ตอนที่ 37 สถานการณ์บนภูเขา
ตอนที่ 37 สถานการณ์บนภูเขา
หลังจากทิวทัศน์รอบๆ มืดมิดชั่วขณะหนึ่ง จิตสำนึกของสวี่จื้อก็กลับสู่ร่างเดิม
น่าเสียดายที่เธอไม่รู้ว่าโลกภายนอกจะตอบสนอง และจัดการกับมันอย่างไรหลังจากที่เห็นร่างวิญญาณของเธอจู่ๆ ก็สลายหายไป แต่นั่นก็ไม่สำคัญ เธอจะได้รู้ในการไปเยือนครั้งหน้า
แต่สวี่จื้อ มันจะต้องสร้างประทับใจที่ไม่มีวันลืมให้กับผู้คนในห้องนั้นอย่างแน่นอน และทำให้พวกเขาต้องให้ความสนใจในตัวเธอมากขึ้น วิธีที่ดีที่สุดคือ สงสัยในความสัมพันธ์ของเธอกับ ‘สวี่จื้อ’ ท้ายที่สุดร่างวิญญาณของเธอก็ดูคล้ายกับตัวจริงของเธอราวกับแกะ
เมื่อพวกเขาได้รู้ว่าเธออยู่ในเมืองหยุน เธอเชื่อว่าพวกเขาจะจริงจังกับเรื่องนี้
ด้วยวิธีนี้ เธอจะได้ไม่จำเป็นต้องเหนื่อยกับการเริ่มต้นใหม่ทุกครั้งที่ปรากฏตัวข้างนอก และต้องหาทางติดต่อกับองค์กรต่างๆ หรือแม้แต่ทางรัฐบาลกลางเอง
เพราะพวกเขาจะเป็นฝ่ายมาหาเธอเอง
แต่สวี่จื้อก็ได้คำนึงความเสี่ยงไว้แล้ว ตัวอย่างเช่น เมื่อร่างวิญญาณปรากฏตัวในโลกภายนอก มันจะถูกตามล่า และกักขังโดยทางรัฐบาล และเธอจะไม่สามารถทำอะไรได้อีก
เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงมากเดิมซ้ำ
ตอนนี้รัฐบาลกลางกำลังกังวลเกี่ยวกับเมืองหยุน เมื่อพวกเขารู้ว่าเธออาจมาจากเมืองนี้ พวกเขาจะต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ และพยายามเค้นข้อมูลเกี่ยวกับเมืองจากตัวเธอเป็นแน่
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้เห็นร่างวิญญาณของเธอสลายตัว และร่างใหม่ปรากฏขึ้น พวกเขาก็จะรู้ว่ามีโอกาสน้อยที่จะคุกคามชีวิตของเธอได้
ครั้งต่อไป เธอจะรับมือด้วยการสร้างร่างวิญญาณด้วยแก่นพลังจำนวนน้อยๆ เมื่ออีกฝ่ายพบตัวเธอ และพยายามจะจับกุม พวกเขาจะได้มีเวลาเพียงน้อยนิดในการข่มขู่เธอ และพยายามเค้นข้อมูล
หลังจากที่เห็นเธอจากไปอีกครั้ง ทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อเธอก็น่าจะเปลี่ยนไป เกรงว่ามันจะเป็นการเจรจากับเธอมากกว่า ไม่ว่าจะโดยการข่มขู่หรือชักจูง หรือใช้พลังวิเศษ
แต่ก็มีปัญหาอยู่อีกอย่างนั้นคือ พวกเขาอาจพยายามทำให้เธอหมดสติเมื่อปรากฏตัว จะได้ไม่มีโอกาสต่อต้าน แล้วใช้วิธีสุดโต่งบางอย่างเพื่อเค้นข้อมูลจากเธอ เมื่อเป็นแบบนี้ เธอก็ต้องระวังให้มากขึ้น
เมื่อจัดระเบียบความคิดแล้ว ความคิดที่กล้าหาญมากก็ผุดขึ้นมาในใจของสวี่จื้อ
สิ่งแรกที่เธอทำหลังจากกลับมาสู่ร่างจริงก็คือ บันทึกจุดเกิดล่าสุด
[ ค่าใช้จ่ายในการบันทึกจุดเกิด : แก่นพลัง 10 ก้อน ]
“ฟ่อ”
สวี่จื้อสูดหายใจเข้าอย่างแรง
"นี่มันแพงเกินไป!"
