บทที่ 203 ส่งอุปกรณ์
เบ็ดตกปลาของคุณตาจ้าวที่กล่าวถึง จริงๆแล้วไม่ใช่เบ็ดตกปลาที่ล้ำสมัยแต่อย่างใด
สำหรับผู้ที่ตกปลา คงทราบกันดีว่าเบ็ดตกปลาสามารถแบ่งตามจำนวนช่วงได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่: เบ็ดช่วงเดียว, เบ็ดหลายช่วง, และเบ็ดแบบเสียบต่อ
เบ็ดช่วงเดียว หรือที่เรียกว่า "เบ็ดมังกรเดี่ยว" ทำจากไม้ไผ่หรือวัสดุอื่น ๆ โดยมีเพียงช่วงเดียว ความยาวโดยทั่วไปประมาณ 4 เมตร จุดเด่นของเบ็ดชนิดนี้คือ ทนทาน ไม่หักง่าย มีความยืดหยุ่น และใช้งานได้นาน แต่ข้อเสียคือพกพาลำบาก
เบ็ดหลายช่วง คือเบ็ดที่มีข้อต่อ 2 ถึง 20 ช่วง ข้อดีคือพกพาสะดวก แต่ข้อเสียคือบริเวณข้อต่อมีโอกาสหักง่าย
เบ็ดหลายช่วงยังแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ เบ็ดแบบเสียบต่อ และ เบ็ดแบบดึงออก
เบ็ดแบบดึงออก เข้าใจได้ง่ายมาก ลักษณะคล้ายกับร่มพับที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ตัวก้านของเบ็ดเป็นโพรงกลวง สามารถเก็บช่วงต่าง ๆ ไว้ในด้ามจับด้านล่างได้ เวลาใช้งานจะค่อย ๆ ดึงออกทีละช่วง และเมื่อเลิกใช้งานก็สามารถหุบเก็บช่วงกลับเข้าไปจากด้านล่างทีละช่วง จุดเด่นของเบ็ดชนิดนี้คือพกพาสะดวก แต่ความแข็งแรงทนทานจะน้อยกว่าเบ็ดแบบเสียบต่อ
ส่วน เบ็ดแบบเสียบต่อ จะประกอบขึ้นจากก้านเบ็ดหลายช่วงที่นำมาประกอบเสียบต่อกันเพื่อใช้งาน
ในการติดตั้งเบ็ดแบบเสียบต่อ จะประกอบจากช่วงที่เล็กไปหาช่วงที่ใหญ่ โดยเสียบเข้ากันทีละช่วง จุดเด่นคือ ข้อต่อแน่นสนิท ทำให้เมื่อเบ็ดได้รับแรงดึง มีความสามารถในการรับน้ำหนักได้ดี และตัวก้านเบ็ดมีลักษณะเรียวบาง
เบ็ดตกปลาประเภทนี้ จริงๆแล้วมีการปรากฏขึ้นตั้งแต่ยุคสาธารณรัฐจีนแล้ว
ดังนั้น ที่บอกว่าเบ็ดตกปลาของคุณตาจ้าว "ไม่ได้ล้ำสมัย" จึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
อาจมีบางคนวิจารณ์ว่าโจวอี้หมินนำเบ็ดตกปลาที่มีรอกม้วนสาย ออกมาใช้ซึ่งดูไม่เหมาะสม โดยคิดว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ของยุคสมัยใหม่ และไม่มีในยุคนั้น ทั้งนี้ เบ็ดตกปลาที่ไม่มีรอกม้วนสายจะถูกจัดอยู่ในหมวดเบ็ดมือ
อย่างไรก็ตาม ความกังวลในเรื่องนี้กลับเป็นเรื่องที่เกินความจริง
ในความเป็นจริง ภาพหลักฐานเกี่ยวกับ เบ็ดตกปลาที่มีรอกม้วนสาย เกิดขึ้นตั้งแต่ยุค ราชวงศ์ซ่ง แล้ว
