บทที่ 1120: ศิลาแห่งชีวิตก้อนใหม่ พลังแห่งท้องฟ้า
【แปลโดยฝีมือ...ยักษาแปร...มาติดตามได้ที่แฟนเพจหรือเพื่อติดตามเอาข่าวสารได้นะ】
【แค่ คอมเมนต์ ก็เหมือนการให้กำลังใจแล้วนะครับ รบกวน comment กันหน่อยน๊า ;-;】
【Thai-novelจะทำการลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ เป็นจำนวน 5 ตอน แต่เรื่องราคาแพงกว่าที่อื่นนิดหน่อย】
บทที่ 1120: ศิลาแห่งชีวิตก้อนใหม่ พลังแห่งท้องฟ้า
"อย่างที่คิด เกราะที่แข็งแกร่งที่สุดล้วนเป็นเรื่องโกหก นี่สินะ พลังที่ซ่อนอยู่ในศิลา"
ตั้งแต่ออกจากเกาะโอนิงะชิมะมา มุมมองของคุซันก็ถูกสั่นคลอน เรือเวลโอยังพอรับได้ มากสุดก็แค่สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ ในท้องของเจ้าทะเลก็ยังมีเกาะที่มีระบบนิเวศสมบูรณ์อยู่ได้
การวิจัยเซราฟิมก็ยังพอรับได้ ถึงจะตกใจกับพลังที่อยู่ในร่างกายของเด็ก ๆ พวกนั้น แต่เขาก็พอได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง
ก็แค่เรื่องของเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า ความสามารถในการก็อปปี้ การโคลนนิ่งมนุษย์ ถึงจะฟังดูเหลือเชื่อ แต่ก็ยังพอรับได้
นักวิทยาศาสตร์ที่นำหน้าโลก 500 ปี ฉายาพวกนั้นไม่ได้ล้อเล่น
แต่เทียบกับการเปลี่ยนแปลงของเชย์น่าแล้ว เรื่องพวกนี้ก็ดูจิ๊บจ๊อยไปเลย เมื่อเธอขยับปีก ก็เกิดเป็นพายุหมุนขนาดใหญ่บนท้องฟ้า
จากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ทำให้มีเศษซากอาคารจำนวนมากบนเอ็กเฮด ตอนนี้เศษซากเหล่านั้นก็ถูกพายุพัดขึ้นไปบนฟ้า
ถ้าไม่รู้ความสามารถของเชย์น่า ตอนนี้คุซันคงคิดว่าเธอเป็นผู้ใช้พลังผลปีศาจสายพารามีเซีย ผลลมแน่ ๆ
ศิลาที่ดูธรรมดา ๆ พอเข้าไปในร่างกายแล้วกลับปลดปล่อยพลังที่น่าสะพรึงกลัวได้ นี่แหละที่ทำให้เขาตกใจที่สุด
เหตุผลที่กลุ่มร้อยอสูรประกาศออกไป คือไคโดต้องการสร้างเกราะที่แข็งแกร่งที่สุด อย่างน้อยก็ยังไม่มีใครออกมาแก้ข่าว
ความแข็งแกร่งของศิลาแห่งชีวิตเป็นเรื่องจริง แม้แต่รัฐบาลโลกก็ยังหาวิธีทำลายมันไม่ได้ แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม
การใช้ศิลานี้สร้างเกราะก็มีประสิทธิภาพ แต่ความแข็งแกร่งอย่างเดียว เทียบกับพลังที่แสดงออกมาตอนนี้ไม่ได้เลย
ไม่ใช่ว่าศิลาแห่งชีวิตไม่มีประโยชน์ แต่คนนอกไม่รู้วิธีใช้ที่ถูกต้องต่างหาก นี่คือสิ่งที่คุซันคิดในตอนนี้
【แค่ก้อนเดียวก็มีพลังขนาดนี้ กลุ่มร้อยอสูรมีกี่ก้อนกัน? 】
ลองคิดดู กลุ่มร้อยอสูรตามหาสิ่งนี้มานานแล้ว ถึงขั้นยอมจ่ายในราคาที่สูงลิ่ว ก่อนหน้านี้มีคนคิดว่าไคโดเป็นบ้า ถึงได้ตามหาสิ่งที่นอกจากแข็งแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
