บทที่ 4 ชมบุปผาในหมอก
“อาจารย์!” ซูไป๋อีทำตัวใจเย็นได้เพียงครู่ก่อนจะอดใจไม่ไหว ร้องโอดครวญออกมา “ท่านบอกว่าท่านเคยขโมยสมบัติล้ำค่าของผู้อื่นเมื่อหลายปีก่อน เขาก็ตามหามานับสิบปี มาวันนี้โดนจับได้ จะไม่ถูกถลกหนังหรอกหรือ...”
“วางตัวให้สง่างาม” เซี่ยคั่นฮวาเน้นย้ำ
ซูไป๋อีได้แต่กล้ำกลืนเก็บสีหน้าเศร้าเอาไว้ พลางพูดด้วยความจำใจ “วีรชนย่อมไม่กังขากับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า”
“นั่นสำหรับผู้กล้า” เซี่ยคั่นฮวาแก้ให้
“แล้วสมบัติล้ำค่าที่ท่านขโมยมันอยู่ที่ใดเล่า?” ซูไป๋อีเปลี่ยนเรื่องอย่างเป็นธรรมชาติ “หรือท่านจะคืนมันแล้วขอโทษดี?”
“สมบัตินั้นไม่ได้อยู่กับข้าแล้ว ข้าให้เจ้าไปนานแล้ว” เซี่ยคั่นฮวายิ้มเจ้าเล่ห์
ซูไป๋อีสะดุ้ง “ข้าไม่เห็นรู้เลย?”
“วิชายุทธที่เจ้าเรียนอยู่นั่นอย่างไร” เซี่ยคั่นฮวากล่าวอย่างอ้อยอิ่ง
“อะไรนะ นั่นเป็นสิ่งที่ท่านขโมยมารึ?” ซูไป๋อีตกใจ
เซี่ยคั่นฮวาพยักหน้า “แล้วข้าก็เผามันไปแล้ว เพราะฉะนั้นเจ้าคือคนเดียวที่จำวิชานี้ได้ เจ้านั่นแหละคือสมบัติล้ำค่า”
ซูไป๋อียกมือขึ้นแตะหน้าผาก “อาจารย์ ท่านช่างเมตตาศิษย์เหลือเกิน พูดถึงชายชุดครามที่ฝึกแค่สามหน้าก็เป็นแบบนั้น ข้าฝึกไปครึ่งเล่ม จะไม่เลวร้ายกว่านั้นรึ นี่มันสมบัติอะไรกัน ข้าไม่เอาได้ไหม…”
“เซี่ยซิง เด็กคนนั้นใจร้อนเกินไป” เซี่ยคั่นฮวาเดินออกไปนอกบ้าน “อย่ากังวลไปเลยศิษย์รัก เราจะไม่เป็นไร อีกสักครู่ข้าจะให้พวกเขาจับข้าไป แต่ข้าจะต่อรองให้ปล่อยเจ้า เมื่อกลับถึงสำนักสวรรค์ซ่างหลิน ข้าจะเจรจากับพวกเขา พวกเขาไม่มีทางฆ่าข้าเพราะได้สมบัติไปไม่ครบ รอจนกว่าเจ้าฝึกเสร็จกลายเป็นวีรชนแล้วกลับมาช่วยข้าก็แล้วกัน”
ซูไป๋อีสะดุ้ง ดวงตาเริ่มมีน้ำตาคลอ “อาจารย์ ท่านจะยอมเสียสละตัวเองเพื่อข้า...”
“ข้าไม่ได้กล่าวเช่นนั้น...” เซี่ยคั่นฮวาขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ท่านพูดเช่นนี้ก็เพื่อให้ข้าสบายใจหลังท่านจากไป เพราะเมื่อท่านกลับไปที่สำนักสวรรค์ซ่างหลิน ท่านต้องโดนทรมานสารพัด สุดท้ายก็ตายอย่างทรมาน...”
