บทที่ 6 สำนักศึกษา
“น้ำใสภูงามตระหง่านไกล เหมือนคิ้วยาวละมุนละไมเฝ้าอิงฝัน กลับมายืนพิงหน้าต่างอย่างสุขพลัน ลมวสันต์ไม่รู้ใจฝนเจียงหนาน ยิ้มมองตรอกซอกฝนที่ล้อเล่น เฝ้าเพียรเห็นคนเยือนชิมรสหวาน” ซูไป๋อีพึมพำบทกวีที่อาจารย์ชอบท่องเวลามึนเมา ขณะที่เขาเปิดม่านรถม้า ชมทิวทัศน์รอบๆ ขณะมุ่งหน้าสู่เมืองเฉียนถัง
ห้าวันผ่านไปนับจากที่ซูไป๋อีออกจากหมู่บ้านดอกท้อ รถม้าของเขาแล่นเข้าสู่เมืองเฉียนถัง และภูเขาที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพฤกษานานา ในหมู่เขาสือหลี่หลางตัง ขึ้นชื่อว่าเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในเจียงหนาน
“ลือว่าเจียงหนานคือแดนแห่งสุรา นักพเนจรช้ำอุราพาโศกศัลย์ ใครบ้างรู้เจียงหนานสำราญพลัน ยิ้มรับลมวสันต์หอมสิบลี้” หลี่กุ่ย คนขับรถม้าตอบกลับบทกวีอย่างยิ้มแย้ม
“เฮ้ เจ้าเองก็รู้จักบทกวีนี้ด้วยหรือ หลี่กุ่ย” ซูไป๋อีหัวเราะเยาะ หลังจากใช้เวลาอยู่ร่วมกับหลี่กุ่ยห้าวัน เขาก็เริ่มสนิทสนมกับคนขับรถม้าผู้นี้ แม้หลี่กุ่ยจะดูเย็นชาและแข็งกระด้าง แต่เมื่อได้รู้จักกันดีขึ้น ก็พบว่าเขามีน้ำใจและจริงใจ เพียงแต่ท่าทีเย็นชานั้นเป็นผลจากความไม่ถนัดในการสื่อสาร
ซูไป๋อีเป็นคนที่สามารถคุยกับใครก็ได้ แม้แต่กับคนเงียบขรึม เขาก็สามารถพูดคุยจนเป็นเพื่อนสนิทได้ แต่ถึงกระนั้น หลี่กุ่ยก็ยังคงคิดว่าซูไป๋อีอวดเกินจริงที่บอกว่าอาจารย์ของเขาคือเซี่ยคั่นฮวา
หลี่กุ่ยหยิบขวดน้ำขึ้นมาจิบ “ถึงแม้การขับรถม้าจะมิใช่งานมีเกียรตินัก ไม่จำเป็นต้องรู้กวี แต่ข้าผู้นี้แตกต่างจากคนอื่น ข้าเป็นคนขับรถม้าที่สือหลี่หลางตังแห่งสำนักศึกษา ที่นี่มีนักปราชญ์สามร้อยคน วีรชนเก้าคน และท่านเซียนปราชญ์ ข้าไม่อยากทำให้พวกเขาขายหน้า ถึงแล้วล่ะ”
รถม้าหยุดลง ซูไป๋อีเปิดม่านและก้าวลงมา มองเห็นอาคารที่อยู่ไกลออกไปตั้งอยู่กลางป่า บรรยากาศโดยรอบดูเหมือนลอยอยู่ในเมฆหมอก มีนกบินผ่านไปมา ทำให้ดูเสมือนอยู่ในความฝัน
เขาขยี้ตา แล้วมองอีกครั้ง แต่ทิวทัศน์ก็ยังคงไม่เปลี่ยนไป
“เจ้าเห็นอะไรหรือไม่?” หลี่กุ่ยถาม
“มีบางอย่างแปลกๆ” ซูไป๋อีพึมพำ
“นี่คือค่ายกลที่สร้างขึ้นโดยวีรชนของสำนักศึกษา เรียกว่า ‘ไกลสุดสายตา ใกล้สุดหัวใจ’ หากคนธรรมดาเข้าไปในค่ายกลนี้ พวกเขาจะไม่พบทางออกไปตลอดสามวันสามคืน เจ้าหลับตาเสีย” หลี่กุ่ยจับแขนเสื้อซูไป๋อี
ซูไป๋อีเข้าใจดีว่าการที่สำนักศึกษายืนหยัดอยู่ที่นี่มาได้หลายปี ย่อมต้องมีอะไรบางอย่างที่พิเศษ เขาจึงทำตามคำสั่งทันที เขารู้สึกเหมือนโลกหมุนรอบตัว และแม้จะรู้สึกเหมือนเท้าไม่ได้ขยับไปไหน แต่ทิวทัศน์รอบตัวกลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปประมาณครึ่งธูป หลี่กุ่ยกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ถึงแล้ว”
ซูไป๋อีลืมตาขึ้น พบว่ารอบตัวมีบัณฑิตสวมชุดขาวกำลังเดินขวักไขว่ไปมาพร้อมกับถือหนังสืออยู่ในมือ เขาหันไปมองข้างหลัง เห็นประตูใหญ่ของสำนักปิดสนิท จึงประหลาดใจ “เราเข้ามาแล้วหรือ?”
