บทที่ 10 ฝันร้าย
หลังผ่านไปหนึ่งก้านธูป ที่ลานฝั่งตะวันตกของสำนัก เสียงด่าดังก้องขึ้น
“สวีเจ๋อ เจ้าเป็นบ้าไปแล้วรึ? ดึกดื่นยังหอบคนมาไว้ในห้องข้า ถ้าเป็นสตรีงามๆ ก็พอว่า จะถูกหัวเราะเยาะว่าเจ้าชู้ก็ยังพอรับได้ แถมพ่อข้าคงเอ่ยปากชมเสียด้วยซ้ำ แต่เจ้ากลับหอบผู้ชายมา เจ้านี่อยากให้ข้าถูกพวกเซี่ยอวี่หลิงหัวเราะจนตายหรือไง?” เฟิงจั่วจวินนั่งอยู่บนเตียงในชุดนอน ผมยุ่งเหยิงราวรังนก เขาจ้องสวีเจ๋อด้วยความโกรธ
สวีเจ๋อยังยิ้มอยู่ “หัวหน้า เห็นท่านไม่ชอบเจ้าหนุ่มคนนี้ ข้าก็เลยจับเขามาให้ ข้ามียาพิษร้ายแรงสามสิบหกชนิดจากตระกูลสวี เอาไว้ใช้ซักไซ้คนโดยเฉพาะ คืนนี้เจ้าซูไป๋อีจะต้องยอมสยบต่อพรรคหฤโหดของเราเป็นแน่”
“ว่าไงนะ?” เฟิงจั่วจวินหยิบหมอนขว้างใส่ “วันนี้ข้ายังถูกด่าว่าโง่ ข้าว่าเจ้านั่นแหละที่โง่ บ้าบอที่สุด คิดวิธีตื้นเขินแบบนี้ออกมาได้!”
สวีเจ๋อเกาหัวอย่างเขินอาย “ก็พวกเรา…ทำทุกอย่างที่ชั่วร้ายสารพัดมิใช่รึ”
เฟิงจั่วจวินหาว “วันนี้คำสอนของอาจารย์ทำให้ข้าเข้าใจบางอย่าง หากเราทำสารพัดอย่างที่ชั่วร้ายจริงๆ เราก็จะเป็นแค่คนชั่วโดยแท้ ข้าคิดว่าเราควรจะเพิ่มคำท้ายอีกสี่คำไปด้วย”
“สี่คำใด?” สวีเจ๋อถาม
เฟิงจั่วจวินทำหน้าจริงจัง “ละ-สิ่ง-มิ-ควร”
สวีเจ๋อตกตะลึง ก่อนจะยิ้มพร้อมคารวะ “หัวหน้า ท่านช่างกล่าวได้ดีนัก! ใช่แล้ว ทำทุกสิ่งที่ชั่วร้าย แต่ละสิ่งที่ไม่ควรทำ นี่จะยกระดับพรรคหฤโหดของเราเลยทีเดียว! เดี๋ยวข้าจะพาเขากลับไป”
“เดี๋ยวก่อน” เฟิงจั่วจวินยืนขึ้น จับดาบไม้ไผ่ข้างเตียง มองหน้าซูไป๋อีแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย “เขาดูแปลกๆ”
“โดนพิษอัฐินิทราหอมเข้าไป ถ้าไม่มียาถอนก็ไม่ตื่นในสี่ชั่วยามแน่ ท่านหัวหน้าเชื่อใจข้าได้ พรุ่งนี้เขาจะคิดว่าทุกอย่างเป็นแค่ฝัน” สวีเจ๋อยิ้มพลางเดินไปหาซูไป๋อี
“อย่าเข้าไป!” เฟิงจั่วจวินตะโกน แต่ไม่ทันแล้ว ซูไป๋อีพลันลุกขึ้น ยื่นมือออกไปบีบคอสวีเจ๋อ สายตาของเขาแดงก่ำและมองเลื่อนลอยราวกับสติหลุดไปแล้ว
“ถอยไป!” เฟิงจั่วจวินพุ่งไปข้างหน้า ใช้มือซ้ายคว้าเสื้อสวีเจ๋อแล้วดึงออก พร้อมเตะซูไป๋อีให้ถอยไปติดประตู “สวีเจ๋อ เจ้าทำอะไรเขาอีกนอกจากพิษอัฐินิทราหอม?”
