ตอนที่ 14 ซ่อนยีน X!
ตอนที่ 14 ซ่อนยีน X!
“ไม่คิดเลยว่าจะเป็นไฮดรา!” เอริคพึมพำเบา ๆ พลางเล่นกับเครื่องมือขนาดเล็กในมือ มันมีลักษณะคล้ายกุญแจรถ โดยมีไฟสีแดงกะพริบพร้อมเสียง ‘บี๊บ บี๊บ’ อย่างต่อเนื่อง
นี่คือ เครื่องตรวจจับยีน X อุปกรณ์ที่คิดค้นโดยโบลิวาร์ ทรัสก์ นักวิทยาศาสตร์คนแคระ ที่ถูกมนุษย์กลายพันธุ์เกลียดชังมากที่สุด
เครื่องมือนี้สามารถตรวจจับยีน X และจะส่งเสียงแจ้งเตือนเมื่อพบคนที่มียีน X อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งตอนนี้เครื่องมันกำลังส่งเสียงแจ้งเตือนเพราะตรวจพบยีน X ของเอริค
แต่ถึงอย่างนั้นเอริคก็ไม่ได้คิดจะปิดมัน และหันไปมองชายคนหนึ่งที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าของเขาแทน
ชายคนนี้คือ จอห์น การ์เร็ตต์ เจ้าหน้าที่อาวุโสของชีลด์ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาคือสมาชิกระดับสูงของไฮดรา และในอนาคตเขาจะกลายเป็น ‘เครวอแยนท์’
“นิค ฟิวรี่ส่งคนแบบนี้มาหาฉัน? คนพวกนี้ไม่น่าเชื่อถือเอาซะเลย!” เอริคพูดพลางหัวเราะเบา ๆ และไม่ได้ประหลาดใจอะไรเลย เพราะเขารู้ดีถึงนิสัยของราชาสายลับแห่งชีลด์เป็นอย่างดี
“นอกจากนี้ไม่คิดเลยว่าโปรเจกต์อินไซต์จะเริ่มต้นเร็วขนาดนี้ . . . ดูเหมือนว่าแผนการบางอย่างของฉันจะต้องเริ่มดำเนินการแล้ว”
“ลุกขึ้น!”
เอริคหันไปสั่งการ์เร็ตต์ ทันใดนั้นการ์เร็ตต์ก็ลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ ด้วยดวงตาที่ว่างเปล่า ตอนแรกการ์เร็ตต์ถูกส่งมาเพื่อตรวจสอบเอริค แต่ตอนนี้เขากับถูกควบคุมด้วยพลังจิตของเอริคแทน และเผยความลับทุกอย่างในหัวของเขาออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“เอาสิ่งนี้ไปให้อเล็กซานเดอร์ เพียร์ซ และบอกเขาว่า ‘จงรำลึกถึงเลือดและเกียรติยศ ความรุ่งโรจน์ของไฮดรากำลังจะกลับมาอีกครั้ง!’”
เอริคยื่นกริชที่ดูหรูหราให้การ์เร็ตต์ ก่อนที่เขาจะโบกมือส่งร่างของการ์เร็ตต์ออกไป
หลังจากการ์เร็ตต์จากไป เอริคก็จ้องมองไปยังแขนซ้ายของตัวเองที่เรียบเนียน รอยสักที่เคยตามเขามาสองชีวิตได้หายไปแล้ว ตัวเลขที่เคยเป็นตราแห่งความอัปยศและความเกลียดชังของเขาได้ถูกลบหายไปเมื่อฉีดเซรุ่มซูเปอร์โซลเยอร์เข้าสู่ร่างกาย
รอยสักนั้นคือรอยสักที่เขาได้มาจากค่ายกักกันนาซี ที่ซึ่งชาวยิวถูกลดทอนให้เหลือเพียง ‘ตัวเลข’ แทนที่จะเรียกเป็นชื่อบุคคล
ส่วนกริชที่เขามอบให้การ์เร็ตต์นั้น มาจากสมบัติของนาซีที่ถูกพบในเทือกเขาแอลป์ มันเป็นอาวุธของหน่วย SS ที่สลักคำว่า ‘เลือดและเกียรติยศ’ โดยเอริคได้ใช้พลังของตัวเองปรับแต่งกริชด้วยการเพิ่มอัญมณี และเปลี่ยนโลโก้สายฟ้าคล้าย ‘SS’ ที่ด้ามจับให้เป็นโลโก้กะโหลกศีรษะของไฮดราเหมือนกับตอนที่เรดสกัลล์ใช้ในอดีตเพื่อให้เข้ากับแผนการของเขาในปัจจุบัน
. . .
“ความรุ่งโรจน์ของไฮดรา? เรดสกัลล์? ไอ้ตัวไร้ประโยชน์นั่นน่ะหรอ? ฮึ!” อเล็กซานเดอร์ เพียร์ซมองกริชในมือของการ์เร็ตต์ด้วยความโกรธ ก่อนที่จะหยิบกริชในมือของการ์เร็ตต์ปาลงกับพื้นอย่างไม่พอใจ “ถ้าหมอนั่นไม่ดื้อรั้นขนาดนั้น ป่านนี้ไฮดราน่าจะครองโลกได้ตั้งนานแล้ว!”
