บทที่ 5 ลมวสันต์
“มันคือชมบุปผาในหมอก ตอนนั้นเจ้ามองไม่เห็นดอกไม้นั้น วันนี้เจ้าก็ยังมองไม่เห็น” เซี่ยคั่นฮวาเงยหน้าขึ้นดื่มสุราไปหนึ่งอึก จากนั้นก็เงยหน้ามองขึ้นไป
บนกำแพง ไม่รู้ว่ามีคนยืนอยู่บนนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ บุคคลนั้นสวมชุดคลุมยาวสีเขียวเข้ม แม้ไม่มีลมพัด แต่ชุดคลุมของเขากลับปลิวไสวเหมือนถูกลมแรงโหมกระหน่ำ ใบหน้าของเขาดูอายุไล่เลี่ยกับเซี่ยคั่นฮวา แต่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับความสง่างามของเซี่ยคั่นฮวา ชายคนนี้มีดวงตาที่เต็มไปด้วยความหยิ่งทะนง เหมือนมองดูคนทั้งโลกด้วยสายตาดูแคลน เขาก้มลงมองเซี่ยคั่นฮวาแล้วพูดเสียงเรียบว่า “ชมบุปผาในหมอก?”
“ลมวสันต์แห่งความรุ่งโรจน์” เซี่ยคั่นฮวาเงยหน้าดื่มสุราขึ้นอีกอึก
ซูไป๋อีบ่นพึมพำเบาๆ “สุรานี้...มิใช่ท่านบอกว่าจะให้ข้าหรอกหรือ?”
เซี่ยคั่นฮวาวางไหสุราลงแล้วยิ้มเบาๆ ก่อนจะโยนมันกลับไปที่เท้าของซูไป๋อี “ศิษย์รัก ข้าขอมอบส่วนที่เหลือไว้ให้เจ้า ถ้าไม่เช่นนั้น แม้ว่าข้าจะไม่ดื่ม ก็คงถูกสหายสนิทของข้าที่อยู่ตรงหน้าข้าชิงไปใช่หรือไม่? เจ้าหอลมวสันต์ เหอเหลียนซีเยว่”
ซูไป๋อีเกาหัวด้วยความงุนงง “อาจารย์ ข้าไม่เคยได้ยินท่านพูดถึงชื่อเขามาก่อน”
“ชมบุปผาในหมอก และลมแห่งวสันต์ เราเคยถูกขนานนามว่าเป็นสองอัจฉริยะแห่งซ่างหลิน ทั้งสองเราเป็นที่รู้จักในยุทธภพ เจ้าฟังเรื่องราวในยุทธภพที่ข้าเล่า ครึ่งหนึ่งของเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องของเหอเหลียนซีเยว่ต่างหาก จึงไม่แปลกที่เจ้าจะไม่เคยได้ยินชื่อเขา” เซี่ยคั่นฮวากล่าว
ซูไป๋อีอึ้งไปครู่หนึ่ง “เขาเก่งมากหรือ?”
“เก่งมาก ตอนนั้นข้าสร้างชื่อจากเพลงกระบี่ เพลงกระบี่ของข้ามีนามว่าชมบุปผาในหมอก มีคำลือในยุทธภพว่าไม่มีใครมองเห็นตอนที่ข้าฟันกระบี่ได้เลย ส่วนเหอเหลียนซีเยว่สร้างชื่อด้วยพลังภายใน พลังของเขามีนามว่าสายลมแห่งวสันต์ เจ้าดูตอนนี้เถิด เสื้อคลุมของเขาปลิวไหวแม้ไร้ลม นั่นคือพลังของสายลมแห่งวสันต์ที่ไหลเวียนอยู่รอบตัวเขา สิ่งใดที่อยู่ใกล้เขาล้วนแตกสลายเป็นผุยผง” เซี่ยคั่นฮวาพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ราวกับพูดถึงสหายสนิทของตนเองอย่างภาคภูมิใจ
“ข้ามีคำถามหนึ่ง”
“คำถามอะไร?”
“ในเมื่อทุกอย่างใกล้ตัวเขาจะแตกเป็นผุยผง ทำไมเสื้อผ้าของเขาไม่สลาย? เขาไม่ควรจะยืนเปลือยร่างอยู่นั่นหรือ?”
