บทที่ 2 คำกล่าววีรชน
“สำนักศึกษาอย่างนั้นหรือ?” ซูไป๋อีในรถม้าได้ยินเสียงด้านนอก พลางมองไปยังชายชุดครามที่อยู่ตรงหน้า “เหตุใดคนจากสำนักศึกษาถึงมาอยู่ที่นี่…”
สายตาของชายชุดครามเผยความหวาดหวั่นออกมา เขาคว้ามือของซูไป๋อีแน่น พยายามฝืนพูดออกมาสองคำอย่างยากลำบาก “พา...ข้า…”
“พาเจ้าไปแน่ แน่นอนอยู่แล้ว ข้าไม่ได้สัญญาแค่กับอาจารย์เท่านั้น แต่ยังสัญญากับแม่นางผู้นั้นด้วย อาจารย์บอกว่า คำพูดของท่านอาจไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่ห้ามหลอกหญิงสาว โดยเฉพาะหญิงสาวที่งดงาม” ซูไป๋อีเดินเข้ามาพยุงชายชุดครามขึ้นหลังพร้อมพูดว่า “เดี๋ยวข้าจะอาศัยช่วงชุลมุนพาเจ้าหนีไปทางด้านหลัง เกาะข้าให้แน่น”
“ตกลง” ชายชุดครามหอบหายใจแรง
ข้างนอกรถม้า หัวหน้าผู้คุ้มกันที่ถูกเตะล้มลุกขึ้นยืน พวกเขาถอดเสื้อคลุมกันฝนออกและอีกสามคนก็กระโดดลงจากหลังม้า พร้อมเข้ามาล้อมเฟิงจั่วจวินไว้
“เข้ามาพร้อมกันสี่คนเลยรึ? ดี ดีมาก” เฟิงจั่วจวินเห็นการล้อมของพวกเขา แต่กลับไม่มีท่าทีตื่นตระหนก ดูสำราญเสียด้วยซ้ำ!
“อย่าเล่นให้มันมากเกินไปล่ะ” เสียงของสตรีจากในรถม้าดังเตือนขึ้น
“ศิษย์พี่ท่านวางใจเถิด คนจากสี่ตระกูลนับเป็นตัวอะไรได้ ท่านก็ดูเซี่ยอวี่หลิงสิ คนเหล่านี้เทียบไม่ติดแม้แต่น้อย” เฟิงจั่วจวินยกดาบไม้ไผ่ในมือขึ้นแล้วพุ่งเข้าโจมตีผู้คุ้มกันคนหนึ่ง
ในขณะที่การต่อสู้ด้านนอกเริ่มขึ้น ซูไป๋อีในรถม้าก็หัวเราะเบาๆ “ได้เวลาแล้ว” จากนั้นเขาก็เตะไม้กระดานหลังรถม้าให้กระเด็นออก แล้วพาชายชุดครามวิ่งฝ่าฝนออกไป แต่ทันทีที่วิ่งได้แค่สองก้าว เขาก็หยุดชะงักลง
“รู้แต่แรกแล้ว ว่ามีอีกคนอยู่ในรถม้า” เสียงอ่อนหวานแว่วถึงโสตประสาท ซูไป๋อีเงยหน้าขึ้นมองเห็นสตรีนางหนึ่งถือร่มกระดาษน้ำมันยืนอยู่ตรงหน้า ร่มของนางโน้มลงเล็กน้อย บังใบหน้าของนางไว้
“ศิษย์พี่!” เฟิงจั่วจวินร้องเรียก
“เจ้าจัดการของเจ้าไป ที่นี่ข้าจัดการเอง” หญิงสาวตอบเสียงเรียบ นางยกปลายร่มขึ้นเล็กน้อย ทำท่าจะพูด แต่ร่างในชุดขาวของซูไป๋อีก็พุ่งผ่านนางไปเสียก่อน
“เกาะข้าให้แน่น แม่นางผู้นี้ฝีมือร้ายกาจ ข้าสู้ไม่ไหว!” ซูไป๋อีรีบเตือนชายชุดครามที่เกาะอยู่บนหลังเขา
“เจ้าเด็กคนนี้มีวิชาตัวเบาไม่เลว แต่มันยังไม่เร็วพอ” หญิงสาวเอ่ยออกมาเบาๆ ก่อนจะโผล่มาขวางหน้าซูไป๋อีอีกครั้ง
“แย่แล้ว! งั้นข้าต้องเร็วกว่านี้!” ซูไป๋อีร้องขึ้นก่อนจะเพิ่มความเร็ว ย้ายเท้าไปทางซ้ายแล้วพุ่งผ่านหญิงสาวอีกครั้ง
“วิชานี้…” หญิงสาวยกปลายร่มขึ้น เผยให้เห็นดวงตาที่ใสกระจ่างราวกับน้ำ “ควบอาชาอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าบรรลุขั้นแปดของวิชาควบอาชา ข้าไม่เชื่อว่านางจะตามทัน!” ซูไป๋อีพูดด้วยความยินดี
ชายชุดครามที่เกาะอยู่บนหลังของเขาเริ่มหายใจโล่งขึ้น แต่ทันใดนั้นเขาก็เบิกตากว้าง ตะโกนออกมาด้วยความตกใจ “เจ้า! เจ้าเป็นใครกันแน่?”
