บทที่ 2 ตื่นขึ้น
ขบวนรถม้าแล่นต่อไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ในระยะไกล ปราสาทสูงใหญ่และมั่นคงปรากฏขึ้นพร้อมธงที่คุ้นตาโบกสะบัดอยู่บนยอดหอคอย ราวกับเป็นเครื่องหมายแห่งความปลอดภัย
เมื่อขบวนเข้าใกล้ ผู้ขี่ม้าคนหนึ่งแยกตัวออกจากทีม มุ่งหน้าไปยังปราสาทที่อยู่เบื้องหน้า ดูเหมือนว่าเขาจะเร่งไปแจ้งให้คนภายในเตรียมการต้อนรับ
ไม่นานนัก กลุ่มทหารรักษาการณ์จากปราสาทซึ่งนำโดยผู้ขี่ม้าคนนั้นก็ปรากฏตัว พวกเขาเดินออกมาจากประตูและตรงมายังขบวนที่เต็มไปด้วยผู้บาดเจ็บ
“ท่านกราลู!”
ชายในชุดเกราะสีดำขี่ม้ามาด้วยท่วงท่าภูมิฐาน ร่างกายสูงใหญ่และแข็งแรง ดวงตาที่ลึกล้ำสะท้อนความเฉียบขาด เสื้อคลุมสีแดงพาดอยู่บนหลังเสริมบารมีให้เขาดูทรงพลังและน่าเกรงขาม
หัวหน้าทีมที่อยู่ใกล้กับอาเดียร์รีบก้าวออกไปต้อนรับด้วยท่าทางนอบน้อม ค้อมตัวลงต่ำก่อนกล่าวคำพูดด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความเคารพ
กราลูมองสำรวจหัวหน้าทีมและขบวนรถที่อยู่ด้านหลังด้วยสายตาเย็นชา เขาเอ่ยขึ้นพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย “มีคนบาดเจ็บมากมาย ดูเหมือนการสู้รบที่แนวหน้าจะรุนแรงมากทีเดียว”
หลังตรวจสอบเพียงครู่ กราลูออกคำสั่งให้ขบวนทั้งหมดเดินทางเข้าไปในปราสาทโดยไม่ชักช้า
ขบวนรถม้ายาวเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ โดยมีเหล่าทหารล้อมรอบเพื่อคุ้มกัน พวกเขาค่อยๆ นำผู้บาดเจ็บเข้าสู่ปราสาทที่มั่นคง
ในระหว่างการเดินทาง อาเดียร์ที่นอนอยู่ในรถม้า รู้สึกตัวเริ่มเลือนลาง ความเจ็บปวดจากบาดแผลและการเสียเลือดมากทำให้เขาแทบไม่อาจทนไหว แม้ว่าจะได้รับการรักษาเบื้องต้น แต่ความอ่อนล้าสะสมกลับทำให้จิตสำนึกของเขาค่อยๆ ดับลง
อย่างไรก็ตาม เมื่อปราสาทค่อยๆ ปรากฏใกล้เข้ามา ความทรงจำเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ในจิตใจของเขาก็เริ่มชัดเจนขึ้น อาเดียร์พยายามฝืนตัวเองลืมตาขึ้น แม้จะยากลำบาก เพื่อสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบตัว
สำหรับคนที่คุ้นเคยกับสถานที่หนึ่ง เมื่อถูกพาเข้าสู่สภาพแวดล้อมใหม่โดยกะทันหัน ย่อมรู้สึกไม่มั่นคง อาเดียร์ก็เช่นกัน แม้ว่าเขาจะเป็นนักเดินทางข้ามเวลา แต่ในตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะรับมือกับสิ่งใดๆ
เขาไม่ใช่นักรบ ด้วยเหตุนี้การเดินทางครั้งนี้จึงเต็มไปด้วยความกังวลและความตึงเครียด ความกลัวที่จะเผชิญอันตรายระหว่างทางเกาะกุมจิตใจของเขา
แต่เมื่อมาถึงปราสาท แม้จะไม่ใช่สถานที่เดิม แต่ความคุ้นเคยที่แฝงอยู่ในความทรงจำ และบรรยากาศปลอดภัยที่รายล้อมรอบตัว กลับช่วยให้เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก
ความตึงเครียดที่สะสมมาอย่างยาวนานค่อยๆ คลายลง ร่างกายที่อ่อนแรงไม่อาจฝืนต่อไปได้ สติสัมปชัญญะของเขาจึงเลือนหาย และทุกอย่างก็ตกอยู่ในความมืดมิดอีกครั้ง...
