บทที่ 419 รู้จักเธอและความคุ้นเคย
บทที่ 419 รู้จักเธอและความคุ้นเคย
หลังจากเดินออกจากวัดหลิงอิ่น ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปยังยอดเขาเฟยไหลเฟิงทันที
ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเขามาที่นี่ในตอนเช้า พวกเขาเดินผ่านโดยไม่ได้แวะชมสถานที่รอบๆ เพื่อเร่งไปยังวัดหลิงอิ่น
ช่วงเที่ยงหลังรับประทานอาหารเสร็จ จึงถือโอกาสเดินเล่นชมธรรมชาติรอบๆ เขาเฟยไหลเฟิง
จุดเด่นที่มีชื่อเสียงที่สุดของเฟยไหลเฟิงคือ ถ้ำพระพุทธรูปที่แกะสลักจากหิน
ทั้งสองเดินชมถ้ำต่างๆ ระหว่างทาง พร้อมสังเกตเห็นนักท่องเที่ยวหลายคนกำลังปีนขึ้นสู่ยอดเขา
เฉินเฉิงจับมือเจียงลู่ซี ก้าวเดินตามไป
ยอดเขาเฟยไหลเฟิงสูงเพียง 168 เมตร แม้จะไม่สูงนัก แต่การปีนเขาก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้แรงไม่น้อย
ถ้าพูดถึงเรื่องวิ่ง เฉินเฉิงสามารถชนะเจียงลู่ซีได้แน่
แต่เมื่อเป็นเรื่องปีนเขา เฉินเฉิงก็ต้องยอมรับว่าตนเองไม่ใช่คู่แข่งของเธอ
แม้ว่าภูเขานี้จะไม่สูงและไม่มีทางลาดชันมากนัก แต่เฉินเฉิงไม่ค่อยได้ปีนเขาเลยสักครั้ง
เพียงปีนไปได้ไม่นาน เขาก็เหงื่อโทรมกาย
ตรงกันข้าม เจียงลู่ซีกลับดูสบายๆ เหมือนเดินเล่นบนพื้นราบ
“พักกันสักครู่ไหม?” เจียงลู่ซีพูดขึ้น เมื่อเห็นเฉินเฉิงเหงื่อไหลซึมเต็มใบหน้า
“อืม” เฉินเฉิงพยักหน้า ดื่มน้ำอึกหนึ่งก่อนจะหาที่นั่งลงบนก้อนหินเรียบๆ ใกล้ๆ
“เธอก็มานั่งพักด้วยสิ” เขาชวน
“ฉันไม่เหนื่อย” เจียงลู่ซีส่ายหน้า
เธอเพิ่งปีนได้แค่ไม่กี่สิบเมตร ซึ่งนับว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงวัยเด็กที่เธอเคยปีนเขาหลายลูกเพื่อไปโรงเรียน
บางครั้งต้องเร่งเวลา เธอจึงเคยปีนขึ้นเขาโดยไม่หยุดพักเลย
“ฉันก็ไม่เหนื่อย แค่ร้อนเท่านั้นเอง” เฉินเฉิงพูดพลางใช้พัดพัดไล่ความร้อน
เขารู้สึกอายเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเจียงลู่ซีซึ่งเป็นผู้หญิงกลับยังดูสดใสกว่าตน
เจียงลู่ซีไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่ยิ้มเบาๆ ก่อนจะหยิบกระดาษทิชชูในกระเป๋าออกมาซับเหงื่อให้เขา
“ตอนนี้เป็นช่วงบ่าย แดดกำลังแรง คงจะร้อนหน่อย” เธอกล่าว
เฉินเฉิงหันมองรอบๆ เห็นต้นไม้ร่มรื่นที่ช่วยบดบังแสงแดด
แม้เธอจะบอกว่าร้อน แต่ใบหน้าขาวเนียนของเธอกลับไม่มีเหงื่อแม้แต่น้อย
หลังจากพักหายเหนื่อย เฉินเฉิงลุกขึ้นพร้อมกล่าว “ไปต่อกันเถอะ”
เจียงลู่ซีถามขึ้น “ไม่พักอีกหน่อยเหรอ?”
