MDB ตอนที่ 518 ผลออกมาแล้ว
หากองค์ชายเฟิงจือหยงสามารถคิดออก องค์ชายเฟิงจือซานก็ต้องคิดได้เช่นกัน
เฟิงจือซานตอนนี้มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นเดียวกับพี่ชายของเขา
ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าหญิงลั่วหลี่จะตรงไปตรงมาขนาดนั้น นั่นหมายความว่าความพยายามทั้งหมดที่เขาทำเพื่อดึงดูดความสนใจของเธอก่อนหน้านี้ ทั้งหมดก็ไร้ความหมายเลยไม่ใช่เหรอ?
ท้ายที่สุดความสำเร็จของพวกเขาก็ยังคงขึ้นอยู่กับการประเมินสัตว์วิเศษ
ปัญหาคือตอนนี้เฟิงจือเฉียนได้เปรียบมากกว่า คนที่เขาจ้างมาทรงอำนาจมากเกินไป คนที่รับชื่อเสียงส่วนใหญ่ มักจะมาพร้อมกับความสามารถ แม้ว่าเฟิงจือซานจะไม่รู้ว่าผู้อาวุโสซูมีความสามารถแค่ไหน แต่อย่างน้อย ๆ มันจะต้องเหนือกว่าผู้ประเมินสี่คนอื่น ๆ อย่างแน่นอน
เฟิงจือซานหันไปหาผู้ประเมินระดับสี่สองคนที่เขาว่าจ้างมา พวกเขาสังเกตเห็นแววตาของเขา เขาจึงกระซิบตอบกลับไปว่า
“อย่ากังวลเลย ฝ่าบาท พวกเราจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยให้พระองค์ประสบความสำเร็จ”
เฟิงจือซานทำได้เพียงพยักหน้า
เขาจะว่าอะไรได้ พวกเขาทำได้แค่พยายามอย่างเต็มที่เท่านั้น
ในขณะเดียวกัน เจ้าหญิงลั่วหลี่ได้สั่งลูกน้องของเธอให้ถอดผ้าคลุมที่ปิดกรงทั้งสามอันออก
กรงเหล็กที่สร้างขึ้นอย่างพิเศษทั้งสามกรงถูกเปิดเผยออกมา แต่ละกรงสูงกว่าสามเมตร กรงเหล่านี้มีขนาดใหญ่โตมโหฬารเมื่อเทียบกับกรงทั่วไป และนอกจากนั้น กรงเหล่านี้ยังถูกประดับด้วยเครื่องรางที่ช่วยปราบสัตว์วิเศษที่อยู่ในกรง
เมื่อพวกเขาเห็นว่าภายในกรงมีอะไรอยู่ ดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ
“เป็นไปได้ยังไง?” เฟิงจือหยงอุทาน
ภาพที่เห็นนั้นช่างน่าตกตะลึงจริง ๆ
สิ่งที่อยู่ข้างในกรงทั้งสามนี้คือ 'ชี่หลง[1]'
ชี่หลงเป็นเป็นมังกรที่มีสี่ขา และชื่อของมันบ่งบอกว่าบนหัวของมันไม่มีเขา นอกจากนี้ยังมีหางที่ยาวและร่างกายที่แข็งแรง มังกรสายพันธุ์นี้มีเฉพาะในดินแดนพันเกาะเท่านั้น เช่นเดียวกับมังกรหยกที่พบได้เฉพาะในอาณาจักรมังกรหยกเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากสีสันและรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้ว ชี่หลงทั้งสามตัวก็มีลักษณะที่แทบจะเหมือนกันทุกประการ แม้กระทั่งขนาดก็เหมือนกันราวกับว่าหล่อมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน
ชี่หลงจัดอยู่ในสายพันธุ์มังกรที่หายาก ดังนั้นผู้ประเมินสัตว์ทั่วไปจึงประเมินพวกมันได้ยาก
แต่ผู้ประเมินที่มาปรากฏตัวที่นี่วันนี้คือใคร?
