บทที่ 2 ศรัทธา (ตอนที่ 5 - อะไรบางอย่างตกลงมาจากฟ้า...?)
"ลัทธิทรมานตนซาถัวเจี้ยว"
มู่อี้หรานตอบด้วยเสียงเย็นเฉียบที่มีความลึกลับหนาวเยือกเหมือนหิมะบนภูเขา
เค่อชุนยืนยันข้อสันนิษฐานของตัวเอง แต่ก็ยังมีคำถามเพิ่มขึ้น "ลัทธิซาถัวเจี้ยวไม่ใช่ลัทธิที่สอนให้คนทำความดี ช่วยเหลือผู้อื่น และละทิ้งกิเลสความต้องการทั้งหลายเพื่อไปสู่ความหลุดพ้นหรอกเหรอ? ทำไมถึงยังมี 'สิ่งเหล่านั้น' อยู่ได้อีกล่ะ? หรือในโลกของภาพนี้ไม่ได้มีแค่สิ่งที่น่ากลัวเสมอไป?"
"ลัทธิซาถัวเจี้ยวเองเป็นการผสมผสานของหลายศาสนา" มู่อี้หรานตอบ "ตั้งแต่ศตวรรษที่สิบเอ็ด เริ่มมีการแบ่งออกเป็นหลายสาขา และในระบบเทพเจ้าของลัทธิซาถัวเจี้ยวก็ไม่ได้มีแค่เทพผู้มีเมตตาที่ช่วยเหลือสรรพสิ่งเท่านั้น มันยังรวมถึงรูปเคารพของนอกศาสนาและปีศาจอีกมากมาย ในการอธิบายตามหลักคำสอนของลัทธิซาถัวเจี้ยว หากรูปเคารพนอกศาสนาใดถูกปราบโดยหลักคำสอนของลัทธิซาถัวเจี้ยวได้ มันก็สามารถเข้าร่วมระบบเทพเจ้าของลัทธิซาถัวเจี้ยวได้ และปีศาจเหล่านั้นยังสามารถถูกใช้โดยผู้มีพลังอำนาจสูงด้วย"
เค่อชุน: "...ฉันรู้สึกถึงความไม่ปรานีจากเหล่าเทพเจ้าแล้วล่ะ"
มู่อี้หรานมองหน้าเขา แอบขยับมุมปากเล็กน้อย "ถ้านายรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ภาพนี้ถูกวาดขึ้นมา บางทีความรู้สึกนั้นอาจจะยิ่งชัดเจนขึ้น"
"...ช่วยพูดแบบนุ่มนวลหน่อยนะ" เค่อชุนว่า
แต่มู่อี้หรานให้คำตอบที่ไม่ได้นุ่มนวลเลย "ตอนนั้นในท้องถิ่นมีแค่ศาสนา เจ้านายทาส และทาส"
เค่อชุนยิ้มแบบนุ่มนวล "มันไม่ใช่อย่างที่ฉันคิดใช่ไหม?"
