ตอนที่ 18 จะขโมยดีไหมนะ?!
ตอนที่ 18 จะขโมยดีไหมนะ?!
รถออฟโรดแล่นทะยานไปบนทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ทิ้งรอยยางเป็นเส้นยาว
คลอว์จับพวงมาลัยขับรถด้วยความตั้งใจ ในขณะที่เอริคกำลังเอนกายอยู่บนเบาะหลังอย่างผ่อนคลาย โดยมีเอ็นจาด้าก้าตัวน้อยคอยป้อนองุ่นให้ทีละลูก ทำให้ตอนนี้เขาดูเหมือนกับชายหนุ่มผู้มั่งคั่งที่ออกเดินทางท่องเที่ยว
ถ้าหากมีสาวสวยอีกสักสองคนร่วมทางไปด้วย ภาพในรถในตอนนี้คงเหมือนฉากจากนิยายที่พระเอกเป็นมหาเศรษฐีอย่างแน่นอน . . .
หลังจากใช้เวลาเดินทางมาจนถึงเที่ยงวัน แสงแดดในทุ่งหญ้าก็ยิ่งแผดเผารุนแรงขึ้น แต่ด้วยสนามแม่เหล็กที่เอริคสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษปกคลุมรอบรถเอาไว้ได้ช่วยลดความร้อนและกรองรังสีอัลตราไวโอเลตบางส่วน ทำให้บรรยากาศภายในรถจึงค่อนข้างเย็นสบาย
แสงก็เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สามารถบิดเบือนได้อย่างหนึ่ง ดังนั้นในช่วงต้นในจักรวาลของจักรพรรดิธานอส แม็กนีโตจึงเคยใช้พลังในการบิดเบือนแสงเพื่อทำให้ตัวเองล่องหน แต่ตอนนี้เอริคแค่กรองรังสีอัลตราไวโอเลตบางส่วนออกจากแสงอาทิตย์ ทำให้แสงที่มาจากพระอาทิตย์มันจึงเบาบางลง
“ยังไม่ถึงอีกเหรอ?” เอริคถามหลังจากเอนกายนอนอยู่หลายชั่วโมง แม้เขาจะสามารถเดินทางด้วยการบินที่มันรวดเร็วกว่าได้ แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตรวจจับโดยระบบเทคโนโลยีล้ำสมัยของวาคานด้า เขาจึงเลือกวิธีที่ปลอดภัยกว่าด้วยการเดินทางบนบกแทน
“ใกล้ถึงแล้วครับ” คลอว์ตอบพลางชี้ไปข้างหน้า “นั่นคือทะเลสาบทูร์คานา ถัดไปคือชายแดนเอธิโอเปีย ที่นั่นมีเส้นทางเล็ก ๆ เชื่อมตรงไปยังวาคานด้าอยู่”
“อีกนานแค่ไหน?” เอริคถามและลุกขึ้นมานั่ง
“ประมาณชั่วโมงหนึ่งครับ”
“โอเค งั้นนายหยุดรถ แล้วมาที่เบาะหลัง!” เอริคสั่งเสียงเรียบ ก่อนสั่งให้เอ็นจาด้าก้าตัวน้อยมัดคลอว์เอาไว้ และโยนเขาไปเบาะหลัง จากนั้นเอ็นจาด้าก้าตัวน้อยก็กระโดดขึ้นมานั่งในตำแหน่งคนขับ พร้อมบังคับพวงมาลัยด้วยความชำนาญ
ไม่นานนัก รถออฟโรดก็แล่นผ่านกลุ่มชายผิวดำที่กำลังต้อนวัว พวกเขาสวมชุดพื้นเมือง ถือหอก และกำลังมองมาที่รถของเอริคด้วยสายตาสงสัย และระมัดระวัง