หลี่กุ่ยไม่สนใจเขา พาเขาเดินต่อไปข้างหน้า “ท่านเซียนปราชญ์ออกเดินทางไปเยือนสถานที่ต่างๆ ตอนนี้สำนักอยู่ภายใต้การดูแลของวีรชนโจวเจิ้ง ข้าจะพาเจ้าไปพบเขาที่เรือนรับรองของศิษย์ก่อน”
“หลี่กุ่ย เจ้าใช้วิธีอะไรกันแน่ ข้าไม่รู้สึกว่าตัวเองขยับเลย ทำไมพอลืมตาข้าถึงมาอยู่ในนี้แล้ว?” ซูไป๋อียังคงประทับใจประสบการณ์อันแปลกประหลาดนั้น
“สำนักศึกษาแห่งนี้เป็นที่รวมของปัญญา ศีลธรรม และความเป็นเลิศ ทุกคนในโลกแห่งวิชาการต่างมองมาที่นี่ด้วยความเคารพ หากให้เลือกระหว่างการเป็นขุนนางผ่านการสอบเข้ารับราชการ กับการเข้ามาศึกษาในสำนักนี้ หลายคนเลือกที่จะเป็นศิษย์ของสำนัก เพราะเป็นเกียรติยิ่งใหญ่ที่จะส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น” หลี่กุ่ยกล่าวอย่างภาคภูมิ
ซูไป๋อีหัวเราะเบาๆ “ฟังดูเหมือนเจ้าจำบทพูดนี้มาจากใครบางคน”
หลี่กุ่ยหน้าแดงเล็กน้อย “ข้าไม่รู้จะอธิบายความภูมิใจนี้อย่างไร เลยให้คุณหนูเขียนข้อความนี้ให้ข้า…”
เมื่อหลี่กุ่ยพาซูไป๋อีเข้าสู่เรือนรับรอง เขาเห็นบัณฑิตหลายคนกำลังถกเถียงเรื่องบางอย่าง แต่พวกนี้แตกต่างจากเหล่าบัณฑิตที่พบก่อนหน้านี้ พวกเขามีสี่ตัวอักษรเขียนอยู่ด้านหลังเสื้อ
ซูไป๋อีอ่านข้อความนั้นออกมาอย่างช้าๆ “ไร้-สิ้น-ซึ่ง-ธรรม”
บัณฑิตคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ข้างหน้า หันมองมา เขาเป็นชายร่างสูงใหญ่ สูงกว่าซูไป๋อีมาก สวมเสื้อคลุมขาวหลวมๆ ใบหน้าอิดโรย มีไม้จิ้มฟันคาบอยู่ในปาก เขาก้มมองซูไป๋อี “เจ้าเป็นเด็กใหม่รึ?”
“ข้าซูไป๋อี มาจากหมู่บ้านดอกท้อ” ซูไป๋อีตอบ รู้สึกเหมือนเคยพบชายคนนี้ที่ไหนมาก่อน
“หมู่บ้านดอกท้อ?” ชายร่างสูงขมวดคิ้ว “ไม่เคยได้ยิน แต่ข้าเคยเห็นเจ้าแน่ๆ”
เหล่าบัณฑิตคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่กระจัดกระจายเริ่มเข้ามารวมตัวกันอยู่ข้างหลังชายร่างสูง พวกเขาทุกคนสวมชุดคลุมสีขาวหลวมๆ เช่นเดียวกับหัวหน้าของพวกเขา หนึ่งในนั้นชักดาบไม้ไผ่ออกมาจากเอว ชี้ไปที่กระบี่ของซูไป๋อีแล้วพูดเบาๆ ว่า
“หัวหน้า เจ้านี่ยังไม่ได้ปลดกระบี่”
“กล้าดีนี่ ไม่รู้หรือว่าต้องทำตามกฎ?” ชายร่างสูงแคะหูแล้วถาม “เจ้า ชื่ออะไรนะ?”