"ดูจากลักษณะและวัสดุของเสื้อผ้าที่เราสวมใส่ เห็นได้ชัดว่าบทบาทของเราไม่ใช่เจ้านายทาส" มู่อี้หรานละสายตา "แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเป็นศิษย์ในลัทธินั้น ในยุคนั้นเรื่องความเป็นความตายก็ไม่อาจกำหนดได้ด้วยตนเอง"
เค่อชุนยกมือขึ้นช้าๆ วางบนศีรษะของตัวเอง "...ฉันเคยได้ยินว่าในสมัยนั้นการลงโทษทาสด้วยวิธีการถลกหนัง เริ่มจากการกรีดเปิดหนังที่ด้านบนศีรษะ แล้วเทปรอทลงไป ปรอทจะซึมลงไปข้างล่าง ดึงหนังทั้งผืนออกจากร่างกายได้ คนยังมีชีวิตอยู่อีกสักพัก... ฉันจะไปหาหมอฉิน"
ว่าแล้วก็ทำท่าจะลุกขึ้น
"ทำอะไร?" มู่อี้หรานมองเขา
"ไปถามหมอฉินว่ามีวิธีฆ่าตัวตายภายในวินาทีเดียวโดยที่ไม่มีความเจ็บปวดหรือเปล่า" เค่อชุนตอบ "ฉันไม่อยากเห็นตัวเองถูกถลกหนังจนหมด"
มู่อี้หรานกล่าวเบาๆ "วินาทีเดียวโดยไม่มีความเจ็บปวดคงเป็นไปไม่ได้หรอก แต่ถ้านายอยากตายจริงๆ ก้อนหินบนพื้นน่าจะช่วยนายได้"
เค่อชุนคิดตามแล้วก็เห็นด้วย ถ้าแย่จริงๆ ก็จะใช้หินแหลมแทงเข้าไปที่เส้นเลือดใหญ่ที่คอ ถึงจะเจ็บ แต่ก็ดีกว่าถูกถลกหนังทั้งเป็น
เขาเปิดผ้าเต็นท์ออก และมองหาก้อนหินที่แสงหิมะจากภูเขาไกลส่องถึง สุดท้ายก็เลือกก้อนหินบางๆ ที่มีขอบคมมาได้สองก้อน ยื่นให้มู่อี้หรานดู "พี่ชายจะเอาไหม? ให้พี่ชายก้อนนึงเป็นตัวเลือก"
มู่อี้หรานไม่รับ เพียงแต่ตอบเบาๆ ว่า "แล้วแต่นาย"
เค่อชุนยิ้ม หยิบโทรศัพท์ออกมาจากเสื้อ ดูเวลา ยังไม่ถึงเวลาห้ามเคลื่อนไหว เขาจึงออกจากเต็นท์ ไปหาเว่ยตงที่อยู่ในเต็นท์อีกหลังแล้วยื่นก้อนหินให้เขา
"ของดีต้องแบ่งปันกับเพื่อน"
"อะไรนะ?" เว่ยตงถาม
"อาวุธสำหรับฆ่าตัวตาย" เค่อชุนพูดจบก็วิ่งออกไป
"บ้าเอ๊ย!" เว่ยตงสั่นๆ ด่าแล้วเก็บหินไว้ในเสื้อ "จริงๆ เลยนะ นายเป็นเพื่อนแท้ของฉัน เรื่องดีๆ ก็ไม่เคยลืมฉัน"
เค่อชุนปิดผ้าเต็นท์ แล้วถามมู่อี้หราน "เกี่ยวกับวิธีที่จะทำลายวงจรนี้ พี่ชายมีความคิดอะไรไหม?"
มู่อี้หรานครุ่นคิด "ในเมื่อชื่อภาพนี้ชื่อว่า 'ศรัทธา' ฉันคิดว่าวงจรนี้เกี่ยวข้องกับศาสนา ลัทธิลัทธิซาถัวเจี้ยวมีหลายสาขา และระบบเทพเจ้าและปีศาจก็ซับซ้อนมาก ตอนนี้การหาทางทำลายวงจรยังถือว่าเร็วไปหน่อย"
เค่อชุนเอนตัวนอนลงบนพรมขนสัตว์ "ดูท่าแล้วคืนนี้น่าจะมีคนต้องเสียชีวิตที่นี่"
มู่อี้หรานได้ยินน้ำเสียงที่เรียบสงบของเขา มองดูใบหน้าของเค่อชุนก็ไม่เห็นความกลัวหรือกังวลใดๆ เขาหนุนแขนทั้งสองข้าง และไขว่ห้าง เหมือนนอนอยู่บนเตียงใหญ่ที่มีเบาะนุ่มสบายของเขาเอง
เมื่อคิดถึงเตียงของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงรูปภาพในตู้เสื้อผ้าในห้องนอนของเขา รวมถึงภาพของเค่อชุนตั้งแต่เด็กจนโต