แต่ความจริงที่ปรากฏต่อหน้า กลับบอกคุซันว่า กลุ่มร้อยอสูรแค่ล้ำหน้ากว่าคนอื่นไปยุคหนึ่ง พวกเขารู้วิธีใช้สิ่งนี้มานานแล้ว
แม้แต่กองทัพเรือ ก็เคยทำธุรกรรมแบบเดียวกันนี้กับพวกเขาเพื่อแลกกับหินไคโร ส่งอาวุธทำลายล้างนี้ไปให้พวกเขาถึงมือ
ในฐานะผู้ใช้ เชย์น่าสัมผัสได้ชัดเจนยิ่งกว่า ตั้งแต่เกิดมา เธอไม่เคยรู้สึกถึงพลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้มาก่อน พลังงานในร่างกายไม่มีที่สิ้นสุด พลังอันมหาศาลไหลเวียนจากปีก ไปสู่แขนขาอย่างต่อเนื่อง
จุดแสงระยิบระยับร่วงหล่นจากปีก มองจากข้างล่างเหมือนดวงดาวตกลงมาเป็นสายน้ำตก นั่นไม่ใช่อะไรอื่น แต่เป็นพลังงานส่วนเกินจากศิลาแห่งชีวิต
ศิลาแห่งชีวิต สามารถสร้างแกนกลางในร่างกายของเรจิไอซ์ได้ชั่วคราว เพราะเรจิไอซ์เป็นโปเกมอนชนิดพิเศษ ร่างกายของพวกมันต่างจากมนุษย์ สามารถรองรับพลังนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แต่เชย์น่านั้นต่างออกไป ร่างกายของเผ่าลูนาเรียก็ไม่สามารถรองรับพลังทั้งหมดของศิลาแห่งชีวิตได้เช่นกัน
หัวหน้าเผ่าเมื่อหลายร้อยปีก่อน ได้รับพลังจากศิลาแห่งชีวิตประเภทไฟ พลังนี้ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น แต่ก็กัดกร่อนขีดจำกัดของร่างกายเขาไปด้วย
แต่ตอนนี้ต่างออกไป อาร์เซอุสที่ฟื้นพลังอย่างสมบูรณ์ สามารถควบคุมศิลาแห่งชีวิตของตัวเองได้อย่างละเอียดมากขึ้น
พลังในศิลาแห่งชีวิต ถูกจำกัดให้อยู่ในระดับที่เชย์น่ารับไหว ส่วนที่เกินขีดจำกัดของร่างกาย ก็ถูกปลดปล่อยออกไปทางปีก สู่ท้องฟ้า จนกลายเป็นแสงที่สวยงามและอันตราย
"นี่คือ... พลังแห่งท้องฟ้า?"
ชายน่าเงยหน้ามองท้องฟ้า การไหลเวียนของกระแสลมอยู่ในสายตาเธอทั้งหมด แค่โบกมือ เมฆก็เปลี่ยนรูปร่างตามใจเธอด้วยกระแสลม
ศิลาแห่งชีวิตชิ้นที่ 16 - ศิลาแห่งชีวิตสีฟ้าคราม เป็นตัวแทนของพลัง - การบิน
สิ่งที่ทำให้คนจดจำศิลาแห่งชีวิตสีฟ้าครามได้มากที่สุด คงจะเป็นพวกโปเกมอนนก หรือพีเจ็อตที่รอในป่า 20 ปี จนกระทั่งเจ้านายของมันถูกปลดออกจากตำแหน่งพระเอก ถึงจะได้เจอ
แต่ศิลาแห่งชีวิตสีฟ้าครามไม่ได้เป็นตัวแทนแค่การบินและโปเกมอนนกเท่านั้น แต่เป็นพลังแห่งท้องฟ้า
การบินเป็นแค่สิ่งที่ปรากฏ นอกจากนั้น พลังแห่งท้องฟ้าต่างหากคือสิ่งสำคัญ
การไหลเวียนของกระแสลมทำให้เกิดลม การเปลี่ยนแปลงของกระแสลมร้อนและเย็นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ลมและสภาพอากาศ คือพลังที่ศิลาแห่งชีวิตสีฟ้าครามมอบให้