“ซูไป๋อี”
ซูไป๋อีขมวดคิ้วทันที เขาจำได้ว่าชายร่างสูงคนนี้คือใคร นี่คือ “เฟิงจั่วจวิน” จากสำนักศึกษา ซึ่งเคยต่อสู้กับผู้คุ้มกันของสี่ตระกูลใหญ่ในเมืองเย่หลัน!
“ข้าต้องเคยเห็นเจ้าแน่ๆ” เฟิงจั่วจวินกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าหันหลังให้ข้าดูสิ!”
ซูไป๋อีหัวเราะแห้งๆ แล้วถาม “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
เฟิงจั่วจวินกระโดดอย่างรวดเร็วไปด้านหลังของซูไป๋อี และมองไปที่เงาหลังของเขาก่อนจะร้องลั่นอย่างตกตะลึง
“ข้าจำได้แล้ว! วันนั้นเป็นที่เจ้าพาชายชุดครามหนีไปจากพวกข้า นั่นเป็นเจ้า! ข้าจำเงาหลังของเจ้าได้! เจ้ากล้าดียังไงถึงมาโผล่ที่สำนักนี้!”
ซูไป๋อีถอยหลังอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวว่า “เข้าใจผิดๆ!”
“ภารกิจแรกของข้าในฐานะหัวหน้าพรรคหฤโหดนี้ ข้าหวังจะได้โอ้อวดต่อหน้าคุณชายสามเซี่ย แต่เจ้ากลับมาขัดขวาง! ตอนนั้นศิษย์พี่หญิงสั่งให้ข้ากลับมาที่สำนัก ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมามอบตัวต่อข้าเอง ดีมาก!”
“อะไรนะ? พรรคหฤโหด?” ซูไป๋อีที่เดิมทีรู้สึกกังวลอย่างมาก กลับไม่สามารถกลั้นหัวเราะออกมาได้ “ข้าได้ยินมาว่าสำนักศึกษามีวิชาความรู้สูงส่งที่สุดในแผ่นดิน แต่ชื่อที่พวกเจ้าใช้ก็แสนจะไร้ระดับ!”
เฟิงจั่วจวินถึงกับชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะโกรธจัด “เจ้าบอกว่าชื่อ ‘พรรคหฤโหด’ ของข้าไม่ดีงั้นหรือ!”
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะแผ่วๆ ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง “ท่านพูดได้ตรงไปตรงมาจริงๆ”
กลุ่มของเฟิงจั่วจวินต่างชักดาบไม้ไผ่ออกมา ทุกคนหันไปมองทางประตูอย่างพร้อมเพรียง ซูไป๋อีหันกลับไปดูด้วยความสงสัย เห็นกลุ่มศิษย์สำนักศึกษาที่แต่งกายเรียบร้อยเดินเข้ามา เครื่องแบบสีแดงฉานดั่งโลหิตของพวกเขาปักลายดอกท้อเป็นจุดๆ ชายหนุ่มที่นำกลุ่มเข้ามามีใบหน้าคมเข้ม ดวงตาดูเย็นชา เขามองเฟิงจั่วจวินแล้วหันมามองซูไป๋อีโดยไม่เอ่ยคำใด
“คุณชายเฟิง ‘พรรคหฤโหด’ ของเจ้าไม่ใช่พรรคชั่วร้ายหรอกนะ ไม่จำเป็นต้องชักดาบไม้ไผ่ออกมาต่อสู้ทุกครั้งที่มีเรื่อง” ชายหนุ่มผิวขาวสะอาดที่ยืนข้างๆ หัวหน้าพรรคที่มาใหม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“หลานอวี่เจ๋อ เจ้ากล้าดียังไงมาพูดกับข้า” เฟิงจั่วจวินยกดาบไม้ไผ่ขึ้นวางบนบ่าอย่างผ่อนคลาย แต่แววตาของเขากลับเตรียมพร้อมที่จะลงมือ
ซูไป๋อีสังเกตเห็นพัดพับในมือของหลานอวี่เจ๋อ มีอักษรสี่ตัวเขียนอยู่บนนั้น เขาขมวดคิ้วก่อนจะอ่านออกมาอย่างช้าๆ “ต่ำ-ละ-เมิด-สูง?”
“ถูกต้องแล้ว ต่ำละเมิดสูง” หลานอวี่เจ๋อเก็บพัดพับกลับแล้วกล่าว “คุณชายมีความสนใจที่จะเข้าร่วมพรรคดอกท้อโลหิตของพวกเราหรือไม่?”