เด็กชายที่มีดวงตายิ้มโค้งและรอยยิ้มสดใสในวันนั้น อาจไม่เคยคิดเลยว่า เมื่อโตขึ้นชีวิตของเขาจะกลายเป็นแบบนี้
ไม่มีพ่อแม่ที่รักเขาอีกต่อไป ไม่มีบ้านที่อบอุ่น และสุดท้ายก็ไม่มีชีวิตที่เหมือนคนธรรมดา
เวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน แสงหิมะจากภูเขาไกลสะท้อนท้องฟ้าด้านนอกเต็นท์จนสว่างเล็กน้อย เงาของเต็นท์ที่อยู่ไกลและใกล้ถูกพิมพ์ลงบนเต็นท์หวามไหวตามลมหนาวที่พัดผ่านทุ่งหญ้า
หากเป็นโลกภายนอก นี่คงเป็นค่ำคืนที่สงบและงดงาม
เค่อชุนลืมตา มองเงาที่ปรากฏบนเต็นท์
เขานึกถึงท้องฟ้าด้านนอกในตอนกลางวัน สีฟ้าที่ชัดเจนจนทำให้ใจสั่นลึก เป็นสีฟ้าที่ลึกล้ำ เหมือนในความลึกของสีนั้นเต็มไปด้วยสิ่งขนาดใหญ่และบิดเบี้ยวมากมาย
เค่อชุนรู้สึกแปลกๆ
ตอนกลางวัน แม้แสงอาทิตย์จะสว่างจ้าจนแสบตา แต่เหมือนกับว่า... ไม่ได้เห็นดวงอาทิตย์เลย แสงมาจากท้องฟ้าอยู่ทุกที่ ไม่มีจุดศูนย์กลางที่แสงแผ่กระจายลงมา
ถ้าแสงเหล่านี้ไม่ใช่แสงอาทิตย์ หญ้า ท้องฟ้า และภูเขาหิมะเหล่านั้น คิดไปคิดมาก็เหมือนจะเต็มไปด้วยความตายที่ล่องลอยอยู่รอบๆ
เค่อชุนนึกถึงตอนที่เดินกลับจากเต็นท์ของเว่ยตงในเวลากลางคืน ฟ้าไม่มีดาว มีเพียงความมืดมิด
คิดอย่างนั้นแล้วก็เริ่มหายใจไม่ออก
ทั้งๆ ที่ควรจะเป็นสถานที่ที่โปร่งและบริสุทธิ์ที่สุด แต่ในตอนนี้กลับอึดอัดจนทำให้รู้สึกเหมือนจะเป็นโรคกลัวที่แคบ
เค่อชุนหายใจแรงอย่างควบคุมไม่ได้ ยิ่งพยายามหายใจลึกก็ยิ่งรู้สึกหายใจไม่ออก อากาศเข้าจมูกและปากแต่รู้สึกเหมือนมันไม่เข้าไปในหลอดลม ปอดพยายามขยายตัวเพราะขาดออกซิเจน ความเจ็บปวดคับแน่นอยู่ในทรวงอก ราวกับกำลังจะแตกออกมา
"เค่อชุน!" มู่อี้หรานสังเกตเห็นความผิดปกติของเค่อชุน เขาโน้มตัวมาดู
"นายเป็นอะไรไป?"
เค่อชุนพูดไม่ออก เขาเหมือนปลาที่ใกล้ตาย อ้าปากพยายามหายใจ แต่ก็ยังไม่สามารถหายใจเข้าไปได้เลย
มู่อี้หรานขมวดคิ้ว มองร่างที่กำลังดิ้นทุรนทุรายเพราะความทรมานจากการขาดอากาศหายใจของเค่อชุน ก่อนจะพลิกตัวและกดตัวเขาเอาไว้ ควบคุมการเคลื่อนไหวที่ดิ้นรน แล้วใช้มือปิดปากและจมูกของเขาแน่น
เค่อชุนมองมู่อี้หรานผ่านช่องมือของเขา ดวงตาของเขาเริ่มโค้งขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะหลับตาลง
เค่อชุนคิดว่าเขาจะตายแล้ว
แต่ว่าการตายด้วยมือของมู่อี้หรานก็ดูไม่แย่นัก อย่างน้อยก็ดีกว่าตายด้วยมือของพวกสัตว์ประหลาดที่น่าเกลียด และก็ดีกว่าที่จะต้องตายด้วยการฆ่าตัวตายอย่างขี้ขลาด เมื่อนึกถึงเรื่องการชดใช้กรรม เขาก็คิดว่าตนเองยังคงติดค้างชีวิตหนึ่ง และชาติต่อไปเขาอาจไปทวงเอาชีวิตคืน ไม่ต้องให้มู่อี้หรานชดใช้ด้วยชีวิต แต่ขอให้มาขายตัวใช้หนี้ก็พอ
