ตอนที่แล้วบทที่ 1116 (237) การเดินทางสู่กวางตุ้งสิ้นสุดลง...ชั่วคราว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 1118 (239) ศิลปะการต่อสู้โบราณและหวางฉาว (ตอนฟรี)

บทที่ 1117 (238) ความคิดของถงเล่ย (ตอนฟรี)


บทที่ 1117 (238) ความคิดของถงเล่ย (ตอนฟรี)

แม้จะเป็นยามราตรี แต่เจียงโจวยังคงคึกคักแทบไม่ต่างจากตอนกลางวัน แต่จี้เฟิงที่เพิ่งกลับมาที่เจียงโจวยังไม่มีอารมณ์ที่จะสัมผัสกับความคึกคักของเมืองใหญ่แห่งนี้

จี้เฟิงในเวลานี้กำลังกอดรัดอยู่กับเซียวหยูซวนและถงเล่ยอยู่ในห้องนอนอันแสนอบอุ่น...อุ่นจนเกือบจะร้อนระอุ

เนื่องจากไม่ได้เจอกับเกือบหนึ่งสัปดาห์ จี้เฟิงจึงคิดถึงพวกเธอมาก แน่นอนว่าเซียวหยูซวนและถงเล่ยก็คิดถึงเขามากเช่นกัน ดังนั้นหลังจากทานอาหารเย็น จี้เฟิงจึงพาพวกเธอขึ้นไปบนห้อง และถึงแม้ว่าทั้งสองสาวจะรู้สึกเขินอายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้วิ่งหนีไปเหมือนเคย แต่กลับยอมให้จี้เฟิงพาเข้าไปในห้องอย่างแบ่งรับแบ่งสู้

ไม่นานเสียงครางอันยั่วยวนที่ทำให้ใจเต้นรัวก็ค่อยๆ ลอยออกมา ทำให้เสี่ยวอิงและหานเซิ่นต้องหน้าแดงก่ำอีกครั้ง พวกเธอรีบเก็บของและวิ่งเข้าห้องนอนทันที แม้กระทั่งการดูทีวีหลังมืออาหารเย็นที่พวกเธอมักจะเป็นประจำก็ยังลืม พวกเธอเอาผ้าห่มคลุมหัวไว้ด้วยความเขินอาย

มีเพียงแมงมุมขาวเท่านั้นที่นั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่นอย่างเงียบๆ แต่เมื่อได้ยินเสียงครางดังขึ้นมาจากชั้นบน ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อ ร่างกายขยับเล็กน้อย และขาของเธอก็หุบเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว...

แต่เพียงไม่นานเธอก็หายใจเข้าลึกๆหลายครั้ง จนกลับมาสงบลงได้อีกครั้ง

ทว่าในดวงตาของเธอกลับมีแววตาที่แปลกประหลาด มันเปล่งประกายวาววับ เธอเงยหน้าขึ้นมองเพดานเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ จากนั้นก็ส่ายหัวพร้อมกับยิ้มอีกครั้ง และยังทำท่าขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็น จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นยืนอย่างช่วยไม่ได้ ปิดทีวีแล้วเดินเข้าไปในห้อง เปิดคอมพิวเตอร์ สวมหูฟังและเริ่มท่องอินเทอร์เน็ต

แต่สิ่งที่ทำให้แมงมุมขาวรู้สึกแปลกใจคือ ถึงแม้จะเป็นเวลาค่ำคืนที่เงียบสงบ แต่เธอกลับไม่รู้สึกเหงาเลยสักนิด เมื่อได้ยินเสียงครางแผ่วๆจากชั้นบน เธอกลับรู้สึกเหมือน...ได้อยู่บ้านจริงๆ

แมงมุมขาวรู้สึกว่า ถ้าเป็นที่นี่เธอจะสามารถผ่อนคลายได้อย่างเต็มที่ ไม่จำเป็นต้องระวังอะไรเลย นอกจากจะต้องระวังคนนอกที่อาจจะแอบเข้ามาในบ้าน ส่วนคนในบ้านคนอื่นๆ เธอไม่จำเป็นต้องระวังใครเลย

ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะยังไม่เข้าใจความคิดของจี้เฟิงทั้งหมด แต่หลังจากที่อยู่ด้วยกันมาสักพัก เธอก็รู้สึกได้ว่าจี้เฟิงค่อนข้างเป็นกันเองกับเธอ ไม่ได้มองเธอเป็นเพียงแค่บอดี้การ์ด แต่กลับรู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนกันมากกว่า

ส่วนหานเซิ่นกับเสี่ยวอิงนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง หญิงสองสาวคนนี้น่ารักมาก พวกเธอเป็นเหมือนน้องสาวแท้ๆ  ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรเลย

แต่ที่แปลกก็คือ ความรู้สึกแบบนี้ทำให้แมงมุมขาวรู้สึกสับสน เมื่อไหร่กันที่เธอเคยรู้สึกผ่อนคลายขนาดนี้?

นี่มันแปลก... แปลกมากจริงๆ ...

...........

ในขณะเดียวกัน ภายในห้องนอนชั้นบน จี้เฟิงก็ยังคงมีความสัมพันธ์ที่แนบชิดกับเซียวหยูซวนและถงเล่ยอยู่

ตอนนี้เป็นปลายเดือนมิถุนายน เจียงโจวกำลังอยู่ในฤดูร้อนที่ร้อนระอุ แม้จะเปิดแอร์ในห้องนอน แต่ความร้อนจากภายนอกก็ยังคงแผ่เข้ามาอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาเริ่มกิจกรรมรักโดยที่ยังไม่ทันได้เปิดแอร์ในห้องนอนเลย ดังนั้นอุณหภูมิในห้องจึงร้อนมาก

แต่เนื่องจากเซียวหยูซวนและถงเล่ยยืนกรานที่จะฝึกแอโรบิกเป็นประจำ ร่างกายของพวกเธอจึงไม่จำเป็นต้องกลัวอุณหภูมิแบบนี้ ไม่ต้องพูดถึงว่านี่ยังเป็นเวลากลางคืน

อย่างไรก็ตาม ร่างกายของเธอยังคงเหงื่อออกจนเปียกไปทั้งตัว

เซียวหยูซวนและถงเล่ยนอนอยู่บนเตียง ทั้งคู่มีแววตาพร่าเลือน ผิวที่เคยขาวนวลในเวลานี้กลายเป็นสีแดงก่ำ โดยเฉพาะเซียวหยูซวน เธอรู้สึกเหมือนว่าแรงทั้งหมดในร่างกายถูกดูดออกไปหมด เธอจึงนอนนิ่งอยู่บนเตียงโดยไม่ขยับเขยื้อน

ถงเล่ยยังคงรับความรักจากจี้เฟิงอยู่ ริมฝีปากสีแดงเย้ายวนของเธอส่งเสียงครางออกมาเป็นครั้งคราว ซึ่งเร้าอารมณ์ของจี้เฟิงมากยิ่งขึ้น

“อ๊ะ—! อ๊า~~!”

ลมหายใจของถงเล่ยเริ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆและในที่สุด เธอก็ร้องครางออกมาเสียงดัง จากนั้นห้องก็เงียบลง และมีเพียงเสียงหอบหายใจที่ยังคงดังออกมา

ร่างกายของถงเล่ยสั่นเทาไม่หยุด ขาเรียวขาวของเธอพันรอบเอวของจี้เฟิงแน่นด้วยแรงที่น่าประหลาดใจ เหมือนจะดึงจี้เฟิงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเธอ ร่างกายของเธอเกร็งจนตัวแข็ง

“อ่าห์~~”

ผ่านไปหลายนาที ถงเล่ยก็ผ่อนคลายลง เธอรู้สึกเหมือนว่าพลังงานทั้งหมดในร่างกายถูกดูดออกไปหมด เธอทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดเรี่ยวแรง ริมฝีปากแดงอ้าออกเล็กน้อย หายใจแผ่วเบา ดวงตาก็พร่ามัว...

ผิวขาวเนียนของเธอตอนนี้กลายเป็นสีแดงก่ำไปหมด มีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ประกายระยิบระยับ ดูยั่วยวนน่าหลงใหลเป็นอย่างยิ่ง...

