บทที่ 372: รังแกคนอ่อนแอ กลัวคนแข็งแกร่ง? ฟรีเซอร์สติแตก
【แปลโดยฝีมือ...ยักษาแปร...มาติดตามได้ที่แฟนเพจหรือเพื่อติดตามเอาข่าวสารได้นะ】
【แค่ คอมเมนต์ ก็เหมือนการให้กำลังใจแล้วนะครับ รบกวน comment กันหน่อยน๊า ;-;】
【Thai-novelจะทำการลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ เป็นจำนวน 5 ตอน แต่เรื่องราคาแพงกว่าที่อื่นนิดหน่อย】
บทที่ 372: รังแกคนอ่อนแอ กลัวคนแข็งแกร่ง? ฟรีเซอร์สติแตก
ณ โลกศักดิ์สิทธิ์ของไค สายลมโชยเอื่อย อบอวลไปด้วยบรรยากาศอันสงบสุข
หลินเฉินและคนอื่น ๆ นั่งล้อมวงบนโต๊ะเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้อย่างเรียบร้อย ลิ้มรสอาหารเลิศรสหลากหลายชนิด ทั้งไอศกรีมเย็นฉ่ำและป๊อปคอร์นกรุบกรอบ ราวกับกำลังเพลิดเพลินกับงานปิกนิกกลางแจ้ง
ทว่าในระยะไม่ไกลจากวงสังสรรค์นั้น กลับมีบรรยากาศที่ตัดกันอย่างสิ้นเชิง
หลินลั่วและทาโร่ยืนนิ่งอยู่ห่างจากฟรีเซอร์หลายสิบเมตร ต่างจ้องมองกันและกันโดยไม่ละสายตา แฝงไปด้วยความตึงเครียด
ฟรีเซอร์ถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “หลินเฉิน แน่ใจนะว่าจะไม่เปลี่ยนคำพูด”
หลินเฉินตอบกลับอย่างหนักแน่น “แน่นอน”
ฟรีเซอร์ถามต่อด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “แล้วถ้าฉันทำร้ายลูกชายของคุณล่ะ?”
“ไม่สำคัญหรอก แม้นายจะฆ่าพวกเขา” ระหว่างที่ปัดป้องหมัดของฮานาเซียและไทต์ที่อยู่ข้าง ๆ หลินเฉินกล่าวต่อ “ฉันก็ใช้ดราก้อนบอลชุบชีวิตพวกเขาได้”
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็เบาใจ” ฟรีเซอร์กล่าวพร้อมรอยยิ้มชั่วร้ายผุดขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะหันไปหาหลินลั่วและทาโร่ “ทั้งสองคน อย่าโทษฉันนะ โทษพ่อของพวกนายเถอะที่เลือกฉันเป็นคู่ต่อสู้!”
“โฮะ โฮะ โฮะ”
หลินลั่วและทาโร่มองตากันอย่างรู้ใจ แววตาเป็นประกายขบขัน หากไม่เกรงว่าฟรีเซอร์จะจับพิรุธได้ พวกเขาคงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเป็นแน่
“พี่ใหญ่ เราควรทำอย่างไรดี ควรฟิวชั่นก่อนหรือสู้ทีละคน?” ทาโร่ถาม
หลินลั่วไม่รอช้า ตอบกลับทันควัน “ฟิวชั่นกันเลย! พ่อบอกว่าต้องสั่งสอนฟรีเซอร์ให้หลาบจำ ให้มันรู้ว่ายุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว!”
“ได้เลย!”
ว่าแล้วร่างของทั้งสองก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบต่างหูคู่หนึ่งออกมาสวมใส่
ต่างหูโปตาร่า
หลินเฉินมอบสิ่งล้ำค่านี้ให้กับลูกชายทั้งสองตั้งแต่ก่อนที่ฟรีเซอร์จะตัดสินใจเลือกเส้นทางของตนเองเสียอีก
เมื่อเห็นการกระทำของเด็กหนุ่มทั้งสอง ฟรีเซอร์ก็อดประหลาดใจไม่ได้ เด็กสองคนนี้กำลังสวมต่างหูอะไรกันก่อนการต่อสู้จะเริ่ม? เขาคิดอย่างฉงน
แต่ไม่นานนัก ฟรีเซอร์ก็เห็นหลินลั่วและทาโร่ถูกแรงที่มองไม่เห็นดึงดูดเข้าหากัน ร่างปะทะกันกลางอากาศ
แสงสีขาววาบขึ้น หลินโร่ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าทุกคน
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มทั้งสองหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ฟรีเซอร์ก็ได้แต่ฉงนงุนงง
หลินโร่ปล่อยเสียงหัวเราะก้องกังวาน แล้วแนะนำตนเอง “ฮ่า ๆ ! ฟรีเซอร์ นี่คือร่างฟิวชั่นของหลินลั่วและทาโร่! นักรบผู้เกรียงไกร หลินโร่!”