“นามข้าซูไป๋อี นามเจ้าคือชายชุดคราม พวกเราดูจะมีวาสนาต่อกันดีนะ” ซูไป๋อีพูดพร้อมกับหัวเราะขณะวิ่ง (ไป๋อี=ชุดขาว)
แต่สิ่งที่ชายชุดครามอยากถามไม่ใช่ชื่อของซูไป๋อี เขาร้องด้วยความหวาดกลัว “เจ้า...เจ้ากำลังดูดพลังปราณของข้า!” เขาพยายามดึงมือกลับจากบ่าของซูไป๋อี แต่กลับรู้สึกว่ามือของตนถูกรั้งไว้แน่น ร่างกายไม่สามารถขยับได้แม้แต่น้อย ต้องปล่อยให้พลังปราณไหลออกจากร่างเข้าสู่ซูไป๋อีอย่างต่อเนื่อง
“มิผิด ข้าดูดพลังปราณของเจ้า แต่ข้าก็กำลังช่วยเจ้าเช่นกัน เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าก่อนหน้านี้เจ้ายังพูดแค่สองคำก็แทบไม่ไหว แต่ตอนนี้เจ้ายังด่าข้าได้ไม่หยุดปาก” ซูไป๋อีพูดอย่างอ่อนใจ
“แต่…แต่นี่มันเป็นโอกาสเดียวของข้า” จู่ๆ ชายชุดครามก็น้ำตาไหล “โอกาสเดียวที่จะฟื้นฟูตระกูลของข้า”
“โอกาสของเจ้ายังมีอีกมาก เจ้าหวังเพียงแค่ชื่อเสียงและการเป็นที่ยอมรับในฐานะผู้สืบทอดตระกูลใหญ่ แต่ถ้าเจ้าไม่ต้องการเป็นผู้นำตระกูลและเพียงแค่อยากมีชีวิตที่ดี โอกาสของเจ้าอยู่ข้างหน้านั่นแล้ว” ซูไป๋อีหยุดเดิน มองหญิงสาวที่ยืนอยู่ใต้ชายคา
สายตาของหญิงสาวที่เคยหม่นหมองกลับส่องประกายสดใสขึ้น นางมองทั้งสองคนอย่างตื่นเต้นและตกใจไปพร้อมๆ กัน แต่กลับพูดไม่ออก
“ข้าสัญญากับเจ้าว่าจะพาเขากลับมา” ซูไป๋อีพูดพร้อมกับวางชายชุดครามลงจากหลังอย่างภาคภูมิ
พลังดึงดูดจากตัวซูไป๋อีหายไปในที่สุด แต่พลังปราณทั้งหมดในร่างของชายชุดครามก็เช่นกัน เขาพยายามจะยืนแต่ก็โซเซแทบจะล้มลง หญิงสาวรีบเข้ามาประคองเขาไว้
“เจ้าเป็นอะไรหรือ?” นางถามด้วยความเป็นห่วง
ชายชุดครามพิงนางอย่างเหนื่อยอ่อน มองซูไป๋อีแล้วพูดว่า “มีเพียงผู้ที่ฝึกวรยุทธเดียวกับข้าเท่านั้นที่สามารถดูดพลังปราณของข้าได้ มิเช่นนั้นเจ้าคงลมปราณแตกซ่านไปแล้ว อาหลัน เขาเป็นใครกันแน่!”