“ไป๋อี ลองคิดถึงคำที่ข้าบอกเจ้าก่อนที่พวกเขาจะมาถึงสิ”
ซูไป๋อีรีบก้มหน้าลง “อย่าพูดมาก อย่าพูดมาก”
“จริงๆ แล้ว ข้าเองก็เคยถามคำถามนี้เมื่อก่อน จากนั้นข้าก็ถูกซัดจนลุกไม่ขึ้นอยู่สามวัน” เซี่ยคั่นฮวาพุ่งตัวกลับไปยืนข้างซูไป๋อีทันที ก่อนจะจับมือของเขาไว้ “อย่าชักกระบี่ออกมา”
แม้ตลอดการสนทนาที่ผ่านมาซูไป๋อีเงียบเฉย แต่เขาก็เตรียมตัวชักกระบี่ออกมาโดยไม่พูดอะไร ทว่าเขากลับถูกเซี่ยคั่นฮวาจับได้ เขาส่ายหัวเล็กน้อยก่อนตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “อาจารย์ ข้าคิดดูแล้ว ข้าจะไม่ยอมให้พวกเขาพาท่านไป เราสู้กันเพื่อหนีเถอะ ยังพอมีโอกาสอยู่”
เซี่ยคั่นฮวายิ้มบางๆ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เชื่ออาจารย์เถอะ ที่ข้าพูดไปล้วนเป็นความจริง ข้ายังไม่ตายแน่นอน เราจะได้พบกันอีก เป็นเช่นนั้นรึไม่?” เซี่ยคั่นฮวาหันไปมองเหอเหลียนซีเยว่บนกำแพง
เหอเหลียนซีเยว่เลิกคิ้วเล็กน้อย “ถูกต้อง”
“ข้าจะไปกับพวกเจ้า แต่เจ้าห้ามทำร้ายศิษย์ของข้า” เซี่ยคั่นฮวาโยนกระบี่ยาวในมือขึ้นไปบนอากาศ
เสื้อคลุมที่เคยโบกสะบัดของเหอเหลียนซีเยว่หยุดลง เขายื่นมือไปรับกระบี่ยาวนั้นพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย “ตกลง”
“ไม่ได้!” ซูไป๋อีตะโกนลั่น เขาพุ่งตัวขึ้นไปทางเหอเหลียนซีเยว่ กระบี่ในมือชักออกมาครึ่งหนึ่ง “อาจารย์ ข้าบอกแล้วว่าไม่ได้!”
“กระบี่แห่งราชัน” เหอเหลียนซีเยว่ส่งสายตาอ่อนโยน แต่ทว่ามือกลับไร้ความปรานี เขาฟาดมือเพียงครั้งเดียว ซูไป๋อีก็ถูกซัดกระเด็นออกไปทันที
ซูไป๋อียังไม่ทันชักกระบี่ออก ก็ถูกเหวี่ยงกระเด็นออกนอกหน้าต่างไม้จนแตกกระจาย ร่างลอยไปตกในโรงเรียนด้านนอก
เซี่ยคั่นฮวาส่ายหัวอย่างไม่ใยดี “ข้าบอกแล้วว่าเขามีพลังสายลมวสันต์ สิ่งใดที่เข้าใกล้ล้วนแตกสลายทั้งนั้น”
“อาจารย์” ซูไป๋อีกัดฟัน กดกระบี่ลงกับพื้นพยายามลุกขึ้น
“ไปเถอะ” เซี่ยคั่นฮวาพุ่งขึ้นไปยืนบนกำแพงลาน
เจี้ยคงยกจอบพระจันทร์ขึ้น มองซูไป๋อีในโรงเรียนด้วยท่าทางครุ่นคิด
“ไป!” เหอเหลียนซีเยว่กล่าวกับเจี้ยคง น้ำเสียงหนักแน่นกว่าเดิม
เจี้ยคงพ่นลมหายใจหนักออกมา ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับเหวินซี เหอเหลียนซีเยว่จึงพาเซี่ยคั่นฮวาพุ่งหายไปด้วยกัน
“เจ้าหอลมวสันต์อะไรนั่น ช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน” ซูไป๋อีพยายามลุกขึ้นหลายครั้งแต่ก็เจ็บจนต้องนั่งลงใหม่ ปรับลมปราณครู่หนึ่ง กระทั่งครึ่งชั่วยามต่อมา เสียงรถม้าก็ดังขึ้นจากภายนอก
“กลับมาอีกครั้ง คงมาเพื่อฆ่าข้าล่ะสิ” ซูไป๋อีแอบซ่อนกระบี่ยาวไว้ด้านหลัง
หญิงสาวในชุดสีม่วงปรากฏตัวกลางลาน แม้จะอยู่ไกลจนมองไม่เห็นใบหน้า แต่เรือนร่างที่คุ้นตาทำให้ซูไป๋อีรู้ได้ทันที “เป็นเจ้า! เจ้าตามมาจริงๆ!”
