ตอนที่ 10 นิค ฟิวรี่
ตอนที่ 10 นิค ฟิวรี่
สองเดือนผ่านไป
ฤดูหนาวในนิวยอร์กยังคงหนาวเหน็บ หิมะที่ตกหนักปกคลุมทุกมุมเมือง แม้ว่าวันวาเลนไทน์จะใกล้เข้ามา แต่บรรยากาศในเมืองกลับไม่เป็นใจให้กับคู่รักที่กำลังมองหาความโรแมนติกเลยสักนิด
เอริคนั่งอยู่ในร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด มองเงาสะท้อนตัวเองในหน้าต่างกระจก เขายังคงรู้สึกไม่คุ้นเคยกับรูปลักษณ์ใหม่
ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานกว่าสองเดือนแล้วนับตั้งแต่ร่างกายของเขาได้รับการฟื้นฟูจาก เซรุ่มซูเปอร์โซลเยอร์ และพลังของเตียงฟื้นฟู ซึ่งการทดลองนี้มันไม่เพียงแต่จะทำให้เขากลับมาสู่จุดสูงสุดของร่างกาย แต่รูปลักษณ์ของเขายังอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ
อย่างไรก็ตาม รูปลักษณ์ใหม่มันกับไม่ได้เป็นเหมือนที่เขาคิดเอาไว้เลย เพราะใบหน้าของเขาในตอนนี้ไม่ได้ดูเหมือนแม็กนีโตตอนหนุ่มเหมือนกับต้นฉบับ แต่กลับเป็นการผสมผสานระหว่างเสน่ห์แบบชาวตะวันออกและลักษณะของชาวยิวอย่างลงตัว
ดังนั้นเพื่อตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ เอริคจึงเดินทางไปพบแอนเชียนวันที่อาศรมเวทย์ในนิวยอร์กอีกครั้ง และหลังจากได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียด แอนเชียนวันก็ได้ให้คำอธิบายที่ชวนฉงนว่า “วิญญาณน้ำหนัก 21 กรัมของเจ้าสามารถผลักดันน้ำหนัก 140 ปอนด์ของร่างกายได้สำเร็จแล้ว”
แม้ว่าคำพูดนี้จะฟังดูไม่เป็นวิทยาศาสตร์เลย แต่เอริคก็ได้แต่ยอมรับมันอย่างไม่มีทางเลือก . . .
ในขณะเดียวกันแอนเชียนวันยังพูดเสริมขึ้นมาด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ว่า “ถ้าหากรูปลักษณ์ของเจ้าเหมือนแม็กนีโตตอนหนุ่มราวกับโคลนร่างออกมาจริง ๆ เจ้าจะอธิบายตัวเองว่าอย่างไร? จะให้อธิบายว่าเจ้าเป็นลูกชายของเขาหรือไง?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้เอริคก็ถึงกับพูดไม่ออก เพราะเมื่อลองพิจารณาดูแล้ว เขายอมรับว่าคำพูดนี้ค่อนข้างสมเหตุสมผลดี ถ้าหากแม็กนีโตตอนหนุ่มได้เผชิญหน้ากับแม็กนีโตตอนแก่มันคงสร้างความสับสนไม่น้อย
นอกจากนี้หลังจากผ่านมาสองเดือนคลื่นพัลส์แม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดจากเอริคในตอนนั้นก็ค่อย ๆ ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และไม่มีกองกำลังใดสอบสวนเจอสาเหตุของเรื่องนี้ ดังนั้นตอนนี้มันจึงเป็นคดีที่ยังไม่มีใครทราบว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
“แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ช่วยตัดปัญหาไปได้เยอะเลย” เอริคเอามือลูบคาง และเหลือบมองไปที่หนังสือพิมพ์บนโต๊ะ
ตอนนี้บนหนังสือพิมพ์หน้าแรกกำลังพาดหัวข่าวที่กำลังเป็นกระแสในช่วงนี้
ขุนนางยุโรป ไวเคานต์ชาร์ลส์ แลนเซอร์ พบลูกชายที่หายไปอย่างยาวนานของเขา!
โดยในหนังสือพิมพ์ได้ระบุเอาไว้ว่า ลูกชายที่หายไปของไวเคานต์ผู้นี้ได้กลับมาพบกับบิดาของตน พร้อมด้วยรางวัลมูลค่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่ทำให้เหล่านักล่าเงินรางวัลหลายคนต้องผิดหวัง อย่างไรก็ตาม เรื่องกลับพลิกผันเมื่อไวเคานต์ผู้สูงวัยล้มป่วยกะทันหันหลังการพบปะ และเสียชีวิตในคืนนั้น
ด้วยเหตุนี้เองเอริค แลนเซอร์จึงได้สืบทอดตำแหน่งเก่าของพ่อและทรัพย์สินมหาศาลของเขาโดยธรรมชาติ
ทำให้เหตุการณ์นี้ถูกพาดหัวข่าวไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วและกลายเป็นบทสนทนาระหว่างทานอาหารเย็น
“ทุกอย่างก็แค่ละครบทหนึ่ง” เอริคพึมพำเบา ๆ พลางเอนหลังจิบโค้ก และมองรอบ ๆ อย่างสบายอารมณ์
แต่บรรยากาศที่ผ่อนคลายนี้กับอยู่ได้ไม่นาน . . .
