บทที่ 3 สุราดอกท้อ
นอกเมืองเฟิงเฉียว
หมู่บ้านดอกท้อ
“อ้าว! นั่นไม่ใช่คุณชายซูหรอกหรือ? เดินทางไกลกลับมาแล้วหรือ?” ภายใต้ศาลาพักร้อนเล็กๆ ข้างทาง เด็กหนุ่มผู้ช่วยร้านอาหารสะบัดผ้าขนหนูในมือพาดบ่า
ซูไป๋อีที่สะพายหีบหนังสือไว้ข้างหลังพอเดินมาถึงหน้าหมู่บ้านก็ได้ยินเสียงเรียกนั้น เขาจึงกระโดดเบาๆ ไม่กี่ก้าวไปยังศาลาไม้ไผ่ ยิ้มพร้อมพูดว่า “ใช่แล้ว การเดินทางครั้งนี้สิบกว่าวัน คิดถึงสุราดอกท้อของเจ้าจนแทบทนไม่ไหว เร็วๆ เอามาให้ข้าไหหนึ่ง แล้วก็เนื้อม้าอีกจานหนึ่ง แล้วห่อกลับอย่างละชุด ข้าจะเอาไปให้ท่านอาจารย์ด้วย”
“ได้เลย รอเดี๋ยวนะ” เด็กหนุ่มยิ้มรับคำ
ซูไป๋อีหาที่นั่งในมุมสงบและนั่งลง ตลอดเส้นทางนี้เขาไม่กล้าหยุดพักเลยแม้แต่น้อย เพราะกลัวว่าหญิงสาวที่มีฝีมือสูงส่งจะไล่ตามมา คำพูดที่เธอทิ้งไว้ก่อนแยกกันว่า “เราคงได้พบกันอีก” ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวไม่น้อย ในที่สุดเมื่อซูไป๋อีได้ก้าวเข้าสู่หมู่บ้านดอกท้อ เขาก็ถอนหายใจโล่งอก จากนั้นก็วางหีบหนังสือลงข้างๆ ก่อนจะหยิบหนังสือที่ห่อด้วยกระดาษหนังออกมาด้วยความตั้งใจ หลังจากสูดหายใจลึกๆ เขาก็เปิดกระดาษหนังออก
ภายในนั้นไม่ได้มีหนังสือทั้งเล่ม แต่เป็นเพียงไม่กี่หน้ากระดาษที่เหลืออยู่ ซูไป๋อีหยิบขึ้นมานับดู “หนึ่งหน้า สองหน้า สามหน้า มีแค่สามหน้ากระดาษเท่านั้น แต่กล้าลองฝึก ก็น่าแหละถึงได้กลายเป็นคนไร้ค่าแบบนี้”
“คุณชายดูอะไรอยู่หรือ? สุรากับเนื้อม้าแห้งมาแล้ว” เด็กหนุ่มเดินเข้ามาพร้อมกับไหสุราหนึ่งไหและจานเนื้อม้า วางอาหารที่ห่อไว้สำหรับนำกลับไปด้วยลงบนโต๊ะ
ซูไป๋อียิ้ม “สนใจเรื่องของเจ้าเองเถอะ”
“ร้านเล็กๆ ของข้าจะมีอะไรให้สนใจนัก” เด็กหนุ่มไม่ได้ถามต่อเมื่อเห็นว่าซูไป๋อีไม่ต้องการตอบ และหันไปตะโกนเรียกคนที่เดินผ่านไปมา “สองท่านนั้นเป็นแขกใหม่ใช่ไหม? คงเป็นผู้ที่เดินทางผ่านหมู่บ้านดอกท้อนี้ จะไม่ลองแวะดื่มสุราดอกท้อของเราเสียหน่อยหรือ?”