ความสามารถของ S-แบร์ ส่งส่วนบนของเอ็กเฮดหายไป แต่พื้นที่ขนาดใหญ่แบบนี้ หลังจากถูกส่งไปด้วยพลังของผลนิกิวนิกิ ก็ทิ้งร่องรอยไว้บนท้องฟ้า เชย์น่ารู้ว่าเบกาพังค์ไปที่ไหน จากการเปลี่ยนแปลงของกระแสลม
"พวกนั้นไม่ได้รับมือยากขนาดนั้น ตอนที่เปลวไฟดับลง พลังป้องกันของพวกมันจะลดลงอย่างมาก นั่นแหละคือโอกาส กำจัดพวกก่อกวนนั่นซะ แล้วพวกนายก็กลับไปก่อน เจอกันที่โอนิงะชิมะ"
ในเมื่อพลังของเซราฟิมมาจากเผ่าลูนาเรีย จุดอ่อนของพวกมันก็เห็นได้ชัด
พลังป้องกันอันแข็งแกร่งของเผ่าลูนาเรีย คือสิ่งที่ทำให้เซราฟิมรับมือยากที่สุด
หลังจากฝากฝังภารกิจแล้ว เชย์น่าก็ไม่คิดจะอยู่ต่อ แต่ขยับปีกใหม่ บินไล่ตามไป
คิซารุพยายามขัดขวางเชย์น่า แต่เมื่อเซราโอร่ากลับมา การเคลื่อนไหวของเขาก็ไม่คล่องตัวเหมือนเดิม
เมื่อความเร็วที่เหนือกว่าถูกตามทัน ภัยคุกคามที่คิซารุสร้างได้ก็ลดลงไปอีกขั้น
"หลีกไป"
"น่าเสียดาย ไม่ได้หรอก ตอนนี้เธอโกรธมาก นายก็อยู่สู้กับพวกเราตรงนี้เถอะ"
ไม่กี่นาที สถานการณ์ก็พลิกผัน คิซารุที่เพิ่งจะขัดขวางเชย์น่าไม่ให้ออกไป ตอนนี้กลับถูกเซราโอร่ารั้งตัวเอาไว้
โครม!
ท้องฟ้ามืดครึ้มในทันที ระหว่างจัดการเซราฟิมก่อน ค่อยไล่ตามเวก้าพังค์ กับไล่ตามเวก้าพังค์โดยตรง เธอเลือกอย่างหลัง
เซราฟิมเป็นแค่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้น ถ้าไม่กำจัดผู้สร้าง ต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรน่าขยะแขยงแบบนี้โผล่มาอีกเท่าไหร่
เธอวางใจมอบหมายที่นี่ให้เซราโอร่า ในเมื่อไม่มีโหมดเปลวไฟสีฟ้า ไม่มีทักษะพิเศษ เซราฟิมจะรับมือกับเซราโอร่าได้ ก็ต้องยกเลิกโหมดป้องกัน ไม่งั้นพวกมันก็จับเซราโอร่าไม่ได้ แม้แต่ช่วยโจมตีก็ยังทำไม่ได้
เมื่อพวกมันยกเลิกโหมดป้องกัน เซราโอร่าจะต้องคว้าโอกาสนั้นไว้ได้แน่ นี่คือความเชื่อใจของเชย์น่า และก่อนที่เธอจะไป ก็ยังสร้างสนามเหย้าให้เซราโอร่าด้วย
เมฆฝนฟ้าคะนองคือฝีมือของเชย์น่า ภายใต้สายฟ้าฟาด ที่นี่กลายเป็นสนามรบที่เหมาะกับเซราโอร่าที่สุด
"ช่วยได้เยอะเลย"
โครม!
สายฟ้าฟาดลงมาที่ร่างของเขาตามการชี้นำของเซราโอร่า เขาอาบแสงสายฟ้า ทุกเส้นขนบนร่างกายเต็มไปด้วยกระแสไฟฟ้า หอกสายฟ้าที่ส่องประกายเจิดจ้า รวมตัวกันอยู่ในมือของเขา ดั่งสมยานามของเขา - เซราโอร่าแห่งสายฟ้าฟาด
แว่นกันแดดช่วยลดแสงจ้าจากสายฟ้า คิซารุไม่ได้พูดว่า "น่ากลัว" อีก แต่รวบรวมแสงที่เจิดจ้าที่สุดนับตั้งแต่เริ่มต่อสู้มา
ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:ยักษาแปร ผู้แปลลงแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับผม หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิกกระซิก ;-;_