเลยจะรับไหว” หลานอวี่เจ๋อถอนหายใจ “วันนี้คงต้องจบแค่นี้อีกแล้ว”
“ไม่! วันนี้มีดาบเหล็กแท้” เฟิงจั่วจวินหันไปมองซูไป๋อีทันที
ซูไป๋อีตกใจ รีบพูด “เจ้าฝันไปแล้ว!”
“เจ้าไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ” เฟิงจั่วจวินโยนดาบไม้ไผ่ทิ้งแล้วพุ่งตรงเข้าหาซูไป๋อี
หลานอวี่เจ๋อเบี่ยงตัวหลบอย่างไม่ใส่ใจ ขณะเดียวกันเซี่ยอวี่หลิงก็กระโดดลงจากกำแพง
“นี่มันสถานที่อะไรกันแน่?” ซูไป๋อีพยายามยื่นมือไปจับกระบี่ของเขา แต่มีใครบางคนคว้ามันไว้ก่อน
ในขณะที่เฟิงจั่วจวินยังไปไม่ถึง และเซี่ยอวี่หลิงยังอยู่กลางอากาศ มีคนหนึ่งที่เร็วกว่าพวกเขา พุ่งตัวมาจากนอกลาน ร่างขาวพริบตาเดียวมายืนข้างซูไป๋อี
“เร็วเกินไปแล้ว…” ซูไป๋อีเหงื่อเย็นท่วมหลัง
คนผู้นั้นจับกระบี่ซูไป๋อีและชักกระบี่คำกล่าววีรชนขึ้นอย่างรวดเร็ว ผลักซูไป๋อีลงพลางใช้กระบี่ปัดพัดของเซี่ยอวี่หลิงจนปลิวไป แล้วหันมาจ่อปลายกระบี่จรดที่หน้าอกเฟิงจั่วจวิน
“สถาบันแห่งนี้ไม่มีคำว่าผู้แข็งแกร่งที่สุด เพราะผู้ที่แข็งแกร่งกว่าจะปรากฏขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่เคยอ่อนแอก็อาจแข็งแกร่งขึ้นในวันหนึ่ง เมื่อเจ้าตระหนักถึงความจริงนี้ ก็ถึงเวลาที่เจ้าควรออกท่องยุทธภพภายนอก” เขากล่าวอย่างเย็นชา
แม้ซูไป๋อีจะถูกกดไว้ แต่ในใจเขายังคงตื่นเต้นไม่หยุด “ใช่เลย คำกล่าวนี้เลย! ประโยคติดปากที่แสนยอดเยี่ยมในนิยาย สายโลหิตแห่งสำนัก!”
เฟิงจั่วจวินและเซี่ยอวี่หลิงต่างรีบหยุดการกระทำของตนทันที แล้วโค้งคำนับด้วยท่าทีเคารพ “อาจารย์”
หลี่กุ่ยเดินเร่งรีบมาจากด้านนอก แล้วกล่าวกับชายที่กดตัวซูไป๋อีว่า “วีรชนโจวเจิ้ง ท่านนี้คือซูไป๋อี คุณชายที่คุณหนูให้ข้านำตัวกลับมา”
“มิน่าเล่า” โจวเจิ้งเหลือบมองกระบี่ในมือแล้วเก็บมันกลับเข้าฝักของซูไป๋อี ก่อนจะปล่อยมือจากตัวเขา
ซูไป๋อีจึงยืดตัวขึ้น ช้อนตามองชายเบื้องหน้า ดูไปแล้วอายุราวๆ สามสิบเศษ หน้าขาวไร้หนวดเครา มีท่าทางสุขุมดุจบัณฑิต เรียกได้ว่าเปี่ยมด้วยบารมีที่เหมาะสมกับนักปราชญ์แห่งสถาบัน