จี้เฟิงหัวเราะเบาๆ แล้วจูบที่ริมฝีปากแดงๆของถงเล่ย ก่อนจะถอนตัวออกและลุกขึ้น

ในขณะที่ทั้งสองแยกจากกัน ถงเล่ยก็ตัวสั่นอีกครั้ง และร้องครางออกมาอย่างไม่ตั้งใจ

จี้เฟิงหัวเราะอย่างชั่วร้ายสามครั้ง ก่อนจะหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดตัวให้ทั้งสองเบาๆ แล้วคลุมผ้าให้พวกเธอ ผ้าขนหนูบางๆที่คลุมร่างกายนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอะไรเลย เหมือนกับการสวมใส่ชุดนอนผ้าไหมซาตินบางๆ ปกปิดเอาไว้เพียงเล็กน้อยแต่ก็เผยให้เห็นผิวหนัง ทำให้เกิดความยั่วยวน...

ในที่สุดห้องก็กลับมาสงบอีกครั้ง

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง เซียวหยูซวนถึงกับถอนหายใจยาว แล้วบ่นเสียงเบาๆ ว่า “เจ้าคนเจ้าเล่ห์ พอกลับมาก็มาทำแบบนี้เลย ไป๋จูก็อยู่ข้างล่างด้วยนะ แล้วจะให้ฉันกับเล่ยเล่ยไปมองหน้าคนอื่นๆได้ยังไง!”

จี้เฟิงหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “แสดงความรักต่อกัน มีอะไรกัน... มันก็เรื่องปกติของสามีภรรยา ใครจะมาว่าอะไรได้”

เซียวหยูซวนหยิกเขาเบาๆ แล้วบ่นด้วยความหมั่นไส้ “หาข้ออ้างเก่งจริงนะ! ถ้าพรุ่งนี้ไป๋จูมาหัวเราะเยาะฉันล่ะก็ นายจะต้องไปจัดการสั่งสอนเธอให้ฉัน เข้าใจไหม?!”

จี้เฟิงหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ไม่ต้องห่วง ไป๋จูไม่หัวเราะเยาะเธอหรอก ไม่ว่ายังไงเธอก็เป็นเจ้านายของไป๋จู แล้วเธอจะกล้ามาหัวเราะเยาะได้ยังไง?” จี้เฟิงหัวเราะต่อ “แต่ถ้าไป๋จูกล้ามาล้อเธอจริงๆ ฉันจะดุเธอให้เข็ดเลย แบบนี้พอใจหรือยัง?”

“แบบนี้ค่อยดีหน่อย!” เซียวหยูซวนบ่นอุบอิบ “เพราะนายนี่แหละ ทำให้ฉันกับเล่ยเล่ยไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน โดยเฉพาะเวลาเจอหน้าเซิ่นเซิ่นกับเสี่ยวอิง

จี้เฟิงหัวเราะออกมาดังๆ แล้วพูดว่า “ฉันบอกเธอไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าสองคนนั้นต้องเข้าใจแน่ๆ ไม่เห็นจะต้องกังวลกับเรื่องนี้เลย ตราบใดที่เราใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มันก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“ตาบ้านี่!” เซียวหยูซวนบ่นอุบอิบ “แค่นายมีความสุขก็พอแล้วใช่ไหม?”

ขณะนั้นเอง ถงเล่ยก็ดูเหมือนจะฟื้นตัวขึ้นมา เธอพลิกตัวมาหาจี้เฟิง วางศรีษะลงบนอกของเขา เผชิญหน้ากับเซียวหยูซวนพอดี

“พี่หยูซวน พี่ก็รู้ดีว่าเขาเป็นคนยังไง แล้วทำไมตอนนี้ยังจะมาคิดมากอีก” ถงเล่ยถามด้วยน้ำเสียงขำๆ

“เล่ยเล่ย! เธอนี่มองโลกในแง่ดีเกินไปแล้ว เราเป็นพี่น้องกันน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าให้คนอื่นได้ยินเสียงของเรา...” พูดถึงตรงนี้ใบหน้าของเซียวหยูซวนก็แดงก่ำ “ไม่รู้แหละ ทั้งหมดเป็นความผิดของไอ้เจ้าคนเจ้าเล่ห์คนนี้นี่แหละ!!”