สวีเจ๋อนั่งลงบนพื้นหอบหายใจอย่างหนัก “ก็…แค่อัฐินิทราหอม ข้าสาบาน!”
“แย่แล้ว แบบนี้เหมือนคนโดนพิษแล้วเสียสติ…” เฟิงจั่วจวินพิจารณาดูซูไป๋อีอย่างละเอียด “แต่ก็ไม่เชิง สวีเจ๋อ เจ้าเห็นอะไรแปลกๆ ตอนจับตัวเขามาบ้างไหม?”
สวีเจ๋อตั้งสติแล้วคิดก่อนตอบ “เขาบอกว่าเขาไม่ได้นอนมาหลายปีแล้ว…”
“ไม่ได้หลับมาหลายปี? นั่นคงเป็นศพไปแล้วกระมัง?” เฟิงจั่วจวินไม่ค่อยเชื่อ “อย่ามั่ว”
ทันใดนั้น ซูไป๋อีเงยหน้าขึ้น จ้องตาเฟิงจั่วจวิน แววตาแดงก่ำเปล่งประกายความอาฆาต เฟิงจั่วจวินสะดุ้งถอยหลังโดยไม่รู้ตัว แต่ซูไป๋อีก็พุ่งเข้ามาหาพร้อมยื่นมือไปคว้าคอเขาทันที
เฟิงจั่วจวินยกดาบไม้ไผ่ขึ้นป้อง แต่ซูไป๋อีจับดาบนั้นโยนทิ้งไปง่ายๆ
“แรงมหาศาลนัก!” เฟิงจั่วจวินอุทาน เขาเกิดมาพร้อมพลังมากมาย ตอนอายุหกขวบก็สู้กับผู้ใหญ่ได้ แต่พละกำลังของซูไป๋อีราวกับผู้ใหญ่ที่กำลังเล่นกับเด็ก ซูไป๋อีพุ่งมาหาอีกครั้งก่อนเตะเขาจนลอยไปกลางลาน
เฟิงจั่วจวินนอนอยู่กลางลาน รู้สึกว่ากระดูกแทบจะแหลกสลาย มองขึ้นไปเห็นพระจันทร์ดวงกลมโตบนฟ้าแล้วพึมพำเบาๆ “จันทร์คืนนี้ช่างดวงโตนัก”
“และ…หมัดก็ใหญ่เช่นกัน” ร่างของเขาสะดุ้งขึ้นอย่างแรง รีบพลิกตัวถอยหลังออกไปสามจั้ง
เพราะยามนี้ ซูไป๋อีกระโดดลงมาจากฟ้า ทุบหมัดลงตรงจุดที่เฟิงจั่วจวินนอนอยู่จนพื้นเป็นหลุม
“ถึงจะไม่รู้ว่าเจ้าโดนอะไรกันแน่ แต่เจ้าก็แข็งแกร่งมาก อย่างน้อยเจ้าก็เป็นคนรุ่นเดียวกันที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็น” เฟิงจั่วจวินที่กำดาบไม้ไผ่ไว้แน่น เริ่มสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น
“อยู่ดีๆ ข้าก็รู้สึกมีไฟขึ้นมา หากล้มเจ้าได้ นั่นแหละถึงจะเป็นการยืนยันว่าข้าเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นของสำนักนี้ มันน่าสนุกกว่าชนะเซี่ยอวี่หลิงเสียอีก!”