การ์เร็ตต์เก็บกริชขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ และรอคำสั่งต่อไปของเพียร์ซ “ระวังผู้ชายคนนี้ให้ดีในอนาคต เพราะคนของเรดสกัลล์มันไม่มีใครปกติดีสักคน!”
. . .
หลังจากจัดการเรื่องการ์เร็ตต์เรียบร้อย เอริคก็กลับไปที่ห้องทดลองลับของเขา พร้อมกับเครื่องตรวจจับยีน X ที่เพิ่งได้มา
ตอนนี้เขากำลังวางแผนจะซ่อนยีน X ของตัวเอง!
ในจักรวาลนี้ เอ็กซ์-เม็น ไม่ได้ข้ามกาลเวลาเพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคต และมนุษย์กลายพันธุ์ก็ยังคงตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายตามเดิม โรงเรียนเซเวียร์สำหรับผู้มีความสามารถพิเศษได้ปิดตัวลง โดยพวกเขาจะออกมารับสมัครนักเรียนมนุษย์กลายพันธุ์ใหม่สองสามคนเป็นบางครั้ง บราเธอร์ฮูดออฟมิวแทนต์สของแม็กนีโตยังคงซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเพื่อเตรียมสร้างความโกลาหลทุกครั้งที่มีโอกาส โปรเจกต์เวพ่อน เอ็กซ์ ของวิลเลียม สตรัคเกอร์ก็กำลังทำการทดลองอย่างโหดร้าย และหุ่นยนต์เซนติเนลของโบลิวาร์ ทรัสก์ยังอยู่ในขั้นตอนพัฒนาเนื่องจากพวกเขายังไม่ได้ยีนของมิสทีค
โลกนี้ช่างเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาทต่อมนุษย์กลายพันธุ์!
ดังนั้นการซ่อนยีน X จึงเป็นสิ่งที่เอริคต้องการทำมานานแล้ว เพราะหลังจากนี้ความสามารถของเขาก็คงจะถูกเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชนในไม่ช้าก็เร็ว แต่การเปิดเผยเร็วเกินไปมันก็ไม่ได้ส่งผลดีต่อตัวเขาเช่นกัน แถมมันยังเป็นอันตรายด้วย
ซึ่งวิธีการซ่อนยีน X นั้นก็ง่ายมากเช่นกัน เพียงแค่ใช้ยาเท่านั้น!
ในจักรวาลของจักรพรรดิธานอส วูล์ฟเวอรีนได้ตัดสินใจย้อนเวลากลับไปในอดีตเพื่อช่วยเหลือศัตรูเก่าอย่างแม็กนีโตที่ถูกกักขังอยู่ในเพนตากอน ซึ่งในเวลานั้นศาสตราจารย์เอ็กซ์ก็ประสบความสำเร็จในการรักษาอาการอัมพาตของตัวเองด้วยยาที่บีสต์พัฒนาขึ้นกับแม็กนีโต แต่การรักษานี้กลับทำให้ศาสตราจารย์เอ็กซ์ต้องสูญเสียพลังจิตอันทรงพลังที่ตัวเองภาคภูมิใจไปชั่วคราว
ด้วยเหตุนี้เองเรื่องสูตรยาจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับแม็กนีโตเลย นอกจากนี้เขายังเคยคิดที่จะปรับปรุงยาเพื่อให้สามารถซ่อนยีนเอ็กซ์ได้โดยไม่ทำลายพลังกลายพันธุ์ แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจละทิ้งความคิดนั้นไป เพราะเขาเชื่อมั่นว่ามนุษย์กลายพันธุ์ควรมีความภาคภูมิใจในสิ่งที่เป็นอยู่ และการซ่อนยีน X ก็ไม่ใช่ทางออกของปัญหา
อย่างไรก็ตามตอนนี้เอริคไม่ได้มีปัญหาทางจิตเหมือนแม็กนีโตคนเดิมอีกต่อไป และเขาที่ต้องการเวลาในการเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเอง จึงไม่อยากเสียสละเวลาอันมีค่าไปยุ่งกับพวกสตรัคเกอร์และทรัสก์
ดังนั้นเอริคจึงตัดสินใจทดลองพัฒนายาที่สามารถซ่อนยีน X ได้ โดยดัดแปลงสูตรจากยาของบีสต์ ซึ่งเคยใช้รักษาศาสตราจารย์เอ็กซ์ในอดีต
แน่นอนว่าการปรุงยาดูเหมือนจะไม่ได้ราบรื่นอย่างที่เขาคิดเอาไว้เลยสักนิด บวกกับเขาไม่มีมนุษย์กลายพันธุ์มาช่วยทดลองผลของยา ทำให้เขาจะต้องลองใช้กับตัวเองหลายครั้งและเผชิญผลข้างเคียงที่รุนแรง แต่ด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งจากเซรั่มซูเปอร์โซลเยอร์ ผลข้างเคียงเหล่านั้นก็ค่อย ๆ จางหายไปในเวลาอันสั้น
หลังจากใช้เวลาครึ่งเดือนเต็มกับการทดลอง ในที่สุดการปรุงยาก็สำเร็จ!