“เจ้านี่มัน...” เซี่ยคั่นฮวาพูดด้วยความระอา
“อ้อ อาจารย์ ท่านบอกว่ารอข้าฝึกเสร็จแล้วค่อยไปช่วย ท่านมีแผนไว้ให้ข้าไปเรียนที่ไหนไหม?” ซูไป๋อีรีบเก็บน้ำตาแล้วถามอย่างจริงจัง
“ไปที่สำนักศึกษา” เซี่ยคั่นฮวาตอบอย่างขุ่นเคือง “ที่นั่นมีเซียนปราชญ์คอยดูแลอยู่ ไม่มีใครจากสำนักสวรรค์ซ่างหลินกล้ารุกราน”
“สำนักศึกษา?” ซูไป๋อีนึกถึงหญิงสาวที่กางร่มในความทรงจำแล้วขนลุก
“ศิษย์รัก ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าจะต้องท่องไปในยุทธภพในฐานะศิษย์ของข้า ห้ามทำให้ข้าเสียชื่อเสียง ดูจากภายนอกเจ้าก็คล้ายกับข้าสมัยก่อนอยู่ไม่น้อย แต่จำไว้อย่างหนึ่ง” เซี่ยคั่นฮวาเดินไปที่ประตู มองป้ายที่เขียนว่า “หอหนังสือใหญ่แห่งต้าเซียว”
“อาจารย์เชิญบอกมา”
“จงอย่าพูดมาก”
เซี่ยคั่นฮวาเดินไปในสวน มองต้นท้อที่กำลังผลิบาน แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะ “ไป๋อี เจ้าลองทายสิว่าข้านึกถึงกวีบทใดอยู่”
“ถ้าเดินทางจากไป ย่อมจากกันเป็นเวลานาน บทกวีน่าจะเป็น ‘กลีบท้อหอมกลิ่นหิมะน้ำค้าง ถนนแห่งต้นหลิวเต็มไปด้วยการจากลา’ ใช่ไหม” ซูไป๋อีคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบอย่างจริงจัง
เซี่ยคั่นฮวาส่ายหน้า “มิใช่”
“งั้นบทใด?”
“แน่นอนว่าเป็น ‘สีแห่งวสันต์ไม่อาจกักขังไว้ ท้อสีแดงกิ่งหนึ่งพลัดออกนอกกำแพง’”
“ห๊ะ?”
เซี่ยคั่นฮวาหลับตา สูดกลิ่นหอมของดอกท้อลึกๆ อย่างสำราญใจกล่าวว่า “เจ้าใกล้จะออกเดินทางสู่ยุทธภพแล้ว ยุทธภพเต็มไปด้วยสีแห่งวสันต์ ในวสันต์ฤดูนั้นย่อมมีดอกท้อผลิสะพรั่ง โดยเฉพาะสำนักศึกษาที่เจ้าจะไปนั้น อยู่ในเมืองเฉียนถังเชียวนะ!”
“เมืองเฉียนถังเป็นอย่างไร?” ซูไป๋อีถามด้วยความสงสัย
เซี่ยคั่นฮวาสูดหายใจลึก “หญิงสาวในเมืองเฉียนถัง พวกนวงล้วนงดงามมาก”
ซูไป๋อียิ้ม “อาจารย์มีเรื่องเล่า ที่ข้าพูดถึงหญิงสาวเมื่อครู่ นางเหมือนว่า...”
“ใช่แล้ว เป็นเรื่องเล่าที่ยาวนาน” เซี่ยคั่นฮวาสะบัดแขนเสื้อเบาๆ กวาดดอกไม้ที่ร่วงอยู่บนพื้นออกไป ซูไป๋อีมองลงไปที่พื้น เห็นว่ามีไหสุราฝังอยู่
“สุราไหนี้ข้าฝังไว้ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงที่นี่ วันนี้มอบให้เจ้า ถือเป็นของขวัญอำลา” เซี่ยคั่นฮวาก้มลงดึงสุราดอกท้อ ออกจากดิน ดมเบาๆ ที่ขอบปากไห “พูดตามตรงนะ วันที่อยู่ในหมู่บ้านดอกท้อมันช่างน่าเบื่อจริงๆ โชคดีที่มีสุราดอกท้อนี้ และโชคดีที่มีเจ้า ศิษย์ที่พูดไม่หยุดอย่างเจ้า แต่วันนี้ ข้าคงต้องจากไปแน่นอน”
“ใช่แล้ว วันนี้ท่านต้องจากไปแล้ว” เสียงทุ้มหนักดังขึ้นที่หน้าประตูทันที
ซูไป๋อีหันกลับไปอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงหลวงจีนร่างใหญ่ยืนอยู่ที่ประตูพร้อมกับตบจอบพระจันทร์ในมือเข้ากับพื้นอย่างแรง จ้องมองมาทางพวกเขาด้วยสายตาดุดัน