ใครจะคิดว่ากำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น อากาศก็เริ่มเข้ามาอีกครั้ง ท่อทางเดินหายใจที่เหมือนถูกปิดกั้นก็ค่อยๆ ฟื้นตัว มีลมหายใจบางๆ เล็ดลอดผ่านนิ้วมือของมู่อี้หรานเข้ามา จนไปถึงปอดของเขา
เมื่อได้รับอากาศ ปอดที่เจ็บปวดก็เริ่มฟื้นตัว อาการหายใจหอบรุนแรงก็สงบลง เค่อชุนลืมตาขึ้น และสบตากับมู่อี้หรานที่อยู่ข้างบน
ยังไม่ทันที่จะได้มองให้ชัดเจน มู่อี้หรานก็เลื่อนมือที่ปิดปากและจมูกของเขาออก และพลิกตัวกลับมานั่ง
เค่อชุนค่อยๆ หายใจอีกครั้ง และพบว่าตอนนี้สามารถหายใจได้ปกติแล้วจึงโล่งใจ หันหน้าไปหามู่อี้หรานแล้วพูดว่า "ฉันนึกว่านายอยากช่วยให้ฉันตายเร็วๆ จะได้ไม่ทรมานมาก"
มู่อี้หรานไม่มองเขา เพียงนั่งขัดสมาธิและลดสายตาลง "ถ้าอยากตายเร็วๆ ฉันสามารถจัดการให้นายตายได้ภายในวินาทีเดียว"
เค่อชุนหัวเราะแล้วลุกขึ้นนั่ง ใช้มือสัมผัสบริเวณที่มู่อี้หรานเคยปิดไว้ "เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จู่ๆ ฉันก็รู้สึกหายใจไม่ออก มันจะเป็นไปได้ไหมว่า พลังนั้นเริ่มขึ้นแล้ว?"
มู่อี้หรานหันมามองเขาเล็กน้อย ใบหน้าเรียบเฉย "นายแค่หายใจเกินขนาดจนเป็นอาการอัลคาโลซิส"
เค่อชุน "แปลเป็นภาษาที่คนทั่วไปเข้าใจหน่อย"
"หายใจเกินขนาด ทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกายลดลง ระดับความเป็นกรดในเลือดลดลง ความเป็นด่างเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดอาการไม่สบายตัว" มู่อี้หรานกล่าวอย่างเย็นชา
เค่อชุนพยักหน้าเข้าใจ "เพราะอย่างนั้นนายถึงปิดปากและจมูกของฉัน เพื่อเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้กลับมาสมดุลอีกครั้ง...เก่งมาก ไม่เสียทีที่เป็นเทพเจ้าของฉัน"
มู่อี้หรานไม่สนใจเขา นั่งขัดสมาธิหลับตาฝึกสมาธิของตัวเอง ผ่านไปนานมาก เขาถึงพูดขึ้นมาอย่างฉับพลันว่า "เมื่อกี้นายเป็นอะไรไป"
เค่อชุนใช้มือปิดจมูกและปาก เพิ่มปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ให้ตัวเอง เสียงที่พูดออกมาดังอู้อี้
"ฉันรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที เหมือนกับตัวเองถูกขังอยู่ในกล่องที่แคบและอึดอัดสุดๆ และท้องฟ้ากับภูเขาที่นี่ จริงๆ แล้วมันเหมือนโมเดลในกล่อง ที่สร้างจากวัสดุเทียม ไม่มีความรู้สึกถึงความจริงเลย แม้กระทั่งในภาพที่แล้ว ต้นหวายและสุสานนั่น ยังดูเหมือนจริง แต่ที่นี่ ทุกอย่างดูปลอมโดยชัดเจน"
