บทที่ 207 ถ่ายรูป
หลังจากอิ่มอาหาร โจวอี้หมินหยิบภาพถ่ายที่ล้างเสร็จแล้วออกมาให้คุณปู่คุณย่าดู
นับตั้งแต่ที่เขาติดต่อกับคุณป้าทวดได้ โจวอี้หมินก็ใช้กล้องถ่ายรูปที่คุณป้าทวดส่งกลับมาให้ ถ่ายภาพชุดหนึ่ง แต่เป็นที่น่าเสียดายที่พ่อของเขาไม่ได้อยู่ในภาพเหล่านี้
ในชุดภาพถ่ายนั้น มีทั้งภาพของโจวอี้หมินร่วมกับคุณปู่และคุณย่า ภาพถ่ายเดี่ยว และภาพถ่ายของจางเยี่ยน เชี่ยนเชี่ยน ไลฝู ไลไฉ และไลฟางด้วย
ภาพถ่ายยังรวมถึงบ้านของพวกเขา และทิวทัศน์ของหมู่บ้านที่คุณป้าทวดคุ้นเคยในวัยเด็ก
ทั้งหมดมีประมาณ 20 ภาพ
โจวอี้หมินเชื่อว่า เมื่อคุณป้าทวดเห็นคนที่เธอคุ้นเคยและบ้านเกิดที่เธอคิดถึง เธอจะต้องดีใจมาก
หลังจากถ่ายรูปเสร็จ โจวอี้หมินนำภาพไปให้คนล้างออกมา
ขั้นตอนแรกๆจำเป็นต้องใช้น้ำยาพิเศษที่เตรียมจากผงเคมีเฉพาะ
เริ่มด้วยการนำฟิล์มออกจากกล้องในห้องมืด ซึ่งในบ้านทั่วไปไม่มีห้องมืดโดยเฉพาะ มักใช้วิธีปิดหน้าต่างด้วยผ้าม่านหนา และใช้ไฟสีแดงสลัวในห้องแทน
จากนั้นขยายภาพบนกระดาษอัดภาพให้ได้ขนาดที่ต้องการ และแช่ลงในน้ำยาเฉพาะสำหรับการล้างและการคงภาพ จนภาพเริ่มชัดเจนและคงที่ สุดท้ายให้นำภาพไปตากบนเชือกจนแห้ง
แม้ว่าขั้นตอนทั้งหมดจะดูไม่ซับซ้อน แต่โจวอี้หมินเลือกให้มืออาชีพเป็นผู้จัดการเรื่องนี้
ในชีวิตก่อนหน้า โจวอี้หมินไม่ค่อยเก่งเรื่องการถ่ายรูป แม้แต่การใช้กล้องบนสมาร์ทโฟนที่มีโหมดปรับแต่งภาพอัตโนมัติ เขายังถ่ายออกมาไม่ดีนัก ยิ่งกับกล้องแบบดั้งเดิมนี้ ยิ่งไม่มีทางที่เขาจะถ่ายได้ดีเลย
ภาพถ่ายที่ล้างออกมาในตอนนี้ยังคงเป็นภาพขาวดำ
ปัจจุบัน ภาพถ่ายสีไม่ใช่ไม่มี แต่มีน้อยและกล้องถ่ายภาพสีมีราคาแพงมาก
“ดีมาก! แล้วจะส่งไปให้ป้าทวดของเธอเมื่อไหร่?” คุณปู่ถาม
หลังจากดูภาพถ่ายแล้ว เขารู้สึกพอใจมาก
ในยุคนี้ ขอแค่ถ่ายได้ชัดเจนก็ถือว่าดีแล้ว ไม่มีการแต่งภาพให้ขายาวขึ้นหรือปรับแต่งใดๆแบบยุคหลัง และหากภาพถ่ายดูไม่สมจริง อาจถูกตำหนิว่า “ถ่ายภาพไม่เหมือนจริง”
คุณปู่เขียนจดหมายฉบับหนึ่งเตรียมไว้ และวางแผนให้หลานชายคนโตนำไปส่งพร้อมกับภาพถ่าย
“ภาพนี้ถ่ายได้ดี” คุณย่ากล่าวพลางชมภาพถ่าย
เธอถือภาพที่เธอพอใจที่สุด ซึ่งเป็นภาพถ่ายหมู่ร่วมกับครอบครัว และดูเหมือนว่าเธอจะเสียดายที่จะส่งมันออกไป
โจวอี้หมินสังเกตเห็นจึงยิ้มและพูดว่า
“คุณย่า พวกเรามีกล้องถ่ายรูป จะถ่ายใหม่เมื่อไหร่ก็ได้ครับ”
หลังจากได้ยิน คุณย่าก็เข้าใจและวางภาพนั้นลง
ต่อมา โจวอี้หมินตอบก็คำถามของคุณปู่
“พรุ่งนี้ครับ! พรุ่งนี้ผมจะกลับเข้าเมืองแล้วส่งไปให้ทันที”
คุณปู่ได้ยินดังนั้นจึงกลับไปหยิบกระดาษจดหมายสองแผ่นที่เขียนไว้แล้วส่งให้โจวอี้หมิน
“เอาไปส่งพร้อมกันทีเดียวเลย!”