ไม่อาจรู้ได้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร อาเดียร์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นจากการหลับใหล สติสัมปชัญญะของเขากลับมาพร้อมกับความรู้สึกเจ็บปวดตามร่างกาย
ภาพแรกที่เห็นคือห้องที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ดูอบอุ่น หนังสัตว์นุ่มถูกปูไว้บนพื้นรอบตัว
อาเดียร์นอนเงียบอยู่บนเตียงไม้ เสื้อผ้าที่เคยเปื้อนเลือดถูกเปลี่ยนเป็นชุดคลุมหลวมสีขาว แม้บาดแผลหลายแห่งบนร่างกายจะยังเจ็บแปลบ แต่ทุกอย่างได้รับการดูแลอย่างดี
“อืม...”
เขาพยายามลุกขึ้นจากเตียง แต่การเคลื่อนไหวดึงแผลให้เจ็บจนต้องครางเบาๆ
บาดแผลที่ขาขวาของเขารุนแรงจนไม่อาจยืนได้มั่นคง เขามองไปรอบห้องอย่างรวดเร็ว และสายตาก็สะดุดเข้ากับไม้เท้าพิงอยู่ข้างเตียง
เขาหยิบมันขึ้นมาเพื่อช่วยพยุงตัว ลองก้าวเดินไปสองสามก้าว แม้ว่าร่างกายยังคงรู้สึกเจ็บปวด แต่เขาก็เริ่มปรับตัวได้
สำรวจตัวเอง
ใกล้เตียงมีกระจกเก่าขุ่นเล็กน้อย อาเดียร์เดินเข้าไปสำรวจภาพสะท้อนของตัวเอง
เด็กชายในกระจกมีใบหน้าที่หล่อเหลาเกินวัย แม้จะอายุเพียง 13 ปี แต่เค้าความงามชัดเจนจนสามารถจินตนาการได้ว่าเขาจะเติบโตขึ้นมาเป็นชายหนุ่มรูปงามเพียงใด
เขาสวมชุดคลุมสีขาวสะอาด มีผ้าพันแผลพันรอบมือซ้ายและต้นขา ผมยาวสีดำปรกไหล่ เพิ่มเสน่ห์ลึกลับที่ดูแตกต่าง
แต่สิ่งที่สะดุดตาเขาที่สุดคือ ใบหูเรียวแหลม ซึ่งทำให้เขาต้องหยุดมองด้วยความตกตะลึง
ปัง! ปัง!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างแรงจนเขาต้องหันไปมอง
ไม่นานนัก ประตูถูกเปิดออกโดยไม่มีการรอคำตอบ
“อาเดียร์! เจ้าตื่นแล้วหรือ?”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีแดงก้าวเข้ามาพร้อมเสียงที่แฝงความยินดี เขาดูอายุราว 16-17 ปี มือข้างหนึ่งจับประตูไว้ อีกมือหนึ่งถือชามเงินใบใหญ่ที่ยังมีไอร้อนลอยออกมา
เมื่ออาเดียร์มองชายหนุ่ม เขาต้องใช้เวลาสักครู่ก่อนจะจำได้ว่าเขาคือ เอลวา บุตรชายคนรองของเคานต์โบเรีย และหนึ่งในเพื่อนสนิทเพียงไม่กี่คนที่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำ
“เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?” เอลวาถามขณะมองอาเดียร์ที่ยืนพิงไม้เท้า
“ข้ารู้สึกดีขึ้นแล้ว” อาเดียร์ตอบพร้อมยิ้มเล็กน้อย แม้ว่าความเจ็บปวดจะยังคงอยู่
เมื่อเห็นรอยยิ้มของอาเดียร์ เอลวาก็ถอนหายใจโล่งอก ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ข้าโล่งใจจริงๆ เจ้าช่างโชคดีที่รอดกลับมาจากสนามรบได้ในครั้งนี้”
“เกิดอะไรขึ้น?” อาเดียร์ถามด้วยความสงสัย
เอลวาอธิบายอย่างรวดเร็ว “มีข่าวจากแนวหน้า วิสเคานต์สองท่านที่นำกำลังเสริมถูกซุ่มโจมตีในป่าโดยออร์ค กองทัพทั้งหมดและวิสเคานต์ทั้งสองเสียชีวิตทันที”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “สถานการณ์ที่แนวหน้าเลวร้ายอย่างมาก สงครามไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้น ดูเหมือนว่าจะต้องยืดเยื้อต่อไปอีกนาน”
ขณะพูด เอลวาวางชามเงินลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง
“เอาล่ะ อย่ายืนอยู่ตรงนั้น มาดูสิว่าข้าเอาอะไรดีๆ มาให้เจ้า”
เสียงลึกลับในคำพูดของเอลวาทำให้อาเดียร์ต้องหันไปมองชามเงินบนโต๊ะด้วยความสงสัย...