ผู้เดินทางทั้งสอง หนึ่งในนั้นเป็นหลวงจีนวัยกลางคน รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาท่าทางเคร่งขรึม อายุราวสี่สิบปีขึ้นไป มีลูกประคำขนาดใหญ่คล้องอยู่ที่คอ มือถือจอบพระจันทร์ เมื่อได้ยินเสียงเรียกเขาจึงหันมามองเด็กหนุ่มแวบหนึ่ง ทำเอาเด็กหนุ่มถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยความกลัว
ซูไป๋อีรีบเก็บเศษกระดาษที่เหลือเก็บใส่ในเสื้ออย่างรวดเร็ว
ผู้ที่เดินทางมาพร้อมกับหลวงจีนรูปนั้นเป็นชายสวมหน้ากาก รูปร่างผอมบาง สะพายร่มสีเขียวเข้ม ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนอารมณ์ดี เสียงนุ่มนวล “จริงด้วย ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ก็ควรจะดื่มสุราดอกท้อเสียหน่อย ท่านเจี้ยคง คิดว่าอย่างไร?”
“อาตมาไม่ดื่มสุรา” หลวงจีนวัยกลางคนที่ชื่อเจี้ยคงพูดเสียงหนักแน่นพร้อมเดินเข้ามาในศาลา “เอาน้ำชาให้อาตมาก็พอ”
“ไม่ดื่มสุราก็ไม่เป็นไร ขนมดอกท้อของร้านเราก็เป็นหนึ่งในของขึ้นชื่อ” เด็กหนุ่มพูดอย่างกระตือรือร้น
“เอาสุราหนึ่งไห น้ำชาหนึ่งหม้อ ส่วนขนมดอกท้อไม่ต้อง” ชายสวมหน้ากากนั่งลงพร้อมกับหลวงจีนเจี้ยคง เขาก้มลงมองโต๊ะแล้วพบว่ามีข้อความบางอย่างจารึกอยู่
“ในหมู่บ้านดอกท้อ สุราดอกท้อช่วยคลายทุกข์ได้พันประการ” ชายสวมหน้ากากยกนิ้วแตะข้อความนั้นเบาๆ พร้อมเอ่ยอย่างครุ่นคิด
“นั่นเป็นบทกวีที่ท่านเซี่ยคั่นฮวาจารึกประพันธ์ไว้เมื่อหลายปีก่อน” เด็กหนุ่มวางไหสุราดอกท้อลงบนโต๊ะ
“อ้อ? เซี่ยคั่นฮวา” ชายสวมหน้ากากหัวเราะเบาๆ “ดูจากลายมือแล้ว ไม่น่าจะเขียนด้วยพู่กัน แต่มันเหมือนว่า...”
“เหมือนกับว่ามันถูกฝังลงในโต๊ะเลย ใช่ไหมล่ะ!” เด็กหนุ่มเล่าอย่างภาคภูมิใจ “ไม่ใช่ว่าข้าน้อยคุยโวไปนะ วันนั้นข้าเห็นท่านเซี่ยคั่นฮวาเขียนบทกวีนี้ด้วยตาของตัวเอง เขาและนักปราชญ์หลี่จากในเมืองดื่มสุราจนเมา แล้วเซี่ยคั่นฮวาก็ก้มลงใช้มือแตะน้ำสุราในถ้วยแล้วเขียนลงบนโต๊ะ ข้าพยายามเช็ดรอยน้ำสุรานั้นออก แต่ยิ่งเช็ดยิ่งทำให้ลายมือฝังลงในโต๊ะมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดรอยสุราหายไป แต่ลายมือของเซี่ยคั่นฮวากลับติดแน่นอยู่บนโต๊ะนี้จนถึงทุกวันนี้”
“ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ” ชายสวมหน้ากากพูดด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน แต่หลวงจีนเจี้ยคงกลับขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อยๆ
ซูไป๋อีวางเงินลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นสะพายหีบหนังสือก่อนจะเดินออกไปเงียบๆ
‘อย่าให้พวกเขาเห็นข้า อย่าให้พวกเขาเห็นข้า อย่าให้พวกเขาเห็นข้า’ เขาภาวนาในใจซ้ำไปซ้ำมา
“ใช่แล้ว คุณชายซูท่านนี้” เสียงตะโกนดังจากเด็กหนุ่มขัดจังหวะความคิดของเขา “นี่ก็คือลูกศิษย์คนโปรดของท่านเซี่ย!”