“น่าสนใจ ชุดและหอกพวกนั้นทำจากไวเบรเนียม” เอริคพูดพร้อมมุมปากที่ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“\u0026%¥\u0026#@% . . .” ทันใดนั้นหนึ่งในชายผิวดำก็เดินเข้ามาใกล้รถ และเริ่มส่งเสียงพูดเป็นภาษาท้องถิ่นพร้อมกับเคาะตัวรถเบา ๆ ทำให้เอริคที่เห็นเช่นนั้นก็ลดกระจกลง ก่อนแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “สวัสดี ผม เอริค แลนเซอร์ มาจากสหรัฐฯ ต้องการเข้าพบกษัตริย์ ทีชัลก้า เพื่อส่งมอบคนบาปให้กับวาคานด้า”
ชายผิวดำไปมองยังคลอว์ที่ถูกมัดอยู่ที่เบาะหลัง พร้อมกับใบหน้าของเขาที่เปลี่ยนเป็นโกรธจัดทันที ก่อนที่เขาจะยกหอกที่เรืองแสงสีฟ้าจาง ๆ ขึ้น และพยายามแทงไปที่คลอว์
แต่ทันใดนั้น เอริคก็ยื่นมือออกมาด้านข้างและใช้มือจับหอกเอาไว้อย่างแนบแน่น ทำให้ไม่ว่าชายผิวดำจะพยายามออกแรงแค่ไหนมันก็ไม่ยอมขยับ
“ใจเย็น พี่ชาย นี่คือถ้วยรางวัลของผม” เอริคกล่าวพลางเลื่อนหอกออกไปนอกหน้าต่าง “ช่วยนำทางให้ผมหน่อย ผมมีเรื่องสำคัญจะพบกับกษัตริย์ทีชัลก้า”
ชายผิวดำมองเอริคด้วยสายตาสงสัย ก่อนจะส่งสัญญาณให้เพื่อนวิ่งไปยังกระท่อมไม้ด้านหลัง ก่อนที่หลังจากนั้นไม่นานมันจะมีเครื่องบินทรงรีสีดำบินตรงมาทางนี้อย่างรวดเร็ว
เมื่อเครื่องบินลงจอด ผู้หญิงหัวโล้นคนหนึ่งในชุดสีแดงถือหอกก็ค่อย ๆ เดินลงมาจากเครื่องบิน และจ้องมองเอริคอยู่นาน ก่อนที่เธอจะเดินตรงเข้ามาและมองไปที่คลอว์ พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นมาว่า “เจ้าเป็นคนพาตัวเขามา?”
“แน่นอน” เอริคตอบ พร้อมเปิดหน้าต่างรถและตบหน้าคลอว์สองครั้งเบา ๆ “เขาคือถ้วยรางวัลของผม”
หญิงหัวโล้นพยักหน้าเล็กน้อย “กษัตริย์อยากพบเจ้า”
เอริคยักไหล่เล็กน้อยกับท่าทางของเธอ ก่อนที่เขาจะดึงร่างของเอ็นจาด้าก้าตัวน้อยให้ตามเขาไปด้วย
ทันใดนั้นหญิงหัวโล้นก็หันกลับมาและยื่นปลายหอกไปที่เอ็นจาด้าก้าตัวน้อย “เขาไปไม่ได้ กษัตริย์ต้องการพบเจ้าและคลอว์เท่านั้น”
“แน่ใจนะ? เขาสำคัญกว่าฉันมาก ถ้าคุณไม่พาเขาไป บางทีชีวิตคุณอาจจะตกอยู่ในอันตราย” เอริคยิ้มมุมปากเล็กน้อย
หญิงหัวโล้นชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อมองเห็นสร้อยคอที่เอ็นจาด้าก้าตัวน้อยสวมอยู่ โดยในสร้อยคอมันมีแหวนแขวนเด่นอยู่ตรงกลาง “แหวนของกษัตริย์! เจ้าเป็นใครกันแน่?”
“เอ็นจาด้าก้า บุตรชายของเจ้าชายเอ็นโจบู!”