ในชามเงินใบใหญ่มีซุปสีเงินใสบริสุทธิ์ ไม่มีความขุ่นแม้แต่น้อย ภายในซุป ปลาสีขาวและสีเงินตัวเล็กสามตัวกำลังว่ายวนไปมาอย่างมีชีวิตชีวา ราวกับพวกมันยังมีชีวิตอยู่
กลิ่นหอมของเนื้อที่เข้มข้นอบอวลไปทั่ว ความร้อนจากชามเงินทำให้อาเดียร์สัมผัสได้ถึงไอร้อนที่แผ่ซ่าน คอของเขาขยับเล็กน้อยด้วยความหิวจนเผลอกลืนน้ำลาย
“นี่คือปลาซิลเวอร์ชอร์ มีสรรพคุณช่วยฟื้นฟูร่างกายและรักษาบาดแผลได้ดีมาก ข้าเพิ่งหาเจอโดยบังเอิญและนำมาให้เจ้า”
เอลวาตบไหล่อาเดียร์เบาๆ พร้อมรอยยิ้มภูมิใจเหมือนกำลังอวดสิ่งล้ำค่า
“ขอบคุณ” อาเดียร์ตอบกลับอย่างตรงไปตรงมาตามมารยาทที่เคยจดจำไว้
เอลวาพยักหน้ารับก่อนจะกล่าว “ข้ายังมีงานที่ต้องทำ เจ้าพักผ่อนให้เต็มที่เถอะ”
เมื่อพูดจบ เขาหันหลังออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้อาเดียร์อยู่ตามลำพัง
หลังจากเอลวาจากไป อาเดียร์พยายามเดินไปปิดประตูอย่างยากลำบาก ก่อนจะหันกลับมาที่โต๊ะ
ในชามเงินเบื้องหน้า ปลาสีเงินตัวเล็กทั้งสามยังคงว่ายวนและเล่นอยู่ในน้ำซุปใส ราวกับว่าพวกมันมีชีวิตอยู่จริง
ซุปสีเงินมีกลิ่นเนื้อหอมเข้มข้นที่ไม่อาจต้านทานได้ แต่ตัวซุปกลับใสสะอาดเหมือนน้ำบริสุทธิ์ธรรมดา
ความลึกลับของซุปและปลาพิเศษนี้จุดประกายความอยากรู้อยากเห็นในใจของอาเดียร์ เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงการศึกษาส่วนประกอบของมัน
“น่าเสียดาย... หากยังมีชิปฝังสมองอยู่ ข้าคงสามารถวิเคราะห์และหาคำตอบได้”
เขานั่งลงบนเก้าอี้ ถอนหายใจพลางใช้มือปิดหน้าผาก ก่อนจะจ้องมองชามเงินและปลาสีเงินตัวเล็กด้วยความสงสัย
ด้วยแรงดึงดูดที่ยากจะต้านทาน อาเดียร์ยื่นมือออกไป หยิบชามเงินขึ้นมาแนบปาก ดื่มซุปเงินใสในอึกเดียว
ซุปมีรสชาติหวานละมุน กลิ่นเนื้อที่เข้มข้นช่วยเพิ่มความอร่อยจนเขาหยุดไม่ได้ ปลาสีเงินทั้งสามที่ดูเหมือนรับรู้ถึงชะตากรรม พยายามว่ายหนีในชาม แต่สุดท้ายก็ถูกกลืนเข้าไปพร้อมกับซุป
หลังจากวางชามเงินเปล่าลงบนโต๊ะไม้อย่างเงียบๆ สีหน้าของอาเดียร์ก็เปลี่ยนไปทันที
ความรู้สึกแปลกประหลาดแผ่ซ่านจากภายในร่างกาย จู่ๆ ความร้อนจัดราวกับถูกหลอมละลายในน้ำเดือดก็แล่นผ่านทั่วตัว
ผิวหนังของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ความเจ็บปวดที่ร้อนแรงแผ่กระจายไปยังทุกส่วนในร่าง ร่างกายของเขาเริ่มแสดงอาการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกลับ
เมื่ออาการสงบลง อาเดียร์พบว่าร่างของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ผิวหนังยังคงมีสีแดงจัดและร้อนผ่าว ความรู้สึกไม่คุ้นเคยบางอย่างยังวนเวียนอยู่ภายใน
เขาอดไม่ได้ที่จะสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้น... สารลึกลับกำลังไหลเวียนไปทั่วร่างกายของเขา สร้างความเปลี่ยนแปลงที่เขาไม่อาจอธิบายได้...