ซูไป๋อีที่กำลังก้าวเท้าเดินออกไป ก็หยุดชะงักกลางทางเมื่อได้ยิน
ลมพัดพาเสื้อคลุมสีเทาของชายสวมหน้ากากพลิ้วไหว เขายกมือขึ้นเล็กน้อยเพื่อจัดหน้ากากของตัวเองให้เข้าที่ เสียงของเขาเย็นชาเล็กน้อย “น้องชาย ไยรีบร้อนจะไปนักเล่า?”
ซูไป๋อียิ้มแห้งๆ “พอข้าดูจากพวกท่านแล้ว ข้าคิดว่าคงไม่ได้มาดื่มสุราเป็นแน่ ถ้าไม่ปล้นทรัพย์ ก็คงจะ...ปล้นอะไรสักอย่าง เช่นนั้นแล้วไยข้าจะไม่หนีเล่า”
“อ้อ? แล้วเหตุใดเจ้าคิดว่าเราไม่ได้มาดื่มสุราล่ะ” ชายสวมหน้ากากถามขึ้น
“คนหนึ่งเป็นหลวงจีน ไม่ดื่มสุรา” ซูไป๋อียกนิ้วชี้ไปที่หลวงจีนรูปนั้น จากนั้นจึงชี้มาที่ชายสวมหน้ากาก “ส่วนท่าน จะดื่มสุราเยี่ยงไรในเมื่อท่านยังคงสวมหน้ากาก?”
“ใช่ เราไม่ได้มาเพื่อสุราจริงๆ เรามาเพราะอาจารย์ของเจ้า” ชายสวมหน้ากากยอมรับอย่างตรงไปตรงมา
“ท่านชอบลายมืออาจารย์ข้าอย่างนั้นหรือ? ลายมืออาจารย์ข้าราคาแพงมาก...ในเมืองนั้น ทุกๆ ปีในช่วงตรุษจีน เหล่าผู้มั่งคั่งต่างก็ขอให้ท่านเขียนคู่คติ แต่...” ซูไป๋อีหยุดพูดทันทีและกลืนน้ำลายลงคอ
ทันใดนั้น มีดโค้งเล่มหนึ่งก็ลอยออกจากมือของชายสวมหน้ากากและหยุดหมุนอยู่ห่างจากหน้าผากของซูไป๋อีเพียงหนึ่งฟุต ลมมีดที่หมุนวนเฉียดหน้าผากของเขาทำให้รู้สึกเจ็บแสบเล็กน้อย
“อาจารย์ข้านามว่า เซี่ย..จือเจ๋อ”
“บทกวีบนโต๊ะนี้ก็เป็นลายมือของท่านเอง!”
“อาจารย์ข้าปีนี้ก็สี่สิบกว่าแล้ว ผิวขาว ไม่มีหนวดเครา ชอบร่ำสุรา ชอบเนื้อม้าแห้ง แถมยังขี้เกียจอีกด้วย ส่วนคำคู่คติ ข้าเป็นคนเขียนให้เองทุกปี แต่ไม่เคยแบ่งเงินให้ข้าเลยสักครั้ง!”