เอริคถอนหายใจด้วยความโล่งอก และหยิบเข็มฉีดยาขึ้นมาแทงเข้าที่แขนตัวเอง ก่อนที่หลังจากนั้นเขาจะเอื้อมมือไปเปิดเครื่องตรวจจับยีน X
ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้น!
แน่นอนว่าเอริคยังไม่เชื่อทันที และลองปิดเครื่องและเปิดใหม่อีกครั้ง แต่เสียงก็ยังคงเงียบเหมือนเดิม
“สำเร็จแล้ว! ในที่สุดก็สำเร็จ! ถ้าไม่ได้ผลอีก ฉันคงได้บ้าตายแน่ ๆ!”
ความสำเร็จครั้งนี้ทำให้เอริคเดินออกจากห้องปฏิบัติการด้วยความรู้สึกเหมือนหลุดพ้นจากขุมนรก หลังจากจมอยู่กับงานที่เต็มไปด้วยความกดดันมาหลายวัน ก่อนที่เขาจะรีบเดินเพื่อไปรับแสงแดดยามเช้าที่ส่องสว่างจ้าจนแสบตาอย่างรวดเร็ว
“การวิจัยมันไม่ใช่เรื่องสำหรับมนุษย์จริงๆ . . . ฉันต้องหาเวลาไปพักผ่อนบ้างแล้ว!”
. . .
“บาร์แม่ชีมาร์กาเร็ต สถานที่สำหรับเด็กผู้หญิงที่หัวรั้น ที่นี่สินะ!”
เอริคผลักประตูบาร์ออก ทันใดนั้นกลิ่นบุหรี่ผสมแอลกอฮอล์ที่ลอยมาแตะจมูกก็ทำให้เขาเกือบจะสำลัก ก่อนที่เสียงเพลงดังสนั่นและเสียงคนคุยกันอย่างสับสนวุ่นวายที่แทบจะทำให้เขาหูหนวกจะดังตามขึ้นมาติด ๆ
“ให้ตายเถอะ ทำไมฉันถึงเลือกมาที่นี่ . . .” เอริคพึมพำอย่างเสียใจ
“เฮ้ย! ไอ้หน้าจิ้งจก อย่ามายืนขวางทาง!”
ทันใดนั้นมันก็มีเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมาจากชายร่างใหญ่ผิวขาวที่เดินตรงมาทางเอริค ก่อนที่ชายร่างใหญ่จะยื่นมือออกมาผลักเอริคด้วยความใจร้อน แต่ไม่ว่าเขาจะออกแรงแค่ไหน ร่างของเอริคก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย
“นายเรียกใครว่าไอ้หน้าจิ้งจก?” เอริคพูดพลางหันหลังกลับไปมอง ก่อนที่เขาจะใช้มือของตัวเองบีบข้อมือชายร่างใหญ่ด้วยแรงเพียงเล็กน้อย
ทันใดนั้นชายร่างใหญ่ก็ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนสีทันที เหงื่อกาฬเริ่มผุดเต็มหน้าผาก แต่เขาก็ยังคงจ้องเอริคด้วยความโกรธโดยไม่คิดจะพูดยอมแพ้ออกมา
“เฮ้! หวัดดีเพื่อน! พวกนายกำลังจะมีเซ็กส์กันหน้าบาร์อย่างนั้นหรอ?!”
ทันใดนั้นเสียงของผู้มาใหม่ก็ดังขึ้น พร้อมกับชายร่างสูงหน้าตาดีคนหนึ่งทียืนกอดอกมองทั้งคู่พร้อมรอยยิ้มขบขัน
“พวกนายสองคนจะยืนบังประตูกันทำบ้าอะไรเลย ฉันแค่จะเข้าไปดื่ม! . . . โอ้ ขอโทษทีนะพี่ชาย ฉันเผลอแตะโดนลูกป๋องแป๋งของนายเข้า . . . โอ้โห! ใหญ่ดีเหมือนกันนะเนี่ย แฟนนายต้องปลื้มแน่ ๆ” ชายคนนั้นพูดขณะเดินแทรกตัวระหว่างเอริคกับชายร่างใหญ่เดินเข้าไปในบาร์อย่างหน้าตาเฉย
ซึ่งคำพูดนี้ทำให้เอริครู้สึกหมดอารมณ์ที่จะเล่นสนุกกับชายร่างใหญ่อีกต่อไป ก่อนที่เขาจะปล่อยมือของอีกฝ่ายและเดินเข้าไปในบาร์
ในขณะเดียวกันชายร่างใหญ่ก็เดินเข้ามาในบาร์เช่นกัน พร้อมกับตะโกนขึ้นมาเสียงดังว่า “เวด! ไอ้เวรเอ้ย! ฉันจะฆ่าแก!”
โปรดติดตามตอนต่อไป …