อย่างไรก็ตาม ฟรีเซอร์กลับไม่สนใจเขา หันไปมองหลินเฉินด้วยความสงสัย “หลินเฉิน เกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่ต้องกังวล นี่เป็นวิชาฟิวชั่นที่พวกเขาเพิ่งเรียนรู้ ฟรีเซอร์ แม้จะจัดการพวกเขาได้ ก็ยังถือว่านายได้รับชัยชนะอยู่ดี” หลินเฉินอธิบาย
ฟรีเซอร์เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง คิ้วขมวดเข้าหากัน ก่อนหันไปเผชิญหน้ากับหลินโร่อีกครั้ง
“แค่ร่างฟิวชั่นของเด็กน้อยสองคน ไหนดูซิว่ามันจะมีอะไรพิเศษ”
ใบหน้าของหลินโร่แดงก่ำด้วยความโกรธจัด ทันทีที่รู้สึกว่าถูกหยามและดูหมิ่น เขาจึงระดมพลังทั้งหมดแล้วคำรามลั่น
“แกกล้าดูถูกฉัน ฟรีเซอร์! แกจะต้องเสียใจ! ฮ่า ๆ !”
เปลวเพลิงสีฟ้าขาวพลุ่งพล่านออกมาจากหลินโร่ พร้อมกับออร่าอันลึกลับ
“หืม? หลินเฉิน นี่มันร่างอะไรกัน? ดูเหมือนร่างแปลงร่างของเบจิต้าเมื่อครู่นี้เลยนะ” ฮานาเซียจ้องมองการเปลี่ยนแปลงของหลินโร่ด้วยความสงสัย
ในยามนี้ หลินโร่ได้แปลงร่างเป็นร่างที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน
ทั่วทั้งร่างของเขาเปล่งประกายสีฟ้าขาวราวกับดวงดาว ผมสีทองเดิมแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าราวกับผืนน้ำในทะเลสาบลึก
“นี่คือเทพเจ้าชาวไซย่าในร่างซูเปอร์ไซย่า หรือที่รู้จักกันในนามซูเปอร์ไซย่าร่างฟ้า” หลินเฉินอธิบาย “พลังนี้มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับซูเปอร์ไซย่าร่างเงินของฉัน พวกเด็ก ๆ ได้พัฒนาวิชาใหม่นี้ขึ้นมาในระหว่างการฝึกฝนบนดาวเคราะห์ของเทพเจ้าแห่งการทำลายล้างน่ะ”
แท้จริงแล้ว ด้วยพลังของหลินลั่วและทาโร่ พวกเขายังไม่อาจควบคุมพลังแปลงร่างของเทพเจ้าซูเปอร์ไซย่าได้อย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม เมื่อทั้งสองฟิวชั่นกันเป็นหลินโร่ พรสวรรค์ในการต่อสู้ของร่างฟิวชั่นนี้กลับกลายเป็นพลังที่ผสานรวมจากทั้งคู่
หลินโร่จึงบรรลุถึงขีดความสามารถที่หลินลั่วและทาโร่ไม่อาจเอื้อมถึงแม้จะร่วมมือกัน – เขาสัมผัสได้ถึงขอบเขตพลังของซูเปอร์ไซย่าในชั่วพริบตา และก้าวข้ามขีดจำกัดนั้นไปอีกขั้นด้วยการควบคุม “ซูเปอร์ไซย่าร่างฟ้า” ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ในขณะนั้น ฟรีเซอร์ถึงกับตะลึงลาน
แม้ไม่อาจสัมผัส “ออร่า” ของหลินโร่ได้โดยตรง แต่เขากลับรู้สึกถึงพลังงานลึกลับบางอย่างที่แผ่ออกมา ราวกับคลื่นพลังที่มองไม่เห็น ความรู้สึกนี้คล้ายคลึงกับพลังอำนาจของเทพเจ้าแห่งการทำลายล้างบิลส์อย่างน่าประหลาดใจ
ทันใดนั้น ฟรีเซอร์ก็รู้สึกเหมือนถูกหลินเฉินหลอกลวง เด็กสองคนนี้มีฝีมือเหนือความคาดหมายของเขามากนัก
“เฮ้! ฟรีเซอร์! รีบแปลงร่างได้แล้ว! ถ้ายังไม่แปลง พวกเราจะเล่นงานแก!” หลินโร่ตวาดลั่น พร้อมกระทืบเท้าจนพื้นโลกศักดิ์สิทธิ์ของไคที่ไม่มีวันผุพังเกิดหลุมลึกลงไป
กล่าวจบ หลินโร่ก็พุ่งเข้าใส่ฟรีเซอร์ รวดเร็วดั่งลูกธนูที่พุ่งทะยานออกจากแล่ง
ฟรีเซอร์ไม่รอช้า รีบแปลงร่างเป็นสีทองอร่ามในฉับพลัน ทันใดนั้น หมัดของทั้งสองก็ปะทะกันกลางอากาศ เสียงระเบิดดังสนั่นก้องสะท้าน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นกระแทกมหาศาลแผ่กระจายออกไปทุกทิศทาง
วิสผุดลุกขึ้นยืน โบกคทาปล่อยลำแสงสีฟ้าสว่างวาบออกมาสลายคลื่นกระแทกที่พุ่งตรงเข้ามา
ทว่า พื้นที่โดยรอบกลับไม่ได้โชคดีเช่นนั้น
ภายในรัศมีหลายสิบกิโลเมตร พืชพันธุ์เขียวขจีล้วนแหลกสลายหายไปในพริบตาภายใต้คลื่นกระแทกอันบ้าคลั่ง
ฟรีเซอร์และหลินโร่ ต้นเหตุแห่งความวุ่นวายทั้งหมดนี้ จ้องมองกันด้วยแววตาอาฆาต ก่อนจะพุ่งเข้าปะทะกันด้วยความเร็วสูงราวกับสายฟ้าแลบ
“ปัง!” “ปัง!” “ปัง!”