“ดูเหมือนว่า ข่าวของเราจะไม่ผิดพลาด” ชายร่างผอมที่สวมหน้ากากเดินมาข้างๆ หลวงจีนรูปนั้น “ไม่ได้พบกันนาน เซี่ย...” พูดได้เพียงครึ่งประโยค ชายสวมหน้ากากก็ถอยหลังอย่างรวดเร็ว ดอกท้อกลีบหนึ่งลอยผ่านข้างหน้ากากของเขา ทิ้งรอยแผลเล็กๆ ไว้
ซูไป๋อีหันไปมองเซี่ยคั่นฮวา กระซิบเบาๆ “อาจารย์ คนที่ข้าพบก่อนหน้านี้ก็คือพวกเขา”
เซี่ยคั่นฮวาไม่ได้ตอบอะไร เขาถือสุราไว้ในมือข้างหนึ่ง อีกมือหนึ่งถือกลีบดอกท้อ ก้มหน้าคิดอะไรบางอย่าง
“เจ้าหอเซี่ย ท่านก็น่าจะรู้ว่าในเมื่อเรามาถึงที่นี่ ท่านจะหลบซ่อนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว” หลวงจีนร่างใหญ่ตบจอบพระจันทร์ในมือลงกับพื้นอีกครั้ง ทำให้ดอกท้อครึ่งต้นร่วงหล่น
“ยังเหมือนเดิม พูดอะไรก็ต้องตบจอบนั่นเสียงดังตลอด น่ารำคาญจริง” เซี่ยคั่นฮวาวางสุราในมือลงกับพื้น หันกลับมาเผชิญหน้า “เจ้าตำหนักอาญา ท่านเจี้ยคง และรองเจ้าตำหนักพันกลอุบาย ท่านเหวินซี”
“ปีที่เจ้าหอเซี่ยจากไป ข้าเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาแห่งตำหนักพันกลศาสตราเท่านั้น การได้เป็นรองเจ้าตำหนักก็เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าเจ้าหอเซี่ยถึงแม้จะเร้นกายจากยุทธภพ ข่าวคราวก็ยังคงรวดเร็วเช่นเคย” เหวินซีเอื้อมมือไปสัมผัสรอยแผลเล็กๆ บนหน้ากาก พร้อมกล่าวเบาๆ
“ไป๋อี เจ้ายังจำเรื่องที่ข้าเล่าเกี่ยวกับสำนักสวรรค์ซ่างหลินได้หรือไม่?” เซี่ยคั่นฮวายิ้ม
“เรื่องอื่นข้านึกไม่ออกทันที จำได้เพียงท่านเคยบอกว่าในสำนักสวรรค์ซ่างหลิน มีเจ้าหอท่านหนึ่ง ที่มีวรยุทธ์ไร้เทียมทาน รูปงามเหนือฟ้า สวมเสื้อคลุมสีทอง มือถือกระบี่หยก เดินไปทางไหนก็ทำให้หญิงสาวในยุทธภพเกินครึ่งหลงรัก แต่เขาก็ไม่เคยแตะต้องผู้ใด เป็นบุรุษในฝันที่หายากยิ่งนักในยุทธภพ” ซูไป๋อีตอบ
“เจ้าหอคนใด?”
“เจ้าหอหมอกพิรุณ”
“ชื่อของเขาคือ?”
“เซี่ยคั่นฮวา”
“นั่น ข้าเอง”
เซี่ยคั่นฮวาโบกมือนิดหนึ่ง จู่ๆ กระบี่ยาวที่ฝังไว้ใต้ดินก็พุ่งขึ้นมา ตกลงในมือเขา
“ไม่ได้จับมานานแล้ว”
แสงสีเงินพาดผ่านฉับพลัน
จอบพระจันทร์ในมือเจี้ยคงถูกยกขึ้นอย่างรวดเร็ว เหวินซีก็ปลดร่มยาวบนหลังออกมาเช่นกัน ร่มสีเขียวเข้มถูกกางออกในชั่วพริบตา!
แต่ทันใดนั้น จอบพระจันทร์ก็ถูกวางกลับลงบนพื้น ร่มก็ถูกหุบลงเช่นเดิม ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น กระบี่ยาวของเซี่ยคั่นฮวาถูกเก็บเข้าฝัก เขายกมือเบาๆ
ซูไป๋อีเข้าใจทันที เขาเตะไหสุราบนพื้นขึ้นไป ลอยข้ามศีรษะเจี้ยคงและเหวินซี ตกลงในมือเซี่ยคั่นฮวา
ขณะนั้นเอง เสียงเหมือนไข่ไก่แตกดังขึ้นในลานบ้าน หน้ากากสีขาวที่เหวินซีสวมไว้ปรากฏรอยร้าวยาว เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย หน้ากากก็แตกกระจาย เผยให้เห็นใบหน้าซีดเผือด
เจี้ยคงสูดลมหายใจลึก กดลมปราณที่พลุ่งพล่านในอก มือที่ถือจอบพระจันทร์สั่นเทาอย่างรุนแรง เขาขมวดคิ้ว พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ชมบุปผาในหมอก”