ตอนที่ 19 ดูสิ ฝ่าบาททำบาปอะไรไว้!
ตอนที่ 19 ดูสิ ฝ่าบาททำบาปอะไรไว้!
เครื่องบินค่อย ๆ ร่อนลงสู่พระราชวังอย่างนุ่มนวล เอริคอุ้มเอ็นจาด้าก้าตัวน้อยไว้ในมือซ้าย และถือร่างของคลอว์ไว้ในมือขวา เดินตามหญิงหัวโล้นออกจากเครื่องบิน
แต่เมื่อทันทีที่ก้าวลงจากเครื่องบิน เอริคกลับมองหาผู้หญิงหัวโล้นคนนั้นไม่เจออีกต่อไป
ตอนนี้ตรงหน้าของเขามีหญิงหัวโล้นที่แบ่งออกเป็นสองแถววิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว ทุกคนมีศีรษะโล้นเหมือนกัน ชุดรบสีแดงเหมือนกัน หอกไวเบรเนียมเหมือนกัน และดวงตาเรียวแหลมเหมือนกัน . . .
ใช่แล้ว พวกเธอคือองครักษ์หลวงแห่งวากันด้า!
ดังนั้นเมื่อผู้หญิงหัวโล้นที่พาเขามายืนรวมอยู่ในแถว เอริคก็แยกไม่ออกอีกต่อไปว่าใครเป็นใคร
“พวกนี้โคลนนิ่งกันมาหรือเปล่าเนี้ย?” เอริคพึมพำเบา ๆ พร้อมหันซ้ายหันขวามองไปมา ทำให้ผู้หญิงหัวโล้นในกลุ่มหลายมองเอริคด้วยสายตาไม่พอใจ
“ยินดีต้อนรับแขกจากแดนไกล!”
ทันใดนั้นเสียงทุ้มก็ดังขึ้น กษัตริย์ทีชาก้าเดินมาอย่างสง่างามพร้อมพระราชินีที่คล้องแขนอยู่ โดยที่หน้าท้องของราชินีในตอนนี้มีครรภ์ที่นูนเด่นออกมา พร้อมกับใบหน้าที่เปล่งประกายไปด้วยความสุขแห่งความเป็นแม่ ซึ่งในครรภ์ของราชินีนั้นคงจะเป็น ชูรี น้องสาวของแบล็กแพนเทอร์ในอนาคต เด็กสาวผู้เป็นอัจฉริยะที่มีสติปัญญาไม่ด้อยไปกว่าโทนี่ สตาร์ค
ส่วนด้านข้างกษัตริย์ทีชาก้าและราชินีนั้นมีเด็กสองคนยืนอยู่ เด็กชายด้านซ้ายคือแบล็กแพนเธอร์ตัวน้อยที่เอริคเคยพบเมื่อครั้งแรกที่เขาเดินทางข้ามจักรวาล ส่วนเด็กหญิงทางด้านขวาอีกคนก็ดูคุ้นตาเป็นพิเศษ ทำให้เอริคแอบสังเกตเธออย่างใกล้ชิด
“อะแฮ่ม!” ราชินีขมวดคิ้วพร้อมกับไอเบา ๆ ด้วยความไม่พอใจกับมารยาทของเอริค
“โอ้ ขอโทษครับ พอดีผมคิดอะไรเพลินไปหน่อย” เอริครีบดึงสายตากลับมา ก่อนจะโยนคลอว์ลงบนพื้นตรงหน้าของเขา “ฝ่าบาท ผมคือไวเคานต์เอริค แลนเซอร์ ผมได้นำตัวนักโทษแห่งวาคานด้า ซึ่งถูกจับกุมตัวโดยบังเอิญในสหรัฐอเมริกามาถวายแก่ฝ่าบาท”
“ยูลิซิส คลอว์ ได้ขโมยเสบียงทางการทหารสำคัญจากวาคานด้า สังหารประชาชน และก่อความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อบ้านเมือง ขอบคุณอย่างยิ่งที่ท่านได้เดินทางไกลเพื่อนำตัวเขามามอบให้เรา!” กษัตริย์ทีชาก้าประสานมือก้มศีรษะแสดงความเคารพต่อเอริค ทำให้ราชินีและเด็กทั้งสองที่เห็นเช่นนั้นก็รีบทำตามทันที
“ไม่เป็นไรครับ ถือเป็นเกียรติที่ผมได้ช่วยเหลือวาคานด้า ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงเล็กน้อยก็ตาม!” เอริคโค้งตอบอย่างสุภาพ
“ไวเคานต์เอริค แลนเซอร์ งานเลี้ยงได้เตรียมไว้พร้อมแล้ว เชิญท่านมาร่วมโต๊ะกับข้า!” กษัตริย์ทีชาก้าพาเอริคเข้าสู่พระราชวัง โดยระหว่างทางเอริคได้กล่าวชมพระราชวังไม่หยุดปาก ทั้งความงดงาม ประวัติศาสตร์อันยาวนาน และเทคโนโลยีล้ำสมัย ทำให้กษัตริย์และราชินีต่างภาคภูมิใจในตัวเองมากยิ่งขึ้น