ไม่ต้องพักหรอก ฉันไม่ได้เหนื่อยแล้ว” เฉินเฉิงตอบ พลางเดินต่อไปโดยจับมือเธอไว้
เมื่อปีนขึ้นไปอีก เจียงลู่ซีเริ่มเดินนำหน้า และบางครั้งยังช่วยดึงเขาในจุดที่ชัน
“เธอขึ้นไปก่อนเลยก็ได้นะ แล้วรอฉันอยู่ข้างบน ฉันปีนไม่เก่งเหมือนเธอ” เฉินเฉิงพูดขึ้น
เจียงลู่ซีส่ายหน้า “ฉันไม่ได้ปีนเร็วขนาดนั้นหรอก เราขึ้นไปพร้อมกันดีกว่า”
เมื่อเห็นว่าเธอตั้งใจช่วยเขา เฉินเฉิงจึงยิ้มก่อนจะเดินเคียงข้างเธอ
ทั้งสองปีนต่อจนถึงยอดเขาโดยไม่หยุดพักอีก
เมื่อถึงยอดเขา เฉินเฉิงกลับรู้สึกผิดหวัง
“นี่มันอะไรกัน? มีแต่หินเปล่าๆ แถมมองวิวไกลๆ ก็ไม่เห็นอะไรเลย” เขาบ่นออกมา ก่อนจะหันมามองเจียงลู่ซีด้วยสายตาขี้เล่น “รู้แบบนี้ฉันนั่งมองหน้าเธออยู่ข้างล่างยังจะดีกว่า หน้าเธอยังสวยกว่าทิวทัศน์ที่นี่อีก”
เจียงลู่ซีหน้าแดง ก่อนจะทุบไหล่เขาเบาๆ ด้วยความเขินอาย
ทั้งคู่พักผ่อนบนยอดเขาสักครู่ ก่อนเตรียมตัวเดินลง
แต่ในขณะที่เจียงลู่ซียืนอยู่ เฉินเฉิงกลับดึงเธอลงมานั่งบนตักเขา
“นี่ ปล่อยฉันนะ!” เธอพูดพลางหลุบตาลงด้วยความอาย กลัวคนอื่นเห็น
เฉินเฉิงกระซิบข้างหู “ถ้าไม่อยากนั่งบนตักฉัน ก็ไปนั่งข้างๆ เลือกเอา”
“ฉันนั่ง ฉันเลือกนั่งข้างๆ เธอ” เจียงลู่ซีรีบพูดออกมา
เฉินเฉิงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มเบาๆ ก่อนจะปล่อยมือเธอ
เมื่อหลุดพ้นจากอ้อมแขนของเฉินเฉิง เจียงลู่ซีก็จ้องมองเขาอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะยอมนั่งลงบนก้อนหินข้างๆ เขา
แม้จะได้นั่งลงแล้ว แต่เมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ เจียงลู่ซีก็อดที่จะเขินอายไม่ได้
เธอแน่ใจว่าคนรอบข้างต้องเห็นฉากนั้นแน่นอน และที่สำคัญ เธอกับเฉินเฉิงยังเป็นแค่เพื่อนสนิทกัน ไม่ใช่คนรัก
ใครอนุญาตให้เขากอดเธอกัน?
ไม่เพียงแต่กอด เขายังเคยจูบเธอโดยไม่ได้ขออนุญาตอีกด้วย
“จูบแค่เงา ไม่ถือว่าเป็นการจูบ” เขาเคยพูดแก้ตัวแบบนั้น
และถ้าย้อนกลับไปอีก เฉินเฉิงเคยทำเรื่องแบบนี้หลายครั้งจนเธอจำไม่ได้แล้ว
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ยิ่งคิดก็ยิ่งอาย
เจียงลู่ซีนั่งลงบนก้อนหิน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยกเท้าขึ้นเตะเฉินเฉิงเบาๆ ด้วยความไม่พอใจ
“ถ้าการที่เธอเตะฉันครั้งหนึ่ง แปลว่าฉันจะได้กอดหรือจูบเธอครั้งหนึ่ง เธอเตะมาให้มากกว่านี้ก็ได้นะ หรือจะถเตะให้แรงกว่านี้ก็ได้” เฉินเฉิงพูดพลางยื่นขาไปตรงหน้าเธอ
“บ้า!” เจียงลู่ซีตอบกลับพร้อมกับถลึงตาใส่เขา ก่อนจะหันหน้าไปอีกทาง
