ตอนที่ 17 ลงทุนในเคนยา!
ตอนที่ 17 ลงทุนในเคนยา!
สามวันต่อมา เอริคก็เดินทางมาถึงเคนยาพร้อมกับคลอว์และเด็กชายที่เขาเรียกว่า ‘เอ็นจาด้าก้าตัวน้อย’ อีกทั้งยังมีอีกหนึ่งคนร่วมเดินทางไปด้วย
หลังจากที่เขาได้รับมรดกทั้งทรัพย์สินและชื่อเสียงจาก ‘พ่อชาร์ลส์’ เอริคก็กลายเป็นที่จับตามองในฐานะบุคคลสำคัญ ซึ่งในสหรัฐอเมริกาเขายังพอเดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวก แต่เมื่อเขาก้าวเท้าออกนอกประเทศเมื่อไหร่ ความสนใจจากองค์กรต่าง ๆ อย่าง ไฮดรา หรือ ชีลด์ จะจับตามองมาที่เขาทันที ดังนั้นเขาจึงเลือกเดินทางแบบเปิดเผยแทนที่จะเสี่ยงเดินทางแบบลับ ๆ
ไม่นาน เครื่องบินของพวกเขาก็ลงจอดในเคนยา โดยใช้ข้ออ้างว่าเป็นการเดินทางเพื่อสำรวจธุรกิจในต่างประเทศ
ด้วยเหตุนี้เองการมาถึงของมหาเศรษฐีผู้มีสายเลือดยุโรปในดินแดนเล็ก ๆ อย่างเคนยาจึงดึงดูดความสนใจจากรัฐบาลท้องถิ่นเป็นอย่างมาก และทำการส่งตัวแทนหลากหลายตำแหน่งมาต้อนรับด้วยความยินดี
เอริควางตัวเป็นเหมือนเพลย์บอยผู้ไร้กังวล ใบหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจและเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ ทว่าเจนนิเฟอร์ที่เป็นผู้ช่วยคนสำคัญของเอริคกลับไม่ปลื้มกับท่าทีเช่นนี้ของเขาเลย เธอมีงานล้นมืออยู่แล้วในบริษัท และการต้องมาแอฟริกาในเวลานี้มันก็ยิ่งทำให้เธอไม่พอใจเข้าไปใหญ่
เขาไม่รู้หรือไงว่าแสงแดดของแอฟริกามันเป็นพิษต่อผิวของผู้หญิงแค่ไหน?!
“คุณเอริคคะ คุณช่วยอธิบายได้ไหมว่าจุดประสงค์ของการเดินทางมาที่นี่คืออะไร?” เจนนิเฟอร์ถามด้วยใบหน้าจริงจังทันทีที่พวกเขากลับมาถึงโรงแรม ก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าเธอจะมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา แต่นั่นมันก็ทำไปเพื่อมารยาทเท่านั้น ดังนั้นเมื่อเธอกลับมาถึงโรงแรมใบหน้าของเธอก็ปราศจากรอยยิ้มอย่างสิ้นเชิง
“เจนนิเฟอร์ที่รัก ผมเห็นว่าคุณทำงานหนักเกินไป ผมก็เลยพาคุณมาพักผ่อน คุณไม่ดีใจเลยหรอ? น่าเศร้าจัง!” เอริคแสร้งทำหน้าเศร้า และใช้มือปาดน้ำตาจอมปลอมบนใบหน้าของเขา
“หึ!!!” เจนนิเฟอร์สูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ พยายามควบคุมอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ภายใน
“โอเค ผมจริงจังล่ะ คุณฟังผมนะ เคนยาเป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดของมนุษยชาติ ประวัติศาสตร์ของที่นี่น่าทึ่งมาก เพราะงั้นพรุ่งนี้เราไปสำรวจซากปรักหักพังยุคก่อนประวัติศาสตร์กันดีไหม?”
“คุณเอริค! ตอนนี้รางทดลองของแม็กเลฟสร้างเสร็จแล้ว รถไฟทดลองวิ่งผ่านไปด้วยดี ข้อมูลก็พร้อมส่งรายงานไปยังกรมรถไฟ ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย เราอาจจะได้รับออเดอร์แรกทันที! เราไม่มีเวลามาสำรวจซากปรักหักพังนะคะ!” เจนนิเฟอร์พูดโพล่งออกมาด้วยความโกรธ ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะหมดความอดทนแล้ว
เอริคหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “แน่นอนว่าผมรู้ แต่เจนนิเฟอร์ คุณจะต้องมองให้ไกลกว่านั้น”
เอริคลุกขึ้น และเดินไปหยิบแก้วไวน์ส่งให้เจนนิเฟอร์ “เทคโนโลยีแม็กเลฟของเราเป็นที่สุดในโลก ยิ่งไปกว่านั้น วัสดุตัวนำยิ่งยวดที่อุณหภูมิห้องของเราก็ไร้คู่แข่ง เราเป็นหนึ่งเดียวในโลก และไม่มีใครเทียบได้!”