“อาจารย์ของเจ้าอยู่ที่ไหน?” หญิงสาวในชุดม่วงถาม
“ถูก... ถูกจับตัวไปแล้ว!” ซูไป๋อีรีบตอบ “ข้าเพิ่งจำได้ว่าพวกเจ้ามาจากสำนักศึกษา อาจารย์ข้าบอกให้ข้าไปพบท่านเซียนปราชญ์ที่นั่น”
“พวกเขาไปทางไหน?” หญิงสาวไม่สนใจครึ่งหลังของคำตอบ
“พวกเขามุ่งหน้าไปทางทิศอุดร คงกลับไปยังสำนักสวรรค์ซ่างหลินที่เขาเหวยหลง” ซูไป๋อีตอบ
หญิงสาวในชุดม่วงกระโดดขึ้นไปยืนบนกำแพง ก่อนจะมองไปยังที่ไกลโพ้น
“แม่นาง พาข้าไปด้วยสิ ข้าจะไปช่วยอาจารย์” ซูไป๋อีตะโกน
“หลี่กุ่ย พาชายคนนี้กลับไปยังสำนักศึกษา นับว่าเป็นศิษย์ใหม่ไปก่อน ที่เหลือข้าจะจัดการเมื่อข้ากลับมา” หญิงสาวในชุดม่วงสั่งคนที่อยู่ด้านล่าง
ชายร่างเตี้ยที่ควบคุมรถม้าอยู่ไม่ใช่เฟิงจั่วจวินที่มาด้วยกันเมื่อครั้งก่อน เขาพยักหน้ารับคำ “รับคำสั่ง”
“แม่นาง คนที่จับอาจารย์ข้าไปไม่ธรรมดา เจ้าคนเดียวคงจะรับมือไม่ไหว…” ซูไป๋อีเตือนด้วยความห่วงใย
“แต่ถ้าพาเจ้าไปด้วยคงรับมือไม่ได้แน่นอน” หญิงสาวในชุดม่วงกล่าวเสียงเย็น ก่อนจะพุ่งตัวหายไปจากสายตาของซูไป๋อี
ชายร่างเตี้ยเดินเข้ามาในบ้าน มองซูไป๋อีบนพื้น ก่อนจะจับเขายกขึ้นพาดบ่า
“เจ็บๆๆๆๆๆ...” ซูไป๋อีร้องออกมา
ชายร่างเตี้ยเหลือบมองเขาอย่างเย็นชา “เจ้าคิดจะไปหาท่านเซียนปราชญ์ทั้งที่สภาพเช่นนี้หรือ?” จากนั้นเขาก็หิ้วซูไป๋อีออกจากลานโยนขึ้นรถม้า
ซูไป๋อีเอนตัวพิงรถม้าหอบหายใจหนักๆ “ว่าแต่ แม่นางคนนั้นเป็นใครกัน ทำไมถึงตามหาอาจารย์ข้าด้วย?”
“นางไม่ได้สั่งให้ข้าบอก ข้าจึงไม่พูด” ชายร่างเตี้ยตอบเสียงเย็น
“แต่นางก็ไม่ได้สั่งห้ามเจ้าบอกมิใช่รึ แล้วไยเจ้าจะพูดไม่ได้?” ซูไป๋อีพยายามพูดกล่อม
ชายร่างเตี้ยเป็นคนซื่อ คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า “ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล”
“งั้นบอกข้ามา” ซูไป๋อีกล่าวเร่งเร้า
ชายร่างเตี้ยบังคับรถม้าเปลี่ยนทิศทาง ก่อนจะฟาดแส้แรงๆ “แต่ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะ นางเพียงแค่ให้ข้าช่วยขับรถม้า ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาจารย์ของเจ้าเป็นใคร...”
ซูไป๋อียิ้มเจื่อน “อาจารย์ข้าคือเซี่ยคั่นฮวาน่ะสิ”
ชายร่างเตี้ยหัวเราะลั่นทันที “ฮ่าๆๆๆ เจ้าหนุ่ม เจ้าพูดเก่งจริงๆ เช่นนั้นอาจารย์ข้าคงเป็นเหอเหลียนซีเยว่แล้วกระมัง!”
“บังเอิญเสียจริง อาจารย์เจ้าพึ่งจากไปเมื่อครู่นี้เอง” ซูไป๋อีตอบกลับอย่างประชดประชัน
แต่ชายร่างเตี้ยกลับไม่ได้เข้าใจประชดประชันของเขา เพียงพูดเบาๆ ว่า “ในยุทธภพใครๆ ก็รู้ดีว่าในสงครามเขาเทียนเหมินระหว่างสำนักสวรรค์ซ่างหลินกับลัทธิสวรรค์ เซี่ยคั่นฮวาก็ได้ตายไปนานแล้ว คนตายจะเป็นอาจารย์เจ้าได้อย่างไร?”