ทันใดนั้นหญิงหัวโล้นก็คุกเข่าลงทำความเคารพทันที ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นยืนอย่างสง่างามอีกครั้ง และส่งสัญญาณให้เอ็นจาด้าก้าตัวน้อยเดินนำหน้าไป เอ็นจาด้าก้าตัวน้อยเหลือบมองเอริค และสูดลมหายใจลึก ก่อนจะยืดหลังให้ตรง แล้วก้าวขึ้นเครื่องบินด้วยท่าทางมั่นใจ
เครื่องบินค่อย ๆ ทะยานขึ้นสู่ฟ้าอย่างราบรื่น ไร้การกระแทกหรือแรงสะเทือน ทำให้เอริคประทับใจอีกครั้งในเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าของวาคานด้า
เมื่อมองผ่านหน้าต่างที่ยื่นออกมาจากผนังของเครื่องบิน เอริคสามารถมองเห็นทุ่งหญ้าสะวันนาของเคนยาที่ทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา แต่เพียงไม่กี่นาทีหลังจากที่ขึ้นบิน จู่ ๆ ทิวทัศน์ตรงหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
เมืองที่เต็มไปด้วยตึกสูงตระหง่าน พร้อมรถไฟความเร็วสูงที่แล่นฉิว ยานพาหนะที่ลอยเหนือพื้นดิน และตึกที่แฝงกลิ่นอายศิลปะแอฟริกันอันเข้มข้น ทุกสิ่งดูทันสมัยแต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมของดินแดนนี้ได้ปรากฏขึ้นในสายตาของเขา!
เอริคมองฉากเบื้องหน้าด้วยดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อย พร้อมกับปล่อยพลังสนามแม่เหล็กของเขาออกมาอย่างเงียบ ๆ ทันใดนั้นโครงสร้างภายในของรถไฟ เครื่องบิน อาวุธ และระบบลอบเร้นต่าง ๆ ของวาคานด้าก็ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในประสาทสัมผัสของเขา
“ไวเบรเนียม . . . ทุกสิ่งล้วนทำจากไวเบรเนียม! ทั้งวัสดุ ทั้งพลังงาน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับมันอย่างสิ้นเชิง” เอริคพึมพำกับตัวเอง “แผนผังเทคโนโลยีของวาคานด้านั้นดูซับซ้อน แต่ในขณะเดียวกันมันก็ขึ้นอยู่กับไวเบรเนียมจนแทบจะเป็นจุดตาย ถ้าหากไม่มีไวเบรเนียมพวกมันก็ไร้ประโยชน์! แต่ . . . ใครจะมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะปล้นไวเบรเนียมทั้งหมดในวาคานด้าได้?”
เอริคหยุดคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนที่รอยยิ้มบาง ๆ จะปรากฏบนใบหน้าของเขา “บางที . . . ฉันอาจจะทำได้!”
พลังพิเศษในตัวของเอริคเริ่มเคลื่อนไหวไปมา พร้อมกับครุ่นคิดอย่างละเอียด เขามีศักยภาพพอที่จะปล้นทุกสิ่งจากวาคานด้า เนื่องจากเขาสามารถควบคุมไวเบรเนียมได้โดยสมบูรณ์ ซึ่งเท่ากับการควบคุมเส้นเลือดของประเทศนี้ อาวุธล้ำยุคที่สร้างจากไวเบรเนียมไม่อาจทำอันตรายเขาได้ และระบบป้องกันก็ไร้ผลเมื่อเผชิญหน้ากับเขา
ยิ่งไปกว่านั้น เมืองแห่งนี้ยังถูกปกปิดด้วยสนามพลังงานล่องหนที่แม้แต่ดาวเทียมบนท้องฟ้าก็ไม่สามารถมองเห็น ดังนั้นตราบใดที่เขาลงมืออย่างแนบเนียน จะไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่อย่างแน่นอน . . .
จะขโมยพวกมันดีไหมนะ?
โปรดติดตามตอนต่อไป …