ทันใดนั้นชายผิวดำร่างสูงใหญ่ก็เดินเข้ามาในร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด พร้อมกับปัดเกล็ดหิมะออกจากเสื้อโค้ท เดินไปสั่งอาหาร และมองหาโต๊ะว่าง ก่อนจะเดินตรงมายังโต๊ะของเอริค
“ขอโทษ นายรังเกียจไหมถ้าฉันขอนั่งด้วย?” แม้ว่าคำถามจะฟังดูสุภาพ แต่ชายผิวดำกลับนั่งลงโดยไม่รอคำตอบของเขาเลยแม้แต่น้อย
“นายนี่หน้าด้านจริง ๆ เลยนะ!” เอริคมองไปที่ชายผิวดำที่นั่งลงโต๊ะเดียวกับเขาอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย แต่เมื่อเอริคเงยหน้ามองอีกฝ่ายเขาก็จำได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
ชายผิวดำคนนี้ก็คือ นิค ฟิวรี่ พ่อหัวไข่ต้มที่มีชื่อเสียงโด่งดัง!
แต่ตอนนี้นิค ฟิวรี่ไม่ได้หัวล้านเหมือนในต้นฉบับ และยังมีผมอยู่บนหัว ทำให้เอริคที่ชินกับฟิวรี่ที่หัวล้านรู้สึกแปลก ๆ เล็กน้อย
“หมายว่าความไง? หรือว่านายจะไม่ชอบคนผิวดำ? ระวังฉันจะตะโกนบอกทุกคนว่านายเป็นคนเหยียดเชื้อชาติ!” ฟิวรี่ที่มีผมอยู่บนหัวพูดขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ และอ้าปากกัดเบอร์เกอร์ครึ่งหนึ่งด้วยการกัดเพียงครั้งเดียว
“เอฟบีไอ หรือ ซีไอเอ?” เอริคแสร้งทำเป็นไม่รู้จักอีกฝ่าย และขยับจานอาหารของตัวเองไปด้านข้างเพราะกลัวน้ำลายของอีกฝ่ายจะกระเด็นใส่
“กองงานยุทธวิธีจัดระเบียบกำลังพิเศษแห่งมาตุภูมิ! ฉันเป็นผู้อำนวยการสาขานิวยอร์ก นิค ฟิวรี่” ฟิวรี่ยักไหล่เล็กน้อย และไม่ได้แปลกใจกับคำถามของเอริค
“ชื่อบ้าอะไรยาวชะมัด!” เอริคบ่นพึมพำเบา ๆ และถามขึ้นมาว่า “ฉันจ่ายภาษีมรดกไปแล้ว นายต้องการอะไรจากฉันอีก?”
“เราแค่อยากเกี่ยวกับที่มาของนาย” ฟิวรี่กัดเบอร์เกอร์ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง และเคี้ยวสองสามครั้งก่อนจะกลืนมันลงคอ “ใบขับขี่ หมายเลขประกันสังคม บัตรเครดิต บันทึกการเข้าออกประเทศ เราได้ตรวจสอบทุกอย่างที่จะทำได้แล้ว แต่เราไม่พบร่องรอยอะไรของนายเลย ราวกับว่าจู่ ๆ นายก็ปรากฎตัวขึ้นมาอย่างลึกลับ! นอกจากนี้เรายังสงสัยอีกว่านายเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระเบิดที่ทำให้อุปกรณ์ทั้งหมดเป็นอัมพาตเมื่อสองเดือนก่อน”
“มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรไม่ใช่หรอ? บนโลกนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่มีอยู่จริง ยกตัวอย่างเช่น แอเรีย 51 และอื่น ๆ อีกมากมาย”
“นายเป็นมนุษย์ต่างดาว?” ฟิวรี่มองไปที่เอริคด้วยความประหลาดใจ
“ไม่ใช่ ฉันเป็นคนจากแผนกพิเศษ!” เอริคยิ้มอย่างลึกลับ ก่อนจะส่ายหัวเล็กน้อย “นอกจากนี้นายน่าจะไม่มีสิทธิ์รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้”
“โอ้? แผนกพิเศษ? ฉันเชื่อว่าฉันได้รับอนุญาตในการตรวจสอบข้อมูลจากแผนพิเศษส่วนใหญ่ในอเมริกาเกือบหมด นอกจากนี้ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้รับอนุญาต ฉันก็สามารถยื่นคำร้องต่อผู้บังคับบัญชาชาได้”
‘ขออนุญาต? ทำไปก็เปล่าประโยชน์ สิ่งที่ฉันพูดมันมีอยู่จริงซะที่ไหน’ เอริคยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“นายเอริค . . .”