มู่อี้หรานเปิดตาแค่ครึ่งเดียว จ้องมองพรมขนสัตว์ข้างล่าง คล้ายกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
เค่อชุนไม่รบกวนเขา นอนลงกลับไปด้านข้าง มองดูเงาที่แสงหิมะสะท้อนผ่านไปยังเต็นท์
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เค่อชุนสังเกตเห็นว่าเงาที่เดิมเคยสั่นไหวเบาๆ เพราะแรงลม ตอนนี้กลับหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหวแล้ว
เค่อชุนเอื้อมมือไปแตะเข่าของมู่อี้หรานเบาๆ ส่งสัญญาณให้เขาดู แล้วพยายามยกตัวขึ้นนั่ง แต่ก็ถูกมู่อี้หรานกดเอาไว้ จึงต้องนอนอยู่ต่อและจ้องมองเงาบนเต็นท์พร้อมกับเขา
เงาไม่มีการเคลื่อนไหว แสงหิมะจากภูเขาไกลกลายเป็นสีซีด และจากซีดก็เปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน เสียงทุกอย่างในโลกหายไปหมด ความเงียบสงัดราวกับอากาศถูกดูดออกไปจนหมด
เวลาในบรรยากาศคล้ายกับสุญญากาศนี้ยังคงเดินต่อไป จนกระทั่งเค่อชุนจ้องมองเต็นท์จนตาเริ่มแสบ เงาบนเต็นท์ก็มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างฉับพลัน
เงาสีดำขนาดใหญ่ค่อยๆ ร่วงลงมาจากท้องฟ้า เหมือนหยดสีดำเข้มที่ข้นเหนียว ค่อยๆ ไหลลงมา ช้าและหนืด ราวกับไขมันหนา มันไหลลงมากลางอากาศ ก่อนจะค่อยๆ ยืดออกเป็นกิ่งก้านใหญ่หนา
ไม่ใช่กิ่งก้าน แต่มันเป็นแขนแปดข้างและขาสองข้าง หนาและมัน ในอากาศบิดงอเคลื่อนไหวเหมือนทารกที่เพิ่งเกิดและกำลังดิ้นพล่าน
เงาขนาดใหญ่นี้เคลื่อนไหวด้วยท่าทางและมุมที่แปลกประหลาด ค่อยๆ ตกลงมายังพื้นดิน ราวกับเป็นเทพเจ้ายักษ์ที่ศีรษะถึงท้องฟ้าและเท้าเหยียบแผ่นดิน ขาอ้วนใหญ่ของมันก้าวออกมาอย่างไม่ประสานกัน และในความตายอันเงียบสงัดนี้ มีเสียงหายใจเหมือนเสียงของคนอ้วนที่หอบเหนื่อยดังออกมา
เงาขนาดใหญ่เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ผ่านเต็นท์ต่างๆ ขาคู่ใหญ่ค่อยๆ เคลื่อนไหวในท่าทางแปลกๆ ที่แม้แต่เต็นท์ที่สูงที่สุดก็ยังสูงได้แค่ถึงใต้เข่าของมัน มันเคลื่อนที่อย่างช้าๆ และหยุดที่หน้าเต็นท์แต่ละหลัง เหมือนกำลังสังเกตและเลือกอย่างละเอียด
เค่อชุนเห็นเงาขนาดใหญ่นี้หยุดอยู่ข้างเต็นท์ของเว่ยตงถึงสิบนาทีเต็ม ก่อนจะเคลื่อนขาอันใหญ่นั้นมาทางที่เขาและมู่อี้หรานอยู่
มันเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
เค่อชุนไม่รู้ว่าควรจะหลบสิ่งนี้อย่างไร ในเต็นท์ไม่มีอะไรให้ใช้ซ่อนตัวได้เลย และครั้งนี้ดูเหมือนจะแตกต่างจากภาพที่แล้ว สิ่งนี้เหมือนกำลังเลือกเป้าหมายแบบสุ่ม
.
(จบตอน)
.
.
.
แปลจนจบเล่ม 1 มาหลายวันแล้ว แต่คนอ่านยังไม่ถึง 30 คนเลย
ผู้แปลจึงขอประกาศยุติการแปลเรื่องนี้ แต่เพียงเท่านี้
ขอบคุณผู้อ่านที่ติดตามตาม