เมื่อทุกคนนั่งร่วมโต๊ะ เอริคก็ได้พบกับผู้นำเผ่าอื่น ๆ ในวาคานด้ามากมาย โดยแต่ละคนนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตัวเองมาก
คนแรกเป็นผู้นำเผ่าพ่อค้าเธอเป็นหญิงวัยสามสิบปลาย ๆ มีดวงตาเรียวแหลม สวมตุ้มหูขนาดใหญ่ และโพกศีรษะด้วยผ้าหลากสี คนที่สองเป็นผู้นำเผ่าเขตชายแดนเป็นชายชรา มีไม้เท้าประจำตัวและใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยสักหนาแน่นจนแทบมองไม่เห็นผิวเดิม คนที่สามเป็นผู้นำเผ่าเหมืองแร่เธอเป็นหญิงชราร่างอวบ มีผมเปียเล็ก ๆ หลายเส้นพร้อมของตกแต่งปลายผม
และคนสุดท้ายคนที่แปลกที่สุดก็คือผู้นำเผ่าแม่น้ำ เขาเป็นชายร่างผอมที่มีจานสีฟ้าขนาดใหญ่สอดอยู่ในริมฝีปากล่างและติ่งหู โดยทุกครั้งที่เขาอ้าปากมันจะมีน้ำลายจะไหลออกมา ทำให้เอริคเพียงแค่มองก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว
กษัตริย์ทีชาก้าเริ่มแนะนำผู้นำเผ่าต่าง ๆ แก่เอริค แต่ในขณะที่เขาทำทีว่ารับฟังอย่างสุภาพอยู่นั้น ในใจของเขากลับล่องลอยไปไกล เพราะชื่อพวกนี้ไม่ได้สำคัญอะไรกับเขาเลย
“นี่คือโอโรโร่ มันโร คู่หมั้นของลูกชายข้า และว่าที่ราชินีแห่งวาคานด้าในอนาคต!” เมื่อแนะนำถึงเด็กหญิงตัวน้อย เอริคจึงหันกลับมาสนใจอีกครั้ง
‘อ้อ ที่แท้ก็สตอร์มนี่เอง! มิน่าถึงคุ้นหน้า ฮ่า ๆ นี่มันเวอร์ชั่นโลลิของสตอร์มนี่เอง! ใบหน้าอ้วนกลมน่าหยิกมาก ไม่รู้ว่าโตไปแล้วจะดูสง่าผ่าเผยแบบราชินีได้ยังไง . . . ไม่ได้การ ต้องหาทางถ่ายรูปเก็บไว้ทำมีมสักหน่อย’
โอโรโร่ มันโร หรือสตอร์ม ไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์ที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ ตระกูลมันโรของเธอเป็นตระกูลแม่มดแห่งเคนยาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี พวกเขาสืบทอดพลังเวทมนตร์และยีน X มาโดยตลอด ดังนั้นทุกคนในตระกูลจึงมีพลังในการควบคุมสภาพอากาศ โดยมีความแตกต่างกันเพียงระดับของความสามารถ
เมื่อถึงรุ่นของสตอร์ม พลังเวทมนตร์และพลังกลายพันธุ์ในสายเลือดของเธอก็ผสานกันอย่างลงตัว ทำให้เธอประสบความสำเร็จในระดับที่คนอื่น ๆ ไม่เคยไปถึงมาก่อน และในช่วงที่พลังของเธอพัฒนาเต็มที่ เธอสามารถควบคุมพายุสุริยะและทำลายโลกได้ด้วยการโบกมือเพียงครั้งเดียว
ส่วนการหมั้นในวัยเพียงสิบปี เอริคไม่คิดจะใส่ใจมันมากนัก เพราะในแอฟริกาการที่เด็กมีลูกในวัยรุ่นนั้นถือเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นพิธีวิวาห์จึงมักจะตามมาภายหลังเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ซึ่งถือเป็นวิถีของวัฒนธรรมในพื้นที่นี้
“คุณเอริค!” กษัตริย์ทีชาก้าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม เรียกสติของเอริคกลับมาจากความคิดที่ล่องลอยไปไกลของตัวเอง “ข้าสงสัยมานานแล้วท่านรู้เรื่องของวากันด้าได้อย่างไร? แล้วท่านตามหายูลิซิส คลอว์ กับหลานชายของข้า เอ็นจาด้าก้า เจอได้อย่างไร?”