พวกเขาเป็นผู้ประเมินอย่างเป็นทางการระดับสี่ที่มีประสบการณ์มากมายและความรู้ที่ลึกซึ้ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าชี่หลงคืออะไร
ดังนั้นการประเมินชี่หลงจึงไม่ใช่เรื่องท้าทายสำหรับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ปัญหาที่แท้จริงคือการตัดสินว่าชี่หลงที่ดูเหมือนจะเหมือนกันทุกประการเหล่านี้ ตัวไหนเป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้าหญิงลั่วหลี่ นี่ต่างหากที่เป็นงานยากมาก
แน่นอนว่ามันไม่ได้หมายความว่ามันเป็นงานที่เป็นไปไม่ได้
ผู้ประเมินระดับสี่แต่ละคนในที่นี้มีวิธีอย่างน้อยหลายวิธีในการทดสอบความสัมพันธ์ของพันธสัญญาโลหิตของสัตว์วิเศษ
องค์ชายหนึ่งร้อนใจอย่างมาก เนื่องจากมีเพียงผู้ประเมินหยานมาช่วยเท่านั้น ทุกนาทีจึงมีค่า ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นทันที
“ผู้ประเมินหยาน โปรดช่วยตรวจสอบพวกมันด้วย”
ผู้ประเมินหยานรู้ว่าเขาไม่สามารถปฏิเสธคำขอนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้น และเดินไปที่กรง
เฟิงจือซานรู้ว่าตอนนี้ไม่มีเวลาสำหรับการถ่อมตัว ดังนั้นเขาจึงรีบให้ผู้ประเมินของเขาทำการประเมินด้วยเช่นกัน
เฟิงจือเฉียนหันไปหาหลินจินและผู้อาวุโสซู ด้วยความประหลาดใจ พวกเขาต่างดูเหมือนว่าจะไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ทำให้เขาเริ่มรู้สึกวิตกกังวลมากขึ้น
“ผู้ประเมินหลิน ท่านไม่คิดจะไปดูหน่อยเหรอ?” เฟิงจือเฉียนกระซิบถาม
หลินจินยิ้มแล้วหันไปหาซูเสี่ยวหลัว
“ผู้อาวุโสซู ทำไมท่านไม่ลองไปดูชี่หลงก่อนล่ะขอรับ?”
ซูเสี่ยวหลัวส่ายหัว ดูเหมือนจะไม่ยอมขยับเขยื้อนใด ๆ
“ข้ามาที่นี่เพื่องานเลี้ยงเท่านั้น ข้าไม่เคยบอกว่าข้าจะไปประเมินสัตว์วิเศษให้ใครเสียหน่อย”
ดูเหมือนว่าซูเสี่ยวหลัวไม่ได้ตั้งใจที่จะมีส่วนร่วมในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงบัลลังก์ของเหล่าองค์ชาย
หลินจินรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ด้วยสถานะของเธอ หากเธอต้องแข่งขันกับรุ่นน้อง ชื่อเสียงของเธออาจถูกทำลายไปชั่วข้ามคืน แม้ว่าซูเสี่ยวหลัวจะไม่สนใจเรื่องหรือกฎเกณฑ์ใด ๆ แต่เธอก็เห็นคุณค่าของสิ่งที่จับต้องไม่ได้ของสิ่งเหล่านี้
หลินจินพยักหน้าก่อนที่จะลุกจากที่นั่ง
โดยที่พวกเขาไม่รู้ว่ามีคนจำนวนมากได้เฝ้าสังเกตการกระทำของซูเสี่ยวหลัวอย่างลับ ๆ
หลังจากตระหนักว่าผู้อาวุโสซูจะไม่เข้าร่วมในกระบวนการประเมิน ทุกคนยกเว้นเฟิงจือเฉียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
นิ้วของเฟิงจื่อซานสั่นด้วยความตื่นเต้น
“ตัวเขามีสถานะผู้อาวุโส เขาคงไม่อยากจะแข่งขันกับรุ่นน้องหรอก เป็นอย่างที่ข้าคาดไว้เลย แบบนี้โอกาสที่ข้าจะชนะก็จะมีมากขึ้น”
ตอนนี้ เขามีผู้ประเมินระดับสี่สองคนมาช่วยเขา ในขณะที่เฟิงจือหยงและเฟิงจือเฉียนมีผู้ประเมินเพียงหนึ่งคนเท่านั้น ผู้เข้าร่วมที่อ่อนแอที่สุดที่นี่คือเฟิงจือเฉียน เมื่อเห็นว่าผู้ประเมินของเขายังอายุน้อยเฟิงจือซานจำได้ว่าชื่อของเขาคือหลินจิน ซึ่งเพิ่งได้รับคุณสมบัติระดับสี่เมื่อไม่นานมานี้
ทุกคนรู้ดีว่าความสามารถในการประเมินสัตว์วิเศษนั้นขึ้นอยู่กับประสบการณ์ส่วนตัว ดังนั้นสัญชาตญาณของเฟิงจือซานจึงบอกเขาว่าหลินจินจะด้อยกว่าผู้ประเมินผู้มากประสบการณ์สองคนที่เขาจ้างมาอย่างแน่นอน
ผู้ประเมินระดับสี่ทั้งสี่คนมารวมตัวกันรอบกรงทั้งสามเพื่อศึกษามังกรอย่างใกล้ชิด ในตอนแรก ทุกคนรวมถึงหลินจินคิดว่านี่จะเป็นการแข่งขันที่รวดเร็ว อย่างไรก็ตาม หลังจากประเมินเสร็จแล้ว พวกเขาก็ตกใจเกินกว่าจะพูดอะไร
องค์ชายทั้งสามแสดงความสับสนอย่างเห็นได้ชัดเมื่อตระหนักถึงสิ่งนี้
“ผู้ประเมินหยาน มีผลลัพธ์อะไรบ้าง?” เฟิงจือหยงอดไม่ได้ที่จะถาม
ผู้ประเมินหยานมีสีหน้าแปลก ๆ เขาดูไม่แน่ใจนัก และส่ายหัวออกมาเบา ๆ
เฟิงจือซานรู้สึกยินดี อย่างไรก็ตาม เขาได้รับคำตอบแบบเดียวกับผู้ประเมินหยาน สิ่งนี้ทำให้เฟิงจือซานตกตะลึงเช่นกัน
‘เกิดอะไรขึ้น?’