“ตรวจพบสารออกฤทธิ์ที่ไม่ระบุชนิดเข้าสู่ร่างกาย คุณต้องการเปิดการตรวจจับของชิปหรือไม่?”
เสียงกลไกดังขึ้นในหัวของอาเดียร์ มันชัดเจนและเยือกเย็นราวกับไม่ได้มาจากมนุษย์
“นี่มัน…” ม่านตาของอาดิลหดตัวลงอย่างรวดเร็ว แววตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ “เกิดอะไรขึ้น? ข้าเดินทางข้ามกาลเวลา ร่างกายดั้งเดิมของข้าถูกทำลายไปแล้ว ทำไมข้ายังได้ยินเสียงของชิป? หรือว่านี่คือเสียงเรียก?”
เขาส่ายหน้าเล็กน้อย พยายามรวบรวมสติ “ไม่สิ มันไม่ถูกต้อง ข้าจำได้ว่าชิปขั้นสูงสุดรุ่นที่สี่เคยถูกกล่าวถึงว่ามันสามารถฝังลงในจิตสำนึกได้โดยตรง เป็นไปได้ไหมว่าการเดินทางข้ามกาลเวลาทำให้ชิปเดินทางมาพร้อมกับจิตวิญญาณของข้า? หรืออาจเป็นเพราะจิตวิญญาณของข้ามีลักษณะพิเศษ ทำให้ชิปที่เชื่อมโยงกับจิตสำนึกของข้าติดตามมาได้?”
เมื่อแน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ภาพลวงตา ความคิดในใจของอาเดียร์เริ่มพลุ่งพล่าน ความเป็นไปได้ต่าง ๆ ก่อร่างขึ้นในสมองของเขา
เขารู้ดีว่าการเดินทางข้ามเวลาในครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของเขา แต่เป็นครั้งที่สองแล้ว
ครั้งแรก อาเดียร์เคยเป็นเพียงคนธรรมดา และหลังจากเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เขาก็พบว่าตัวเองได้เกิดใหม่ในโลกที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง
โลกใหม่นั้นเต็มไปด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย มนุษยชาติบรรลุความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ทั้งการเอาชนะขีดจำกัดของธรรมชาติในอวกาศและการตั้งอาณานิคมบนดวงดาวทีละดวง
ในโลกนั้น เขากลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยา แต่โชคชะตาเล่นตลกอีกครั้ง เขาเสียชีวิตในอุบัติเหตุอีกครั้ง และครั้งนี้ จิตสำนึกของเขากลับมาในร่างใหม่ในโลกแห่งนี้
เสียงกลไกที่ดังก้องในหัวทำให้อาเดียร์หลุดออกจากภวังค์ เขารีบสั่งเสียงในหัวทันที “เปิดการทำงาน!”
“ติ๊ง!”
ทันทีที่คำสั่งหลุดออกมา เสียงกังวานชัดเจนดังขึ้นในจิตใจของเขา จากนั้นโลกที่อยู่ตรงหน้าเริ่มเปลี่ยนแปลงไป
แสงสีเขียวปรากฏขึ้นตรงหน้า โลกทั้งใบดูเหมือนหยุดนิ่ง ทุกสิ่ง—ไม่ว่าจะเป็นภาพหรือเสียง—ถูกแปลงเป็นข้อมูลที่ลอยผ่านสายตาของอาเดียร์อย่างต่อเนื่อง
การประมวลผลนี้ดำเนินอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่เสียงกลไกจะดังขึ้นอีกครั้งในหัวของเขา
“ติ๊ง! ชิปถูกรีสตาร์ท ระบบกำลังเริ่มต้นการตรวจสอบสภาพร่างกาย!”