ซูไป๋อีไม่รอให้นางตอบ รีบพูดขึ้นก่อนว่า “ข้ามาตามคำสั่งของอาจารย์ เขาแซ่เซี่ย เช่นเดียวกับเจ้า...เซี่ย!”
ชายชุดครามอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง “คนตระกูลเซี่ยจะมาช่วยข้าหรือ? ไม่มีทาง! ทุกคนต่างทิ้งข้าไปหมด เหมือนที่พวกมันทิ้งอาเจ็ดของข้าในตอนนั้น”
“ใช่แล้ว เจ้าก็ยังมีอาเจ็ดอยู่มิใช่รึ?” ซูไป๋อีหันมองไปทางปลายถนน นางผู้นั้นอาจตามมาทันในไม่ช้า
“ทุกคนในยุทธภพต่างรู้ว่าอาเจ็ดของข้าตายไปแล้ว! เจ้าหมายความว่าอย่างไร!” ชายชุดครามตะโกนลั่น เดินเข้าไปหาและพยายามจะคว้าตัวซูไป๋อี แต่ซูไป๋อีเพียงดีดนิ้วเบาๆ ไปที่หน้าผากของชายชุดคราม แล้วกดเสียงต่ำลงราวกับกำลังเลียนเสียงของคนอื่น
“ตั้งแต่ยังเยาว์ ข้าพร่ำสอนเจ้าอยู่เสมอว่า ตำราพิสดารนั้นเมื่อได้มาควรเป็นความปีติส่วนตน กระบี่ดีมิจำเป็นต้องให้ผู้ใดเชยชม เซี่ยชิง เจ้าจะร้อนใจไปไย!”
“เจ้า…” ชายชุดครามผงะถอยหลังไปหลายก้าว ใบหน้าเปลี่ยนสีอย่างมาก แต่สุดท้ายก็พูดได้เพียงคำเดียวก่อนจะล้มลงไป หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าอาหลันรีบวิ่งเข้ามาประคองเขาไว้บนหลัง
“ข้าจะอยู่ที่นี่ เจ้าจงพาเขาออกไปจากเมืองโดยใช้ทางลับจากบ้านหลังนี้โดยเร็ว” ซูไป๋อีพูดด้วยน้ำเสียงรีบร้อน ไม่อยากเสียเวลามากไปกว่านี้
“ขอบพระคุณท่าน!” อาหลันเข้าใจในทันที นางรีบแบกชายชุดครามเข้าไปในบ้าน แต่เมื่อเดินไปได้ไม่กี่ก้าว นางก็หยุดและหยิบหน้าคัมภีร์ที่ห่อด้วยกระดาษหนังวัวออกมาจากอกเสื้อ ก่อนจะโยนมันไปให้ซูไป๋อี
ซูไป๋อีเอื้อมมือรับไว้ ก่อนจะพึมพำเบาๆ ว่า “เมื่อเขารู้เรื่องนี้เข้า เขาอาจโกรธมาก ถึงขั้นฆ่าเจ้าเลยก็ได้”
“ช่างเถอะ” อาหลันยิ้มอย่างขมขื่น ก่อนจะหันไปแบกชายชุดครามเข้าไปในบ้าน
“ช่างเป็นการจากลาที่แสนเศร้านัก” จู่ๆ เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังขึ้นจากบนหลังคา
ซูไป๋อีรีบเก็บหน้าคัมภีร์เข้าอก
“ข้ากับพวกเขาสองคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน การจากลาครั้งนี้ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีทางเศร้าได้”
“มิใช่เจ้า เป็นชายชุดครามต่างหาก เขาต้องบอกลาความทะเยอทะยานในการฟื้นฟูตระกูลเซี่ย ต้องบอกลายุทธภพที่เขาหมายจะครอบครอง เจ้าว่ามันน่าเศร้าหรือไม่” เสียงบนหลังคาเจือความเสียดาย
เหงื่อหรือหยาดฝนไม่รู้ที่หยดจากหน้าผากของซูไป๋อี “แม่นาง เจ้ามาถึงนี่ตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
“ก็มาพร้อมเจ้าตั้งแต่แรกนั่นแหละ” หญิงสาวยังคงถือร่มกระดาษน้ำมัน ยืนอยู่บนหลังคาโดยไม่คิดจะลงมา
“ข้านึกว่าฝีเท้าของข้าเร็วพอจะทิ้งเจ้าไว้ข้างหลังเสียอีก” ซูไป๋อีลอบกลืนน้ำลาย “แม่นางมีฝีมือสูงส่งถึงเพียงนี้ เหตุใดไม่ลงมือขัดขวางพวกเราตั้งแต่แรกเล่า?”