สายตาของกษัตริย์ทีชาก้าเหลือบมองเอ็นจาด้าก้าตัวน้อยในมือเอริคด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน ถึงแม้เขาจะเป็นคนลงมือสังหารพ่อของเด็กคนนี้ด้วยตัวเอง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเอ็นจาด้าก้าตัวน้อยนี้คือหลานแท้ ๆ ของเขาเอง ดังนั้นความขัดแย้งในใจจึงทำให้เขาไม่อยากสร้างบาดแผลให้ลูกหลานอีกต่อไป ทว่าดวงตาของเอ็นจาด้าก้าตัวน้อยที่จ้องกลับมานั้นกับบอกชัดเจนว่าเด็กน้อยรู้อยู่เต็มอกว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขานั้นคือศัตรูที่สังหารบิดาของเขา
“ฝ่าบาท ผมขอชี้แจงก่อนเลยว่าผมเป็นคนดี!” เอริคยิ้มอบอุ่นและลุกขึ้นยืน “ผมได้พบกับเอ็นจาด้าก้าโดยบังเอิญ วันนั้นเป็นค่ำคืนที่หนาวเหน็บ หลังจากผมไปทำงานอาสาสมัครที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเสร็จ ผมก็ปั่นจักรยานกลับบ้าน แต่ระหว่างทางกลับบ้านนั้นผมก็สังเกตเห็นเงาร่างเล็ก ๆ ขดตัวอยู่ตรงมุมถนน”
น้ำเสียงของเอริคเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย สายตาของทุกคนจับจ้องมาที่เขา เด็กหญิงสตอร์มตัวน้อยกับคู่หมั้นแบล็กแพนเธอร์ตัวน้อยต่างก็มองเขาด้วยความสนใจเต็มเปี่ยม เหมือนกำลังฟังนิทานเรื่องสำคัญอยู่
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เอริคก็กำลังเล่านิทานอยู่จริง ๆ นั่นแหละ . . . นิทานที่เขาแต่งสดอย่างไหลลื่นจนตัวเองเกือบจะเชื่อมันแล้วเหมือนกัน
“เขาตัวเล็กและอ่อนแอมาก เสื้อผ้าที่เขาสวมอยู่บางจนแทบกันหนาวไม่ได้ และเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะ ผมเขานั่งตัวสั่นเทา และพยายามขดร่างผอมบางเข้าไปในมุมกำแพงราวกับจะหวังพึ่งพาความอบอุ่นจากกำแพงที่เย็นยะเยือกจากความหนาวเหน็บ”
“โอ้ . . . พระเจ้า . . .” ราชินีผู้กำลังตั้งครรภ์อยู่ในช่วงอ่อนไหวทางอารมณ์อย่างมาก ดังนั้นเมื่อเธอได้ฟังเรื่องราวเหล่านี้ น้ำตาของเธอก็ไหลรินทันที ก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นปิดปากพยายามสะกดกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้
เมื่อเห็นว่าความรู้สึกซาบซึ้งได้เริ่มสะสมมามากพอแล้ว เอริคจึงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเร้าอารมณ์มากยิ่งขึ้น “ผมตกใจมากในตอนนั้น และรีบถอดเสื้อคลุมของผมออกมาคลุมตัวเขาเอาไว้ ก่อนที่ผมจะพาเขาไปที่ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่ใกล้ที่สุดเพื่อให้ความอบอุ่นและเติมท้องของเขาให้อิ่ม . . . แน่นอนว่าพวกท่านอาจจะไม่รู้ว่าเขาหิวแค่ไหน! แต่พวกท่านรู้อะไรไหม เขาหิวมากจนกินเบอร์เกอร์ชิ้นใหญ่ถึงสิบเอ็ดชิ้นคนเดียวจนหมด!”
เอริคทำท่าทางประกอบโดยใช้วาดมือวาดเป็นเบอร์เกอร์ขนาดใหญ่ที่รวมตัวกันราวกับอ่างล้างหน้า สร้างความตื่นตะลึงจนราชินีถึงกับหลุดสะอื้นออกมาอีกครั้ง ก่อนที่ราชินีจะหันไปบีบต้นขาของกษัตริย์ทีชาก้าแน่น และใช้สายตามองพระสวามีของตัวเองด้วยความโกรธผสมความผิดหวัง ราวกับจะบอกว่า ‘ดูสิ ฝ่าบาททำบาปอะไรไว้!’
โปรดติดตามตอนต่อไป …