“แน่นอนว่าเรา . . .”
“ฟังผมพูดให้จบก่อนสิ” เอริคยกมือขึ้นขัดจังหวะเจนนิเฟอร์ “รถไฟแม็กเลฟ คือโครงการแห่งอนาคต ทุกประเทศต้องการมัน และไม่มีใครปฏิเสธมันได้!”
เอริคกางมือข้างหนึ่งออกและพูดว่า “เราไม่มีคู่แข่ง!”
จากนั้นเขาก็กางมืออีกข้างและพูดว่า “และรัฐบาลจะต้องสนับสนุนเราอย่างแน่นอน!”
ทันใดนั้นเอริคก็นำมือทั้งสองมาประกบกันและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “แล้วคุณคิดว่าอนาคตของเราต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร?”
“เราจะครอบครองอุตสาหกรรมรถไฟทั่วโลก!” เจนนิเฟอร์ตอบด้วยดวงตาเป็นประกาย ตอนนี้เธอจินตนาการถึงอนาคตข้างหน้าได้อย่างชัดเจน!
“ไม่!” เอริคส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม และกางมือออกอีกครั้ง “เราจะพังพินาศ!”
“ทำไมละคะ?” เจนนิเฟอร์ถามขึ้นมาอย่างสงสัย
“เพราะเรายังไม่มีศักยภาพมากพอที่จะรับมือกับความยิ่งใหญ่ของโปรเจกต์นี้ และเราโลภเกินไป สุดท้ายเราจะล้มเหลวเพราะขาดทรัพยากรที่สำคัญ . . .”
“ตอนนี้ที่อเมริกามีบริษัทรถไฟมากกว่า 6,000 แห่งในอเมริกา! แต่หลังจากการรวมกิจการครั้งใหญ่ มีบริษัทเพียงไม่กี่แห่งที่สามารถครอบครองส่วนแบ่งตลาดเกือบทั้งหมดได้ โดยเฉพาะ UP และ BNSF ซึ่งควบคุมธุรกิจรถไฟกว่า 80% ของประเทศ เราต่างรู้ดีว่าการแข่งขันในตลาดที่ผูกขาดเช่นนี้เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตของบริษัทเรา”
“ใช่ค่ะ แต่ว่าเทคโนโลยีของเรา . . .”
“แน่นอนว่าเทคโนโลยีของเราอาจจะก้าวหน้ากว่าคู่แข่งหลายขุม และต้นทุนการผลิตก็ต่ำกว่า แต่เราขาดการเชื่อมต่อที่เพียงพอที่จะกระจายสินค้าไปยังลูกค้าได้อย่างทั่วถึง” เอริคถอนหายใจเล็กน้อย และพูดต่อว่า “รัฐบาลสหรัฐฯ อาจจะให้ความร่วมมือกับเราในบางเรื่อง แต่การควบคุมทรัพยากรสำคัญอย่างวัตถุดิบยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ โดยเฉพาะวัตถุดิบพิเศษของเรา . . .”
“เหล็ก อลูมิเนียม ทองแดง เป็นวัสดุพื้นฐานที่เราสามารถหาได้ทั่วไป แต่สำหรับวัสดุพิเศษของเรานั้นค่อนข้างหาได้ยากและมีคุณสมบัติเฉพาะตัว”
เอริคหยิบลูกบอลเหล็กสีเทาเล็ก ๆ ออกมาวางบนโต๊ะ ก่อนที่ลูกบอลเหล็กจะเริ่มเปล่งประกายระยิบระยับภายใต้แสงแดด “นี่คือไนโอเบียม!”