มากกว่าจำนวนแก่นพลังที่เธอใช้ในการสร้างร่างวิญญาณเสียอีก และช่างบังเอิญว่าในคลังเก็บของ มีแก่นพลังอยู่ 10 ก้อนพอดิบพอดี
“นี่มันขู่กรรโชกกันชัดๆ”
[ อย่ากล่าวหาเราเช่นนั้น ค่าใช้จ่ายจะสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับจุดเกิดที่คุณต้องการบันทึก ยิ่งสถานที่นั้นอยู่ห่างไกล และลึกลับแค่ไหน ค่าใช้จ่ายก็จะยิ่งมากขึ้น แก่นพลัง 10 ก้อนเป็นราคาที่เหมาะสมแล้ว ]
ผู้บรรยายในตัวเกมตอบอย่างใจเย็น
สวี่จื้อคลิกเพื่อยืนยันการบันทึกด้วยความลำบากใจ จากนั้น จุดเกิดจุดหนึ่งก็ส่องแสงบนหน้าแผนที่
หลังจากทำเช่นนี้ สวี่จื้อคลิกไปที่ฟังก์ชั่นใหม่ที่เพิ่มเข้ามาหลังตัวเกมอัปเดต กล่องความคิดเห็น
[ ร่างวิญญาณไม่สามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ และทำให้มีเพียงภาพลักษณ์ที่ตายตัวเท่านั้น ฉันไม่ค่อยชอบมัน ]
สวี่จื้อเขียนความเห็นของตัวเองลงไป
เธอจงใจใช้คำพูดที่ไร้ความปรานี ราวกับกำลังชี้นิ้วสั่ง เพื่อดูว่าตัวเกมจะตอบรับคำขอของเธอยังไง
นี่คือความคิดที่กล้าหาญของสวี่จื้อ
ถ้ารัฐบาลกลางไม่ให้สนใจกับร่างวิญญาณมากเท่าที่เธอคิดเอาไว้ จะเป็นการดีกว่าหากเปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่แล้ว เริ่มแผนการอื่น
หลังจากกดส่ง ข้อความตอบกลับก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอเกมในวินาทีถัดมา
[ ความคิดเห็นของคุณถูกส่งไปแล้ว และจะได้รับการตอบกลับภายในเวลาไม่เกิน 5 นาที ]
“เร็วมาก”
สวี่จื้อคิดว่าจะต้องรอคำตอบเป็นวัน คิดไม่ถึงเลยว่าจะใช้เวลาในการประมวลผลคำขอเพียง 5 นาทีเท่านั้น
[ ทำการเพิ่มฟังก์ชั่นใหม่ของร่างวิญญาณใหม่แล้ว ผู้เล่นสามารถใช้แก่นพลัง 1 ก้อนเพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์ของร่างวิญญาณได้ ]
สวี่จื้อเงียบไป
แม้ว่าเธอจะเดาว่าจากทัศนคติที่ตัวเกมมีต่อเธอ คำขอก่อนหน้านี้น่าจะได้รับการตอบรับ แต่เธอก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่ามันจะราบรื่นถึงขนาดนี้
หรือจะมีวิญญาณสิงอยู่ในเครื่องเกม และเธอเป็นลูกหลานของวิญญาณดวงนั้น แต่ก็ไม่น่าจะตามใจกันถึงขนาดนี้ได้
แต่ไม่ว่าเป็นยังไง นั่นไม่สำคัญ ตอนนี้ความกังวลของเธอหมดไปแล้ว และเธอก็จะสามารถใช้ร่างวิญญาณได้อย่างอิสระ และปรับเปลี่ยนแผนการตามต้องการได้
สวี่จื้อคิดอยู่พักหนึ่ง และเขียนความเห็นอีกอย่างไปด้วยลังเล
[ ตอนนี้ฉันคิดว่าตัวเองมีแฟมิเลียน้อยเกินไปแล้ว ขอเพิ่มอีกสักสองสามตนได้หรือเปล่า ]
ในไม่ช้า คำตอบก็มา แต่คราวนี้มันไม่ใช่คำตอบที่เธอคาดหวังเอาไว้
[ เมื่อผู้เล่นแข็งแกร่งขึ้น แฟมิเลียใต้อาณัติก็จะเพิ่มจำนวนขึ้น โปรดพยายามต่อไป ]
"ดูเหมือนว่าเรื่องสำคัญๆ จะถูกปฏิเสธ"
สวี่จื้อพยายามอีกสองสามครั้งอย่างติดต่อกัน และในที่สุดก็ยืนยันว่าเกมจะไม่เปลี่ยนแปลงสิ่งใดที่มีผลต่อการปรับปรุงความแข็งแกร่งของเธอ แต่จะตอบคำขอเล็กๆ น้อยๆ