โจวอี้หมินพยักหน้าตอบรับ โดยไม่มีนิสัยชอบแอบอ่านจดหมายของคนอื่น และเขาไม่ต้องอ่านก็พอจะเดาเนื้อหาในจดหมายได้
“ครับ ได้เลย!”
ฟิล์มที่ป้าทวดส่งมานั้นยังเหลืออยู่มาก เพราะเธอเตรียมมาอย่างเพียงพอ
คุณป้าสามถือภาพถ่ายหมู่ที่มีสมาชิกในครอบครัวของเธออยู่ด้วย และรู้สึกดีใจมาก
นี่เป็นภาพถ่ายภาพแรกในชีวิตของเธอ
ใช่แล้ว! นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมีภาพถ่ายของตัวเอง แม้แต่ตอนแต่งงาน เธอก็ยังไม่มีภาพถ่ายเลย ในชนบทเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องปกติ
บางคนอาจไม่เชื่อ เพราะคิดว่าการแต่งงานจะต้องมีทะเบียนสมรส แล้วจะไม่มีภาพถ่ายได้อย่างไร?
แต่คนในยุคนี้อาจไม่ทราบว่าทะเบียนสมรสในสมัยนั้นไม่ใช่สมุดเล่มเหมือนปัจจุบัน แต่เป็นกระดาษใบเดียวที่มีลักษณะคล้ายกับใบประกาศนียบัตร
ในช่วงต้นของการก่อตั้งประเทศ ทะเบียนสมรสในแต่ละพื้นที่ยังไม่มีรูปแบบที่เหมือนกันทั้งหมด
รูปแบบและเนื้อหาในทะเบียนสมรสส่วนใหญ่ใกล้เคียงกัน แต่ลวดลายและรูปแบบจะแตกต่างกันไป บางแบบสะท้อนความเป็นมงคลตามวัฒนธรรมดั้งเดิม ขณะที่บางแบบสะท้อนภาพลักษณ์ของสังคมใหม่และกฎหมายสมรสใหม่ของจีน
จนถึงปี 1955 หน่วยงานราชการของจีนจึงกำหนดรูปแบบทะเบียนสมรสที่เป็นมาตรฐาน รวมถึงขนาด รูปแบบ ลักษณะของข้อความ และตราประทับ แต่ยังอนุญาตให้เลือกขอบหรือลวดลายเองได้
ในยุคนั้น ทะเบียนสมรสยัง ไม่มีภาพถ่าย และข้อความที่เขียนบนทะเบียนสมรสอาจเป็นลายมือธรรมดา
ทุกอย่างดูเรียบง่ายมาก
ด้วยเหตุนี้ ในชนบท หลายคนแม้จะแต่งงานแล้ว ก็อาจไม่มีภาพถ่ายของตัวเองเลย
ในยุคนี้ การมีภาพถ่ายเป็นของตัวเองถือเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจอย่างมาก
ป้าสามนำภาพถ่ายกลับบ้าน และคิดจะหาใครสักคนช่วยทำกรอบรูปใส่ภาพนี้
ระหว่างทาง มีคนเห็นเธอเดินไปพร้อมกับดูภาพในมือโดยไม่ได้มองถนน จึงถามขึ้นว่า
“หวงหลาน ดูอะไรอยู่น่ะ? ทำไมดูตั้งใจขนาดนั้น?”