“ก็เหมือนกับเจ้า ข้าถูกสหายแซ่เซี่ยผู้หนึ่งขอให้มาช่วยชายชุดคราม แต่เมื่อเจ้าช่วยเขาแล้ว ข้าก็ไร้เหตุผลต้องลงมือ” น้ำเสียงของนางอ่อนโยน แต่แฝงความแน่วแน่
ซูไป๋อีถอนหายใจเบาๆ แต่ก็ยังไม่วางใจ นางพูดเช่นนี้จริงหรือไม่จึงถามลองใจว่า “ถ้าเช่นนั้น ข้าขอลา?”
“ก่อนเจ้าไป ข้ายังต้องยืนยันอะไรบางอย่าง” หญิงสาวก้าวไปข้างหน้า
“อะไรหรือ?” ซูไป๋อีเอามือแตะด้ามกระบี่ยาวที่เอว สั่นเล็กน้อยด้วยความประหม่า
“ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าตอบหรอก” นางยกมือเปิดร่มกระดาษ แล้วกระโดดลงมาจากหลังคา
“ชักกระบี่!” ซูไป๋อีร้องขึ้นและเตรียมจะชักกระบี่ยาวจากเอว
นี่คือโอกาสเดียว!
แค่หนึ่งกระบวนท่าเท่านั้น!
เวลานี้แหละ!
ซูไป๋อีเงยหน้าขึ้น แต่กลับเห็นเพียงชายเสื้อสีม่วงโบกสะบัดตามลม
มือที่นุ่มนวลคว้าข้อมือของซูไป๋อีไว้เบาๆ ก่อนจะดึงกลับอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเสียง ‘ชวิ้ง’ ที่ดังก้อง
เวลาราวกับหยุดนิ่งในชั่วพริบตา
เมื่อซูไป๋อีได้สติกลับมา หญิงสาวก็ยืนหันหลังให้เขาอยู่ท่ามกลางสายฝน พร้อมกับกระบี่เล่มหนึ่งอยู่ในมือซ้าย
ซูไป๋อีปาดน้ำจากใบหน้า ก่อนจะพึมพำกับตัวเองว่า “แย่แล้ว แย่แล้ว แย่แล้ว ข้าคงไม่ตายที่นี่หรอกกระมัง”
หญิงสาวยกกระบี่ในมือขึ้นสะบัดเบาๆ ทำให้น้ำฝนที่เกาะอยู่บนตัวกระบี่สลัดออกไป จนทำให้อักษรสองตัวที่สลักบนกระบี่ชัดเจนขึ้น
“คำกล่าววีรชน” นางพึมพำเบาๆ
ซูไป๋อีมองฝักกระบี่ที่ว่างเปล่า ก็แทบจะร้องไห้ออกมา ถึงจะรอดกลับไปได้ แต่อาจารย์คงฆ่าเขาแน่ที่ทำกระบี่เล่มนี้หาย
“เราคงได้พบกันอีก” หญิงสาวโยนกระบี่ขึ้นไปในอากาศ กระบี่หมุนหลายตลบก่อนกลับลงในฝักกระบี่ของซูไป๋อีอย่างแม่นยำ จากนั้นนางก็เดินจากไปพร้อมร่มในมือ
“แม่นาง…เจ้าเคยรู้จักอาจารย์ข้าหรือไม่?” ซูไป๋อีรวบรวมความกล้าถาม
“ข้าแซ่หนานกง” หญิงสาวตอบกลับโดยไม่หันมา ก่อนจะจากไปด้วยถ้อยคำที่ชวนให้ตีความ
ซูไป๋อียืนอึ้งอยู่ท่ามกลางสายฝนอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะตะโกนอย่างเดือดดาลว่า “เป็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อีกแล้วเป็นแน่!”
จากนั้นเขาก็หันหลังกลับไปจะหยิบหีบหนังสือ แต่ทันใดนั้นเขาเห็นเงาร่างหนึ่งเคลื่อนไหวผ่านมุมกำแพงไปอย่างรวดเร็ว