‘บางทีพวกเขาอาจจะพลาดรายละเอียดสำคัญอย่างหนึ่งไป?’
‘นั่นไม่ควรเกิดขึ้น พวกเขาล้วนเป็นผู้ประเมินระดับสี่ แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่ตระหนักถึงรายละเอียดดังกล่าว?’
เฟิงจือเฉียนหันไปมองเห็นหลินจินที่กำลังก้มศีรษะลงด้วยความคิดลึกซึ้ง
‘เอาล่ะ ข้าจะให้เวลาเขาคิดอีกสักพัก’ เฟิงจือเฉียนคิด
เขาคิดว่าหลินจินกับผู้อาวุโสซูจะต้องมีกลอุบายบางอย่าง เขาจึงหันไปมองไปที่ซูเสี่ยวหลัว ปรากฏว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าขบขัน ขณะจ้องมองชี่หลงสามตัวในกรง ใคร ๆ ก็เห็นรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของเขา
เมื่อการประเมินยังไม่ตกผลึก ผู้ประเมินหยานและคนอื่น ๆ จึงพยายามประเมินสัตว์วิเศษอีกครั้ง แต่หลินจินไม่ได้ทำเช่นนั้น เขากลับไปนั่งที่เดิมอย่างเงียบ ๆ
เมื่อเฟิงจื่อเฉียนเห็นอย่างนี้ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า
“มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า? เดี๋ยวนะ ข้าคิดว่าข้าเข้าใจแล้ว เป็นเพราะมังกรทั้งสามตัวไม่มีปฏิกิริยาของพันธสัญญาโลหิตหรือเปล่า?”
หลินจินส่ายหัวแล้วกระซิบกับเฟิงจือเฉียน
“สิ่งที่ฝ่าบาทพูดมานั้นไม่ถูกซะทีเดียว ตรงกันข้ามเลยต่างหาก ไม่ใช่ว่าพวกมันไม่แสดงปฏิกิริยาของพันธสัญญาโลหิต แต่พวกมันทั้งหมดต่างแสดงปฏิกิริยาของพันธสัญญาโลหิตเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ”
โดยปฏิกิริยาของพันธสัญญาโลหิตนั้นหมายถึงการเชื่อมโยงระหว่างเจ้าหญิงลั่วหลี่กับมังกร
‘ชี่หลงทั้งสามตัวเป็นสัตว์เลี้ยงของเธองั้นเหรอ?’
‘มันเป็นไปได้อย่างไร?’
ตอนนี้เฟิงจือเฉียนเข้าใจแล้วว่าทำไมผู้ประเมินระดับสี่ถึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ พวกเขาก็สังเกตเห็นสิ่งเดียวกันเช่นกัน แต่สถานการณ์เช่นนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก หลินจินก็พึมพำกับตัวเองทันทีว่า
"ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่เป็นไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ"
ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้น และเขากระซิบที่หูของเฟิงจือเฉียน
องค์ชายสามมีท่าทีสับสน และต้องยืนยันสิ่งที่ได้ยินกับหลินจินหลายครั้ง หลังจากได้รับการยืนยันจากหลินจินจนแน่ใจแล้ว เฟิงจือเฉียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยืนขึ้นด้วยสีหน้าตึงเครียด
“เจ้าหญิงลั่วหลี่ ข้าอาจไม่เก่งพอ แต่ข้าได้คำตอบแล้ว” เขาประกาศ
เมื่อได้ยินเฟิงจือเฉียนสิ่งที่พูด พี่ชายทั้งสองของเขาก็ตกใจ พวกเขาคิดว่าผู้อาวุโสซูได้บอกคำตอบให้กับเฟิงจือเฉียน
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขานึกขึ้นได้ว่าผู้อาวุโสซูยังคงนิ่งเงียบตลอดเวลา พวกเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะท้ายที่สุดแล้ว หลินจินเป็นคนเดียวที่มีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ
[1] 'มังกรไม่มีเขา' ในภาษาจีน