ในภาพวาดชื่อ "หานเจียงตู้เตียวถู" โดย หม่า หยวน ศิลปินชื่อดังแห่งราชวงศ์ซ่ง แสดงให้เห็นว่าผู้ตกปลาถือเบ็ดตกปลาที่ติดรอกม้วนสาย ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเบ็ดตกปลาที่ใช้ในปัจจุบันอย่างมาก
หากนับจากข้อมูลภาพวาดนี้เป็นหลักฐานแสดงถึงการเริ่มใช้ เบ็ดตกปลาระยะไกลในประเทศจีน เบ็ดตกปลาที่มีรอกม้วนสายจึงปรากฏในประเทศจีนมาแล้วอย่างน้อย 800 ปี
นอกจากนี้ ในหนังสือ "คุจินถูฮว่า" ยังรวบรวมภาพพิมพ์แกะไม้ในสมัยราชวงศ์หมิง ชื่อ "เตียวเชอถู" ซึ่งแสดงให้เห็นชายชราคนหนึ่งกำลังตกปลา มือซ้ายถือเบ็ดตกปลาที่มีรอก มือขวาดึงสาย และมีเต่าชนิดหนึ่งถูกลากขึ้นมาจากน้ำ
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ในยุคราชวงศ์หมิง เบ็ดตกปลาที่มีรอกม้วนสายได้แพร่หลายในหมู่ประชาชนทั่วไปแล้ว
และเพราะเหตุนี้เอง โจวอี้หมินจึงกล้ามอบชุดอุปกรณ์ตกปลานั้นให้กับคุณตาจ้าวอย่างมั่นใจ
เมื่อเผชิญกับคำถามจากคุณตาจ้าว โจวอี้หมินไม่ได้แสดงความกังวลใดๆ เพียงแค่ส่ายศีรษะเล็กน้อยและตอบว่า
“ไม่ทราบเหมือนกัน เพื่อนให้มา อาจจะเป็นของต่างประเทศก็ได้”
แล้วของต่างประเทศล่ะ จะเป็นอะไรนักหนา?
อย่าเพิ่งมองว่าจีนในตอนนั้นดูเหมือนจะปิดกั้นตัวเองมากนัก อันที่จริงสินค้านำเข้าภายในประเทศมีไม่น้อยเลย เช่น นาฬิกาข้อมือ ส่วนใหญ่ก็มักเป็นแบรนด์จากต่างประเทศ
โดยเฉพาะที่ร้านมิตรภาพ ซึ่งเต็มไปด้วยสินค้าจากต่างประเทศ
ทุกคนก็น่าจะทราบว่า ร้านมิตรภาพ นั้นแตกต่างจากร้านค้าทั่วไป เพราะในช่วงแรกเปิดให้บริการเฉพาะแขกชาวต่างชาติเท่านั้น
สินค้าที่วางขายในร้านมิตรภาพเป็นสินค้าที่หาซื้อไม่ได้ตามตลาดทั่วไป หลายรายการถือเป็นสินค้าพิเศษที่จัดไว้เฉพาะในยุคนั้น
ตัวอย่างเช่น อาหารกระป๋องจากเหมยหลิน ในเมืองเซี่ยงไฮ้ ขนมตะวันตกจากร้านฉี๋ซื่อหลิน ในเมืองเทียนจิน งานปักสองหน้าจากซูโจว ผ้าไหมทอลายจากหางโจว เสื้อขนแกะจากเสวี่ยเหลียน ในปักกิ่ง
รวมถึงสินค้าที่คนจีนใฝ่ฝันในยุคนั้น เช่น จักรยาน นาฬิกาข้อมือ...
และยังมีเครื่องใช้ไฟฟ้านำเข้า วิสกี้ และบุหรี่ยี่ห้อ มาร์ลโบโร ซึ่งเป็นสินค้าขายเฉพาะที่ร้านแห่งนี้
ปัจจุบัน ร้านมิตรภาพยังมีคำขวัญว่า
“สินค้าที่มีขายในตลาด เราต้องมีของดีที่สุด; สินค้าที่ขาดตลาด เราต้องมีไว้ให้; และสินค้าที่กำลังฮิตในต่างประเทศ เราก็ต้องมีเช่นกัน!”