“ตู้ม!!”
เมื่อสองผู้ที่บรรลุ “ขอบเขตพลังพระเจ้า” ปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา พวกเขาสามารถทำลายสรรพสิ่งได้อย่างง่ายดายราวกับปัดฝุ่นผง
ในขณะนี้ ทั้งฟรีเซอร์และหลินโร่ได้ก้าวสู่ขอบเขตพลังอำนาจนั้นแล้ว และการต่อสู้ของทั้งสองยังส่งผลกระทบต่อ “โลกศักดิ์สิทธิ์ของไค” อย่างรุนแรง สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งพิภพ
โชคดีที่การต่อสู้อันดุเดือดนี้เกิดขึ้นใน “โลกศักดิ์สิทธิ์ของไค” มิฉะนั้นทั้งกาแล็กซีอาจถูกทำลายล้างจนสิ้นสลายไปแล้ว
“ทรงพลังเหลือเกิน! พลังระดับนี้… ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลินเฉินเลือกสถานที่แห่งนี้เป็นสมรภูมิ” ไคโอชินอุทาน ดวงตากลมโตเบิกโพลงด้วยความตื่นตะลึง โลกใบนี้ช่างเปลี่ยนแปลงไปมากเหลือเกิน
หลินเฉินและบิลส์ก็คงไม่มีใครทัดเทียมได้แล้วล่ะ แต่นี่แม้แต่การฟิวชั่นของบุตรชายทั้งสองของหลินเฉินยังสามารถก้าวข้ามขีดจำกัด สู่ขอบเขตพลังแห่งพระเจ้าได้ น่าอัศจรรย์ใจยิ่งกว่าคือฟรีเซอร์ที่บรรลุถึงขอบเขตพลังแห่งพระเจ้าได้ด้วยพลังของตนเอง
“ท่านบรรพบุรุษ ผมรู้สึกว่าผมน่าจะเกษียณตัวเองได้แล้วนะครับ”
เพี๊ยะ!
ผู้เฒ่าไคฟาดมือลงบนศีรษะของเขาอย่างแรง “เจ้าโง่นี่ เพิ่งจะทำงานได้ไม่เท่าไหร่ คิดจะวางมือแล้วหรือ? ตั้งใจทำงานไปเถอะ!”
“บัดซบ!” สีหน้าของฟรีเซอร์บึ้งตึงขึ้นทุกขณะ
เขาเคี่ยวกรำฝึกตนในแดนบาปนรกนับสิบปี ฝึกฝนบ่มพลัง ต่อด้วยการฝึกฝนในโลกคนเป็นอีกหนึ่งปีเต็ม เพื่อทะลวงขีดจำกัดให้ได้พลังที่เหนือล้ำ แต่กลับยังไม่อาจเอาชนะพลังฟิวชั่นของเด็กสองคนได้?
“บ้าเอ๊ย!” ฟรีเซอร์คำรามลั่น เปลวเพลิงสีทองอร่ามพลุ่งพล่านออกจากกาย ราวกับมังกรเพลิงกำลังคำรามกึกก้อง
ชั่วพริบตา หมัดของฟรีเซอร์ก็ฟาดฟันออกไปทางหลินลั่ว หมัดนั้นแปรเปลี่ยนเป็นแสงสีทองรูปจันทร์เสี้ยว พุ่งตรงไปยังเป้าหมายด้วยความเร็วเหนือมนุษย์
ทว่าในเสี้ยววินาทีนั้น หลินลั่วคว้าหมัดของฟรีเซอร์ไว้ได้อย่างง่ายดาย แล้วเหวี่ยงร่างของฟรีเซอร์ขึ้นด้วยท่วงท่าที่พลิ้วไหวราวกับสายน้ำเชี่ยวกราก
หลินลั่วจับร่างของฟรีเซอร์ไว้แน่น ก่อนจะกระแทกลงพื้นอย่างรุนแรงราวกับเทพพิโรธ
ตูม!
จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวาล บัดนี้กลับอยู่ในสภาพปอน ๆ ถูกฝังลงใต้ดินลึกราวกับการปลูกต้นไม้ใหญ่
“จบแล้วสินะ” หลินเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:ยักษาแปร ผู้แปลลงแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับผม หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิกกระซิก ;-;_