“พอแล้ว” ชายสวมหน้ากากสะบัดมือเบาๆ มีดโค้งกลับเข้าไปในแขนเสื้อของเขาทันที จากนั้นเขาก็เบี่ยงตัวหลบให้ซูไป๋อีเดินผ่านไป “ฝากบอกอาจารย์ของเจ้าด้วยว่า ชื่อเซี่ยจือเจ๋อ ช่างเป็นชื่อที่ฟังแล้วไม่ไพเราะนัก และเมื่อมีแขกมา ก็หวังว่าเขาจะออกมาต้อนรับ”
“แขกมา ก็ควรต้อนรับสินะ?” ที่ลานด้านหลังของโรงเรียน ชายวัยกลางคนที่สวมชุดขาวกำลังโยนเนื้อม้าแห้งเข้าปาก ดูจากลักษณะแล้ว น่าจะเป็นเซี่ยคั่นฮวาที่เด็กหนุ่มกล่าวถึงก่อนหน้านี้
“เจ้านั่นช่างพูดจาใหญ่นัก”
ซูไป๋อีก้มตัวลงและพูดเสียงเบา “อาจารย์ ข้ารู้สึกว่ามีคนตามข้าตั้งแต่ออกจากเมืองเย่หลัน ข้าเคยคิดว่าเป็นแม่นางคนนั้น แต่ตอนนี้คิดไปคิดมา น่าจะเป็นคนสองคนนี้ แถมข้ายังรู้สึกว่ามีคนซุ่มอยู่ในที่มืดด้วย แต่ข้าคิดว่าคงเป็นข้าที่คิดมากเกินไป พวกเขามาเพราะต้องการสามหน้ากระดาษที่เหลือใช่หรือไม่?”
“สามหน้ากระดาษนี้พวกเขาย่อมต้องการเป็นแน่ แต่เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาคือข้า สามหน้ากระดาษไม่เพียงพอที่จะดึงดูดพวกเขาได้” เซี่ยคั่นฮวาหัวเราะ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนทั้งสองเป็นใคร?”
“เดาไม่ออก” ซูไป๋อีส่ายหน้า
“สำนักที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า สำนักสวรรค์ซ่างหลิน” เซี่ยคั่นฮวาจิบสุราอีกครั้ง
“หา?” ซูไป๋อีอ้าปากค้าง
“สำนักสวรรค์ตั้งอยู่บนยอดเขาเหวยหลง ภายในสำนักมีสามหอสี่ตำหนัก หลวงจีนที่ชื่อเจี้ยคงนั่นเป็นเจ้าตำหนักอาญา ส่วนชายสวมหน้ากากคือเหวินซี รองเจ้าตำหนักพันกลศาสตรา พวกเขาสืบหาข้อมูลของข้ามานานกว่าสิบปี ในที่สุดก็เจอข้าแล้ว” เซี่ยคั่นฮวาพูดพลางโยนเนื้อม้าแห้งเข้าปากอีกคำ
ซูไป๋อีรีบลุกขึ้นแล้วเปิดตู้หยิบเงินโยนลงในหีบหนังสือ
“จะทำอะไร?” เซี่ยคั่นฮวาถาม
ซูไป๋อีตอบโดยไม่หันกลับมา “หนีสิ!”
“หนีไม่ทันหรอก ในเมื่อพวกเขาโผล่มาที่นั่นได้ หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านคงถูกล้อมโดยสำนักสวรรค์แล้ว” เซี่ยคั่นฮวาพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
ซูไป๋อีเอามือตบกระบี่ที่เอว “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องสู้!”
“ศิษย์ข้า ข้าสอนเจ้ามาสิบกว่าปี หน้าตาของเจ้ายิ่งโตยิ่งดูดีขึ้น มีเค้าความสง่างามเหมือนข้าในสมัยก่อน แต่ทำไมท่วงท่าของเจ้าถึงต่างกันมากเช่นนี้เล่า? มีแต่จะสู้หรือไม่ก็หนี ไม่คิดจะหาวิธีที่สง่างามกว่านี้หน่อยหรือ?” เซี่ยคั่นฮวาถอนหายใจ
ซูไป๋อีรีบกลับมานั่งขัดสมาธิทันที “วิธีอะไรหรือ?”
“รอ” เซี่ยคั่นฮวาดื่มสุราอีกจอก