ดังนั้น แม้ว่าโจวอี้หมินจะยอมรับว่าอุปกรณ์ตกปลานั้นเป็นสินค้าต่างประเทศ ก็ไม่มีปัญหาอะไร
คุณตาจ้าวเองก็ไม่ได้ใส่ใจว่ามันจะเป็นของต่างประเทศหรือไม่ และพอใจกับชุดเบ็ดตกปลาที่โจวอี้หมินมอบให้เป็นอย่างมาก ถึงขั้นไม่อยากปล่อยมือจากมัน
“อี้หมิน ขอบใจมากนะ”
ถ้าเป็นสิ่งของอื่น คุณตาจ้าวอาจจะไม่รับ แต่สำหรับเบ็ดตกปลาชุดดีขนาดนี้ เขาก็ปฏิเสธไม่ลงจริงๆ
ในใจเขากำลังตั้งความหวังไว้ว่า เบ็ดตกปลาชุดนี้จะช่วยกู้หน้าเขาได้ และทำให้เขาโดดเด่นในสนามตกปลา เขาเริ่มจินตนาการถึงภาพตัวเองที่ตกปลาได้เรื่อยๆจนดึงดูดสายตาของเพื่อนนักตกปลาคนอื่น
เขาแทบอยากจะหาที่นั่งตอนนี้แล้วเริ่มเหวี่ยงเบ็ดสักสองสามครั้ง
แต่ถึงอย่างนั้น คุณตาจ้าวก็ไม่ได้คิดจะรับของขวัญชิ้นใหญ่นี้ไปเปล่าๆแน่นอน
สิ่งที่เขาจะมอบคืนให้ย่อมต้องเป็นของขวัญใหญ่ เช่นกัน แม้ว่าจะไม่ได้ให้ในวันนี้ก็ตาม
หลังจากได้พูดคุยกัน โจวอี้หมินถึงได้รู้ว่า พี่เขยของหัวหน้าถิงมีชื่อว่า จ้าวเจียต้ง ซึ่งทำงานในฝ่ายโฆษณาและวัฒนธรรม ตำแหน่งก็ไม่ใช่ธรรมดาเลยทีเดียว!
บ้านตระกูลจ้าวไม่มีปัญหาเรื่องขาดแคลนอาหาร มีทั้งเนื้อหมู เนื้อแกะ และอื่นๆจึงทำให้พ่อครัวเหอ สามารถแสดงฝีมือได้เต็มที่ เขาเตรียมอาหารถึงหกอย่างที่ครบถ้วนทั้งสีสัน กลิ่น และรสชาติ
ลองคิดดูเถอะ ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นในบ้านตระกูลจ้าว แค่หัวหน้าถิงคนเดียวที่ดูแลทรัพยากรด้านขนส่งของโรงงานเหล็กขนาดใหญ่ จะหาของกินดีๆมาให้ครอบครัวก็ง่ายดายเหลือเกิน
ในโลกนี้ ไม่ว่าคนทั่วไปจะลำบากเพียงใด แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่มที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการกินอยู่
ตามที่คุณตาจ้าวกล่าวไว้ เขาต่อสู้ในสนามรบมาครึ่งชีวิต ผ่านทั้งความเป็นและความตาย จะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไม่ได้เลยหรือ? กินดีๆสักหน่อยจะเป็นอะไรไป?
คุณตาจ้าวเป็นทหารเก่ากองทัพแดง เคยร่วมรบในสงครามต้านญี่ปุ่นและสงครามปลดปล่อยประเทศชาติ แม้กระทั่งเมื่อไม่กี่ปีก่อนก็ยังเคยไปเยือนกรุงโซลแบบไม่ต้องใช้หนังสือเดินทางด้วยซ้ำ
เขาเพิ่งปลดเกษียณได้เพียงแค่สองถึงสามปีเท่านั้น
สำหรับโจวอี้หมิน เรื่องนี้ถือว่าสมเหตุสมผล
เหมือนในยุคหลัง หากลูกหลานของวีรชนที่เสียสละเพื่อชาติได้รับสิทธิพิเศษในการเพิ่มคะแนนสอบเข้ามัธยมหรือมหาวิทยาลัยบ้าง ก็ถือว่าไม่เกินเลย เพราะพวกเขาเสียเลือดเพื่อประเทศชาติ สร้างคุณูปการมากมาย การเพิ่มคะแนนให้บ้างจะเป็นอะไรไป?
“พ่อ อย่าดื่มเยอะนักเลย หมอบอกว่า...”