หวงหลานยกภาพถ่ายในมือขึ้น พร้อมตอบอย่างภาคภูมิใจว่า
“ก็ไม่มีอะไรหรอก เป็นภาพที่อี้หมินถ่ายให้ครอบครัวเรา ดูแล้วก็พอใช้ได้”
เมื่อกลุ่มแม่บ้านได้ยิน ต่างกรูกันเข้ามาดู
ภาพถ่ายถือเป็นของหายากในหมู่บ้านโจว คนที่เคยถ่ายภาพมีเพียงไม่กี่คน
ครอบครัวของหวงหลานถือว่าโชคดีมาก นอกจากจะมีกินมีใช้ ยังมีโอกาสได้ถ่ายรูปอีกด้วย
แน่นอน ชาวบ้านในหมู่บ้านโจวทั้งหมดต่างรู้ดีว่า ชีวิตที่ดีของพวกเขาทุกวันนี้เป็นเพราะอาศัยบุญคุณของโจวอี้หมิน ตอนที่หมู่บ้านอื่นอดอยากจนแทบทนไม่ไหว หมู่บ้านนี้กลับอิ่มท้อง ทุกคนต่างรู้เหตุผลดี
“จริงด้วย”
คนที่ได้ดูภาพต่างแสดงสีหน้าอิจฉา
หวงหลานพูดเสริมว่า
“ไปถ่ายที่ร้านถ่ายรูปก็ไม่ได้แพงมาก อี้หมินบอกว่า ใช้เงินแค่ไม่กี่เหมาเอง คุณก็ไปถ่ายสักสองสามรูปได้นี่นา!”
เมื่อได้ยินแบบนั้น คนอื่นๆก็เงียบกันไป
แค่ภาพถ่ายขาวดำขนาด 1 นิ้ว ราคายังสูงถึงหกหรือเจ็ดเหมา แบบนี้ถือว่าไม่แพงจริงๆหรือ?
การถ่ายรูปถือเป็นการใช้จ่ายที่สูงมากในยุคนั้น
ในเวลานั้น เงินเพียง 5 เฟิน สามารถซื้อหัวไชเท้าได้ทั้งกอง หรือปลาฮวางฮวายี่ชั้นดี 1 ชั่ง ราคาเพียง 2 เหมา 5 เฟิน แต่หากจะถ่ายภาพขาวดำขนาด 1 นิ้วในร้านถ่ายรูป ต้องใช้เงินถึง 6 หรือ 7 เหมา ส่วนภาพถ่ายสีมีราคาสูงกว่าหลายเท่า และต้องรอถึงหนึ่งเดือนกว่าจะได้รับภาพ
การถ่ายภาพหนึ่งครั้งจำเป็นต้องพิจารณาว่าครอบครัวจะดำเนินชีวิตในช่วงเวลาถัดไปอย่างไร
ค่าใช้จ่ายในการถ่ายภาพประกอบด้วย ค่าจ้างช่างภาพและค่าใช้จ่ายในการล้างและพิมพ์ภาพ
ช่างภาพยังต้องใช้เวลาและแรงในการจัดเตรียมฉากและรายละเอียดต่างๆ เช่น เสื้อผ้าสำหรับถ่ายภาพ อีกทั้งในยุคนั้น เทคโนโลยีการถ่ายภาพยังไม่แพร่หลายและกล้องถ่ายรูปก็หาได้ยาก การมีภาพถ่ายครอบครัวหนึ่งภาพจึงถือว่าเป็นสิ่งที่ล้ำค่า
ดังนั้น ในยุคทศวรรษ 1960 การถ่ายภาพจึงถือเป็น การใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย
เมื่อชาวบ้านในหมู่บ้านต่างรู้ว่าโจวอี้หมินมีกล้องถ่ายรูป ต้องยอมรับว่าหลายคนอยากขอให้เขาถ่ายรูปให้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดออกมา
ในยุคนั้น กล้องถ่ายรูปมีราคาสูงมาก พอๆกับจักรยาน
กล้องไห่อู๋ไผ (Seagull) มีราคาถึง 160 หยวน ซึ่งเป็นเงินเท่ากับเงินเดือนของข้าราชการทหารระดับ 13 ในยุคนั้น
ครอบครัวที่สามารถซื้อกล้องถ่ายรูปได้ต้องมีฐานะทางเศรษฐกิจที่มั่นคง สำหรับครอบครัวทั่วไปหรือครอบครัวยากจน การถ่ายภาพสักใบยังถือว่าเป็นการใช้จ่ายที่เกินเอื้อม
ไม่นานหลังจากนั้น ชาวบ้านได้ยินข่าวว่า โจวอี้หมินกำลังถ่ายรูปให้คนในหมู่บ้าน
เมื่อได้ข่าว ชาวบ้านต่างรีบวิ่งไปยังที่ที่โจวอี้หมินอยู่ กลัวว่าหากไปช้าจะไม่ได้ถ่ายภาพ
(จบบท)