“พายุใหญ่โหมพัด ทะยานไกลสามหมื่นลี้! รับดาบข้า!” เฟิงจั่วจวินตะโกนลั่น ฟาดดาบไม้ไผ่ลงอย่างแรง ปราณดาบพุ่งราวกับสายน้ำเชี่ยวตรงไปยังซูไป๋อี
‘แม้จะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่เจ้าไร้ซึ่งอาวุธ ทั้งคิดจะรับเพลงดาบมหาวาโยของข้า นับว่าเพ้อฝันเกินไปแล้ว!’
ซูไป๋อีค่อยๆ ลุกขึ้นโดยไม่แม้แต่จะเหลียวมองกลับไป เขาเพียงแค่สะบัดชายแขนเสื้ออย่างเบาๆ ก็สามารถสลายปราณดาบนั้นได้ เขาหันกลับมายิ้มให้เฟิงจั่วจวินอย่างเย้ยหยัน
“ผะ…ผี ผีแน่ๆ! เร็วเข้า…เรียกอาจารย์มา!” เฟิงจั่วจวินตะโกนลั่น “สู้…สู้ไม่ไหวแล้ว”
ยังพูดไม่ทันจบ ซูไป๋อีก็โผล่มาอยู่ตรงหน้าเขาและชกเข้าเต็มท้อง จนร่างของเฟิงจั่วจวินปลิวไป
‘บัดซบ! ถ้าตกกระแทกแบบนี้ กระดูกข้าคงได้หักแน่’ เฟิงจั่วจวินที่ลอยอยู่กลางอากาศหลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง ทันใดนั้นเขากลับรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ลอยมาสัมผัสใบหน้า เขาลืมตาขึ้นและยื่นมือออกไปคว้ามันไว้
“กลีบดอกท้อ?”
มือคู่นั้นรองรับร่างของเฟิงจั่วจวินไว้อย่างมั่นคง คนที่เข้ามาช่วยหมุนตัวเบาๆ เพื่อสลายแรงจากหมัดของซูไป๋อี จนพวกเขาลงมายืนบนพื้นอย่างปลอดภัย
“นี่หรือสิ่งที่เจ้าบอกว่ารู้สึกมีไฟ?” ผู้ช่วยเหลือเย้ยหยันเบาๆ
เมื่อได้ยินเสียงของผู้ช่วยเหลือ เฟิงจั่วจวินรู้สึกขนลุกตั้งแต่หัวจรดเท้า เขารู้ตัวว่าเวลานี้เขาถูกประคองไว้โดยอีกฝ่าย จึงพูดด้วยเสียงเบาๆ และเคืองแค้น “ท่ารับนี้…ช่างน่าขยะแขยงยิ่งนัก”
“กล่าวได้ถูกนัก” ชายคนนั้นตอบรับพลางปล่อยมือและถอยไปหนึ่งก้าว ปล่อยให้เฟิงจั่วจวินร่วงลงกับพื้น
“โอ๊ย! กระดูกข้าแตกแล้ว…น่าจะหักแล้วจริงๆ…” เฟิงจั่วจวินร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวด
“เจ้ามีสารรูปเช่นนี้ ยังคิดจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นของสำนักอีกหรือ?” ชายคนนั้นส่ายหัวถอนใจ “โดนแค่ไม่กี่กระบวนท่าก็ร้องหาอาจารย์เสียแล้ว ไม่น่าอายไปหน่อยหรือ?”
เฟิงจั่วจวินแค่นเสียงเยาะ “เจ้าลองสู้ดูก็จะรู้เอง หากเจ้าชนะเขาได้ ข้าจะเรียกเจ้าว่าพี่ใหญ่ตั้งแต่นี้ไปเลย”
“ตกลง” ชายคนนั้นกางพัดออกช้าๆ บนพัดเขียนไว้ว่า ต่ำละเมิดสูง
เป็นเซี่ยอวี่หลิง