คุณตาจ้าวไม่พอใจ
ต่อสู้ในสนามรบมาครึ่งชีวิต ดื่มมากกว่านี้อีกสักสองแก้วจะเป็นอะไรไป?
“หมออะไรกัน? พ่อรู้ลิมิตตัวเอง ไม่ต้องมาสอน!”
มีที่ไหนกัน ลูกมาสั่งพ่อ!
พูดหมอบ้าง หมอไม่พูดบ้าง คุณตาจ้าวไม่สนใจคำแนะนำของหมอแม้แต่น้อย
เขามีรอยกระสุนหลายแห่งบนร่างกาย ครั้งหนึ่งที่อาการหนักมาก หมอยังบอกเลยว่าเขาคงอยู่ได้ไม่นาน แล้วตอนนี้ล่ะ? เขายังมีชีวิตอยู่ดี กินข้าวสวยสักสองสามชามยังไม่มีปัญหา
จ้าวเจียต้งและคนอื่นๆได้แต่เงียบไป
คุณตาจ้าวพูดว่า "รู้ลิมิตตัวเอง" งั้นหรือ?
แม้ว่าในโต๊ะอาหารจะมี โจวอี้หมิน ซึ่งถือว่าเป็น “คนนอก” อยู่ด้วย แต่บรรยากาศในงานเลี้ยงก็เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ทุกคนดื่มกินกันอย่างมีความสุข
โจวอี้หมินค่อยๆ คลายความระวังใจที่มีอยู่ เขาสังเกตเห็นว่าคุณตาจ้าวเป็นคนตรงไปตรงมา เป็นคุณลุงที่นิสัยน่ารัก และดูเหมือนไม่ใช่คนที่คิดเล่ห์เหลี่ยมใส่ใคร
พูดตามตรง ในการมาร่วมรับประทานอาหารครั้งนี้ โจวอี้หมินยังคงระวังตัวอยู่บ้าง เพราะตามสุภาษิตว่า "อย่ามีใจคิดร้ายกับคนอื่น แต่ต้องระวังใจคนอื่นที่อาจคิดร้ายกับเรา"
แต่ทุกคนก็มักพูดว่า "ให้ดูนิสัยคนหลังดื่มสุรา" หลังจากที่คุณตาจ้าวดื่มไปหลายแก้ว ใบหน้าก็เริ่มแดงขึ้น แต่คำพูดคำจายังคงตรงไปตรงมา สิ่งนี้ทำให้โจวอี้หมินเลิกกังวลใจ และเริ่มพูดคุยกับทุกคนอย่างเปิดอก
“อี้หมิน! คำพูดพวกนี้ วันหลังอย่าไปพูดข้างนอกสุ่มสี่สุ่มห้า” จ้าวเจียต้งเตือน
ในฐานะที่เขาทำงานในฝ่ายโฆษณาและวัฒนธรรม เขาไวต่อคำพูดและถ้อยคำเป็นพิเศษ
ก่อนหน้านี้ สิ่งที่โจวอี้หมินพูดในระหว่างการสนทนานั้น มีบางคำที่ “เกินขอบเขต” อยู่บ้าง หากพูดออกไปข้างนอกแล้วโดนคนเจตนาไม่ดีหยิบไปใช้ อาจทำให้เกิดปัญหาได้
แต่คุณตาจ้าวกลับหัวเราะและพูดว่า
“พวกเธอน่ะห้ามพูดอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า แต่ให้โจวอี้หมินพูดได้ ไม่มีปัญหา”
ส่วนเหตุผล คุณตาจ้าวไม่ได้อธิบาย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จ้าวเจียต้ง และ ถิงเซิงไท่ ก็ตกใจเล็กน้อย และอดสงสัยไม่ได้ว่า
"เขาเป็นใครกันแน่?"
โจวอี้หมินพูดขึ้นว่า
“คุณลุงจ้าว ไม่ต้องกังวลครับ เพราะที่นี่ไม่มีคนนอก”
เขาจงใจพูดเช่นนั้น
เมื่อเห็นว่าจ้าวเจียต้งและคนอื่นๆเตือนด้วยความหวังดี ทำให้เขามั่นใจมากขึ้นว่าจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในอนาคตได้
(จบบท)