“วีรชนโจวเจิ้ง” ซูไป๋อีทำท่าคำนับ
“หลังเลิกเรียนให้เจ้านำกระบี่ไปฝากไว้ที่ฝ่ายดูแล ตอนนี้ขึ้นเรียนได้แล้ว” โจวเจิ้งพูดพลางเดินนำเข้าไปในห้อง
ภายในห้องเรียน โจวเจิ้งนั่งอยู่หน้าโต๊ะที่มีม้วนภาพยาวแขวนอยู่ด้านหลัง บนนั้นเขียนอักษรไว้ว่า ‘วิถีแห่งความชั่วร้าย’
ศิษย์จากพรรคดอกท้อโลหิตและพรรคหฤโหดนั่งประจำตำแหน่งของตน แบ่งกันนั่งคนละฝั่งอย่างเป็นระเบียบ ซูไป๋อีนั่งอยู่แถวหลัง มองภาพตรงหน้า
เมื่อเห็นท่าทางของโจวเจิ้งและคำว่า วิถีแห่งความชั่วร้าย เขารู้สึกเหมือนฉากในนิยายสายโลหิตแห่งสำนักที่เคยอ่าน แต่…สถาบันอันทรงเกียรติอย่างสำนักศึกษานี้ จะสอนวิถีแห่งความชั่วร้ายจริงๆ หรือ?
“วันนี้มีศิษย์ใหม่เข้ามาเรียน หลานอวี่เจ๋อ เจ้าช่วยอธิบายให้ศิษย์ใหม่ฟังหน่อยว่า ‘วิถีแห่งความชั่วร้าย คืออะไร” โจวเจิ้งกล่าว
หลานอวี่เจ๋อพยักหน้าอย่างนอบน้อม “ศิษย์น้อมรับคำสั่ง”
เขากล่าวด้วยท่าทีเคารพ “ปัจจุบันยุทธภพไร้ผู้นำ บรรดาสำนักทั้งหลายขัดแย้งกันไม่หยุดเพื่อตำแหน่งจ้าวยุทธภพ แม้สำนักสวรรค์ซ่างหลินจะยังคุมระเบียบที่เปราะบางไว้ได้ แต่ในอีกสามปีข้างหน้า ยุทธภพจะเกิดกลียุคครั้งใหญ่ บรรดาสำนักน้อยใหญ่จะต้องเปิดศึกกันไม่หยุด ยุทธภพจะกลับสู่สภาพเช่นเมื่อสิบสองปีก่อน กล่าวคือ…วิถีแห่งความชั่วร้าย ความดีชั่วจักเลือนหาย ผู้คนจะสับสน ไม่รู้ถูกผิด และมีเพียงทางเดียวที่จะอยู่รอดได้ คือการเป็นผู้แข็งแกร่ง”
ซูไป๋อีเกาศีรษะพลางครุ่นคิด “ยุทธภพจะเกิดกลียุค? วิถีแห่งความชั่วร้าย?” พวกเขาเชื่อในเรื่องเหล่านี้จริงๆ หรือ? ทฤษฎีผู้แข็งแกร่งเป็นสิ่งที่พวกสำนักเล็กๆ ใช้ปลุกปั่นผู้คนโง่เขลาเพื่อหลอกเงินทองมิใช่หรือ?”
โจวเจิ้งพยักหน้า “ก่อนหน้าข้าจะมา หลี่ไว่เป็นผู้สอนพวกเจ้าในเรื่องหลักคุณธรรม ความเมตตา และการเคารพกฎ แต่ข้าจะสอนเรื่องวิถีแห่งความชั่วร้าย เจ้ารู้สึกว่าการเรียนกับข้าต่างจากการเรียนกับหลี่ไว่อย่างไรบ้าง? เฟิงจั่วจวิน เจ้าตอบ”
เฟิงจั่วจวินลุกขึ้น คิดสักครู่แล้วตอบว่า “เรียนกับท่าน…รู้สึกสะใจยิ่งนัก!”