“ฉันได้ยินว่ารางวัลจากการแข่งขันที่หางโจวจะจ่ายในวันที่ 20 สิงหาคม ตอนนี้ก็เข้าเดือนสิงหาคมแล้ว อีกไม่กี่วันเธอก็จะเอาเงินมาคืนฉันได้ทั้งหมดแล้ว” เฉินเฉิงพูดยิ้มๆ
“เหอะ! เมื่อก่อนยังพูดปาวๆ ว่าไม่ต้องคืนเลย” เจียงลู่ซีย้อนกลับ
“โอเค! ถ้าเธอพูดแบบนั้น งั้นฉันไม่เอาก็ได้ ต่อไปถ้าเธอพูดอะไรอีก ฉันจะไม่รับฟังเลย” เฉินเฉิงตอบพร้อมรอยยิ้ม
“เธอ!” เจียงลู่ซีโมโห ก่อนจะพูดขึ้น “อย่า! เงินนี้ฉันจะคืน”
ทั้งสองจ้องมองกันอยู่นาน แต่ครั้งนี้เจียงลู่ซีกลับไม่หลบสายตา
เธอยังคงมองเขาด้วยดวงตาสุกใสที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น
“ฉันรู้จักเธอดี” เฉินเฉิงกล่าว “ในอดีต ถ้าฉันไม่คุ้นเคยกับเธอ ฉันคงไม่รับเงินคืนสักบาท เพราะเธอช่วยติวให้ฉันจนสอบติดมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง เรื่องเงินจึงไม่มีค่าอะไรเลย”
“แต่ตอนนี้ ฉันรู้จักเธอดีมาก แม้เธอจะไม่คืนเงิน ฉันก็ไม่ยอม เพราะฉันรู้ว่าเจียงลู่ซีของฉันเป็นคนที่ไม่ชอบติดหนี้ใคร”
“เพื่อนสนิทคนเดียวของฉัน ถ้าไม่รู้จักเธอมากกว่าคนอื่น ก็ถือว่าเป็นเพื่อนที่เสียเปล่า” เฉินเฉิงพูดพร้อมรอยยิ้ม
“แต่ฉันไม่ได้อยากเป็นแค่เพื่อนสนิทนะ” เฉินเฉิงกระเถิบเข้ามาใกล้ พร้อมโน้มหน้าเข้าไปหาเจียงลู่ซี
“ฉัน…ฉันไม่รู้” เจียงลู่ซีพูดพลางหลบสายตา ก่อนจะดันเขาออกเบาๆ “ถอยออกไปหน่อยได้ไหม มันร้อน”
เฉินเฉิงหัวเราะและจับมือเธอไว้ “พักกันพอแล้ว ลงเขากันเถอะ”
เจียงลู่ซีพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นยืน
แต่เมื่อมองมือที่ถูกจับไว้ เธอก็สะบัดมือออก “เมื่อกี้เธอไม่ได้ขออนุญาตฉัน แล้วยังจะมาจับมืออีก ไม่ให้จับแล้ว!”
“แค่ไม่ให้จับตอนนี้ หรือว่าจะไม่ให้จับอีกเลย?” เฉินเฉิงถามพลางยิ้ม
“มีอะไรต่างกันด้วยเหรอ?” เจียงลู่ซีขมวดคิ้วถาม
“แน่นอนว่าต่าง” เฉินเฉิงตอบ “ถ้าไม่ให้จับตอนนี้ แปลว่าชั่วคราว แต่ถ้าไม่ให้จับอีกเลย นั่นแปลว่าถาวร”
“ไม่ให้จับอีกเลย!” เจียงลู่ซีจ้องเขาพร้อมพูดด้วยความโมโห
“โอเค งั้นไปกันเถอะ” เฉินเฉิงยิ้มรับ ก่อนจะเดินนำลงเขา
ระหว่างทาง ขณะเฉินเฉิงเดินสะดุดและเกือบล้ม เจียงลู่ซีที่อยู่ด้านหลังรีบเข้ามาประคอง
เขาใช้โอกาสนี้จับมือเธอไว้อีกครั้ง
เจียงลู่ซีเพียงเม้มปาก และไม่ได้ขัดขืนอะไร เหมือนคำพูดเมื่อครู่ไม่เคยมีอยู่จริง
จนกระทั่งถึงตีนเขา เฉินเฉิงก็พูดขึ้นว่า “เมื่อกี้ฉันตั้งใจทำให้สะดุด”
เจียงลู่ซีที่เพิ่งตั้งสติได้ก็เตะเขาไปอีกครั้ง
“ไอ้เจ้าเจ้าเล่ห์! คิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่าเธอแกล้งทำให้ล้ม!” เธอพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แต่ภายในกลับซ่อนรอยยิ้มอายๆ ไว้