“ไนโอเบียม?” เจนนิเฟอร์หยิบลูกบอลเหล็กอันเล็ก ๆ ขึ้นมาดูอย่างระมัดระวัง “นี่คือรูปร่างหน้าตาของไนโอเบียมอย่างนั้นหรอ? ฉันไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลย แต่ฉันเคยได้ยินคนในแผนกบอกว่ามันมีราคาถูกมาก และเป็นหนึ่งในวัตถุดิบสังเคราะห์ที่สำคัญมากสำหรับแลนเซอร์ No.1”
“ใช่ ไนโอเบียมเป็นส่วนประกอบหลักที่ขาดไม่ได้ในการผลิต แลนเซอร์ No. 1 หรือจะเรียกว่าเป็นวัตถุดิบที่เราให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งเลยก็ว่าได้ แม้ว่าราคาของมันจะไม่แพงมากนัก แต่ความหายากและความต้องการที่สูง ทำให้ไนโอเบียมกลายเป็นทรัพยากรที่จำกัด และมีเพียงไม่กี่บริษัทในสหรัฐอเมริกาที่ผลิตวัตถุดิบชนิดนี้”
“ถ้าอย่างนั้น เราก็ควรรีบสั่งซื้อเพิ่มเอาไว้ก่อนเลยสิคะ” เจนนิเฟอร์พูดด้วยความตกใจ และรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมจะโทรออก
“เปล่าประโยชน์ ถึงแม้เราจะสั่งซื้อไนโอเบียมมาสำรองเอาไว้ แต่มันก็ยังไม่พอต่อความต้องการในอนาคตของเรา” เอริคกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “และต่อให้เรายอมจ่ายในราคาที่แพงขึ้นหลายเท่า ปริมาณที่ได้รับก็ยังไม่มากพอ และอย่าลืมว่าไนโอเบียมไม่ใช่วัตถุดิบเดียวที่เราต้องใช้!”
“แล้วเราควรทำยังไงดีคะ?” เจนนิเฟอร์ถามด้วยความกังวล ใบหน้าสวยหวานของเธอแสดงออกถึงความเคร่งเครียดจนดูหมองลงเล็กน้อย
เอริคหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะชี้นิ้วออกไปนอกหน้าต่าง “ดูสิ ที่ที่เรายืนอยู่ตอนนี้คือโอกาสสำคัญ มองไปทางนั้นสิ ภูเขามุริมะ ที่นั่นมีเหมืองไนโอเบียมอยู่มากมาย แต่เทคโนโลยีการทำเหมืองที่นี่ล้าสมัยเกินไป เหมือนยังติดอยู่ในยุคเมื่อสี่สิบปีก่อน!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเอริค ดวงตาของเจนนิเฟอร์ก็เป็นประกายทันที ก่อนที่เธอจะรีบเดินไปที่หน้าต่างมองไปยังทิศทางที่เอริคชี้นิ้วอยู่
เอริคเดินเข้าไปใกล้ ๆ เธอ และชี้ไปอีกทิศทางหนึ่ง “ดูทางนั้นสิ ทาโมตะ แหล่งสำคัญของแร่แบไรต์ และนั่นกิลกิล หนึ่งในเหมืองไดอะตอมไมต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และนั่น . . .”
นิ้วของเอริคเคลื่อนไหวไปมาพร้อมกับอธิบายสถานที่แต่ละแห่งให้เจนนิเฟอร์ฟัง ทำให้เจนนิเฟอร์ที่มองตามทุกทิศทางที่เอริคชี้เริ่มมองเห็นภาพอนาคตที่กำลังถูกวาดขึ้น
ดวงตาของเจนนิเฟอร์ในตอนนี้เต็มไปด้วยความตั้งใจ ขณะที่แก้มของเธอเริ่มแดงระเรื่อเล็กน้อย ซึ่งไม่แน่ว่ามันเป็นเพราะคำพูดของเอริค หรือเพราะความใกล้ชิดในขณะนั้นของเธอและเขากันแน่
. . .
เช้าวันรุ่งขึ้น
เจนนิเฟอร์ที่ได้รับคำสั่งจากเอริคก็เดินทางไปสำรวจเหมืองและสถานที่สำคัญในพื้นที่กับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ในขณะที่เอริคออกเดินทางไปอีกทิศทางหนึ่งพร้อมกับ ‘บอดี้การ์ด’ อย่างคลอว์ และ ‘ผู้ช่วย’ อย่างเอ็นจาด้าก้าตัวน้อยของเขา
นอกจากนี้เพื่อไม่ให้การเดินทางของเขาถูกจับตามอง เอริคจึงลงทุนซื้อรถออฟโรดในราคาสูง จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังทุ่งหญ้ากว้างใหญ่เพื่อตรวจสอบซากปรักหักพังอารยธรรมยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่เขาให้ความสนใจมาโดยตลอด . . .
โปรดติดตามตอนต่อไป …