แต่ถึงคำขอบางอย่างจะดูเล็กน้อย แต่มันก็ช่วยให้เธอสะดวกสบาย และทำอะไรหลายๆ อย่างได้ง่ายขึ้น
มันให้ความรู้สึกว่าเธอถูกตามใจ แต่ก็ยังมีขอบเขต และพยายามเตือนให้เธอพยายามให้มากกว่านี้
เมื่อออกความเห็นไปหลายอย่าง ตัวเกมที่บางระบบค่อนข้างหยาบก็ดูสมบูรณ์ขึ้น ง่ายต่อการใช้งาน และดูเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน
"นายเป็นตัวอะไรกันแน่"
สวี่จื้อถามมองไปที่เครื่องเกม
แต่เครื่องเกมกลับไม่มีการตอบสนองใดๆ จากนั้นในห้องก็เงียบสงัดไปพักหนึ่ง
“ช่างเถอะ”
สวี่จื้อหันเหความสนใจ ในตอนนี้เธอมีเรื่องเร่งเด่นที่ต้องทำเพราะไม่มีแก่นพลังเหลืออยู่ในมือเลยแม้แต่ก้อนเดียว
ความยากกำลังบีบคั้นเธอ บังคับให้สวี่จื้อกระตุ้นให้แฟมิเลียพยายามให้มากขึ้นในการล่า หากพวกมันไม่ทำงานอย่างหนัก เธอจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร
หลังจากการล่าในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เสี่ยวเจินก็ยกระดับมาถึงเลเวล 14 แล้ว และขาดอีกเพียงก้าวเดียวก็จะไปถึงเลเวล 15 ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะผลไม้สีดำที่สวี่จื้อมอบให้
ด้วยเสี่ยวอี้และโก้วจื่อทำให้กำลังรบบนภาคพื้นดินของเธอแข็งแกร่งพอแล้ว แต่สำหรับกำลังรบทางอากาศ ต้องอาศัยเสียวเจินเพียงตัวเดียวเท่านั้น นั่นเป็นเหตุผลที่สวี่จื้อมอบผลไม้สีดำให้มัน
ตอนนี้ทั้งโก้วจื่อและเสี่ยวเจินกำลังจะไปถึงเลเวล 15 และเสี่ยวอี้กำลังจะไปถึงเลเวล 21
หลังจากมาถึงเลเวล 20 ความเร็วในการยกระดับของเสี่ยวอี้ก็ช้าลง แต่สิ่งที่กวนใจสวี่จื้ออยู่ก็คือหลังจากป้อนแก่นพลังคมมีดจำนวนมากให้ ระดับของสกิลวิวัฒนาการของเสี่ยวอี้ก็ยังไม่เพิ่มขึ้นเลย
รวมถึงตัวเธอเองด้วย
ช่างเป็นสกิลที่ยกระดับได้ยากจริงๆ
สวี่จื้อมองไปที่เสี่ยวอี้ที่เลี้อยไปมาบนภูเขาในหน้าจอเกม และพร่ำบ่นในใจ
ก่อนที่จะถึงเลเวล 20 สวี่จื้อรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับสัตว์กลายพันธุ์ในภูเขาอยู่ก่อนแล้ว แต่ตอนนั้นเธอยังไม่คิดจะให้เสี่ยวอี้ไปสำรวจเพราะมันยังอ่อนแอเกินไป ในภูเขาและป่าทึบน่าจะมีสัตว์กลายพันธุ์มากมาย จึงน่าจะอันตรายกว่าในเขตชุมชนที่มีผู้คนเคยอาศัยอยู่มาก
แต่ตอนนี้ ความสามารถในการป้องกันตนเองของเสี่ยวอี้ได้เพิ่มขึ้นมาก สวี่จื้อจึงยอมให้มันออกไปสำรวจด้วยความมั่นใจ
ผลลัพธ์ก็อย่างที่คิด มีสัตว์กลายพันธุ์ในภูเขามากกว่าในเมืองสองเท่า และง่ายต่อการค้นหาแกนพลัง
เมื่อเสี่ยวอี้มุ่งพบฝูงลิงที่อยู่บริเวณชายชอบของภูเขา และเตรียมที่จะโจมตี ลิงที่หวาดกลัวก็ได้ทำสิ่งที่สวี่จื้อคาดไม่ถึง
ลิงตัวหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นตัวจ่าฝูงได้ขว้างแก่นพลังมาทางเสี่ยวอี้ จนรวมกันกองใหญ่มากกว่าหนึ่งโหล มันไม่ได้วิ่งหนีหรือโจมตี แต่นำลิงตัวอื่นมายืนอยู่ที่นั่นพร้อมกับเนื้อตัวที่สั่นเทา
มันกำลังขอยอมแพ้เหรอ?