ในขณะที่ฟิวรี่กำลังจะพูดเรื่องอื่นต่อ ทันใดนั้นมันก็มีเสียงปืนดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ปัง! ปัง! . . .
เสียงปืนดังก้องเหมือนสายฝนโปรยปราย
“กริ๊ด!! ใครก็ได้ช่วยด้วย!!”
เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังระงมไปทั่ว ทำให้ทั้งละแวกตกอยู่ในความโกลาหลทันที
นิค ฟิวรี่รีบดีดตัวลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะดึงปืนพกออกมาจากเอวพร้อมกับวิ่งตรงไปยังต้นเสียงโดยไม่ลังเล
“วันหยุดแสนสงบของฉันต้องพังทลายลงเพราะต้องมาเจอกับไอ้คนงี่เง่า”
ถึงแม้ปากของเอริคจะบ่น แต่แววตาของเขากลับฉายแววสนใจ เพราะเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในย่านใจกลางนิวยอร์ก โดยเฉพาะในเวลากลางวันแสก ๆ ที่กำลังมีใครบางคนกล้าถือปืนจี้ตัวประกันที่เป็น แถมตัวประกันยังเป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ
เด็กผู้หญิงคนนี้ . . . น่าจะไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน!
นิค ฟิวรี่ วิ่งลัดเลาะไปตามท้องถนน ก่อนจะหยุดอยู่หลังรถคันหนึ่งเพื่อใช้เป็นที่กำบัง และใช้ดวงตาสอดส่องสถานการณ์รอบตัวอย่างระมัดระวัง ในขณะเดียวกันก็รายงานสถานการณ์และเรียกกำลังเสริมทางวิทยุ
ตรงหน้าของเขามีกลุ่มโจรมีอย่างน้อยสิบคน ใบหน้าของทุกคนทุกคลุมหน้าด้วยหมวกไอ้โม่งและติดอาวุธครบมือ บวกกับการเคลื่อนไหวของพวกเขาที่เป็นระเบียบแบบแผน เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
ในขณะเดียวกันกลุ่มโจรส่วนหนึ่งก็ค่อย ๆ พาตัวเด็กผู้หญิงเข้าไปในอาคารสำนักงาน ส่วนที่เหลือก็คอยยิงตอบโต้ตำรวจจากหน้าต่างของตัวอาคาร
“อะไรนะ? ตัวประกันคือคุณหนูเพียร์ซ?” หลังจากนั้นไม่นานนัก ฟิวรี่ก็ได้รับสายจากผู้บังคับบัญชาอย่างรวดเร็ว และเมื่อรู้ว่าตัวประกันเป็นใครเขาก็อารมณ์เสียทันที
“คุณหนูเพียร์ซ? เธอคือใคร?” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากข้างหลัง ทำให้ฟิวรี่สะดุ้งโหยง และหันควับไปมองด้านหลังทันที ก่อนที่เขาจะเห็นเอริคที่ยืนอยู่ใกล้กันจนแทบจะหายใจรดต้นคอ
“เฮ้! นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่?! เกือบโดนฉันยิงแล้วรู้ไหม!” ฟิวรี่พูดตะคอกเสียงดังด้วยความตกใจ
“ฉันเดินตามนายมา แต่นายไม่สังเกตเห็นเอง” เอริคตอบพลางยักไหล่ด้วยท่าทางไร้เดียงสา
“แม่งเอ้ย . . .” ฟิวรี่กัดฟันและสบถอีกครั้งอย่างไม่สบอารมณ์
เอริคยิ้มมุมปากและตบไหล่ฟิวรี่อย่างอารมณ์ดี “เอาน่า ใจเย็น ๆ แล้วบอกฉันทีว่าคุณหนูเพียร์ซที่นายพูดถึงเป็นใคร?”
ฟิวรี่สะบัดมือของเอริคออกจากไหล่ตัวเองทันที ก่อนจะจ้องหน้าเอริคด้วยสายตาดุดัน “เธอเป็นลูกสาวของผู้บังคับบัญชาของฉัน”
“โอ้ จริงเหรอ?” เอริคพยักหน้ารับด้วยท่าทางสนุกสนาน “งั้นเราไปช่วยเธอกันเถอะ!”
พูดจบเอริคก็ลุกขึ้นและเดินตรงไปยังอาคารสำนักงานทันที
“เดี๋ยว! อย่าเข้าไปแบบโต้ง ๆ แบบนั้นสิ!” ฟิวรี่ตะโกนตามหลังพร้อมสบถอีกครั้งด้วยความหัวเสีย แต่สุดท้ายก็จำใจวิ่งตามเอริคไป เพราะไม่อาจปล่อยให้เขาบุกเข้าไปคนเดียวได้
โปรดติดตามตอนต่อไป …