“โอ๊ย!”

จี้เฟิงร้องออกมาเบาๆ เมื่อเขาถูกหยิก แม้จะไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่ แต่เขาก็ต้องทำเป็นเจ็บเพื่อเอาใจเซียวหยูซวน

ถงเล่ยหัวเราะเบาๆแล้วพูดว่า “พี่หยูซวนคะ ฉันว่ายิ่งพี่โฟกัสกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ พี่ก็ยิ่งปล่อยวางไม่ได้ มันเลยทำให้พี่คิดว่าทุกคนกำลังมองพี่อยู่ บางทีอาจไม่มีใครสนใจพี่เลยก็ได้... ลองปรับอารมณ์ สงบจิตสงบใจดูสิคะ ฉันเชื่อว่าทุกอย่างจะสงบลงเอง”

ห๊ะ...?!

จี้เฟิงและเซียวหยูซวนอดไม่ได้ที่จะตกใจเล็กน้อย จี้เฟิงยิ้มและถามว่า “เล่ยเล่ย เธอสนใจปรัชญาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?”

ถงเล่ยยิ้มบางๆแล้วพูดเบาๆว่า “นิสัยของฉันค่อนข้างเย็นชา ไม่ค่อยถนัดเข้าสังคมเท่าไหร่ ดังนั้นช่วงนี้เลยลองอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ดู อยากจะลองปรับปรุงตัวเองดูบ้าง หลังจากอ่านมาเยอะ ก็เข้าใจอะไรหลายอย่างเลยล่ะ...”

“โอ้?”

ทั้งจี้เฟิงและเซียวหยูซวนต่างรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จี้เฟิงถามต่อไปว่า “เล่ยเล่ย เธอเป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้วนี่นา ทำไมถึงอยากเปลี่ยนล่ะ มีใครพูดอะไรให้เธอไม่สบายใจหรือเปล่า?”

“ไม่มีหรอก” ถงเล่ยหัวเราะเบาๆแล้วพูดว่า “ฉันแค่รู้สึกว่า ตอนนี้เราก็กำลังจะขึ้นปี 3 แล้ว ปี 4 ก็ไม่มีหลักสูตรอะไรมากมาย หลังจากนั้นก็ต้องไปทำงาน ดังนั้นเลย…”

“เล่ยเล่ย เธอคิดมากไปแล้วนะ!” จี้เฟิงยิ้มแล้วหยิกแก้มเธอเบา ๆ พร้อมหัวเราะว่า “จริงๆนิสัยของเธอก็ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอะไรเลย ถ้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาสุดท้ายอาจจะกลายเป็นคนแปลกๆเอาได้นะ พอจบไปแล้วอยากจะทำอะไรก็ทำไปเลย ไม่ต้องไปสนใจสายตาของคนอื่นหรอก!”

“ถ้าอย่างนั้น... ถ้าฉันอยากจะเปิดคอร์สเรียนล่ะ?” ถงเล่ยถามขึ้นมา

“คอร์สเรียนเหรอ?” จี้เฟิงอึ้งไปเล็กน้อย “เธอตั้งใจจะเปิดคอร์สเรียนอะไรล่ะ?”

ถงเล่ยใบหน้าแดงเล็กน้อย เธอพูดว่า “พอดีฉันเห็นว่าที่เจียงโจวมีชาวต่างชาติมาอยู่กันเยอะขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกเขาก็พูดภาษาจีนได้ไม่ค่อยดี แถมยังมีชาวต่างชาติหลายคนที่อยากจะสมัครเข้าเรียนภาษาจีนในมหาวิทยาลัยของเรา แต่ว่าทางมหาวิทยาลัยเรายังไม่มีคอร์สเรียนแบบนี้เปิดสอน ดังนั้นฉันเลยคิดว่า...”

“เล่ยเล่ย เธอหมายถึงว่าอยากจะเปิดคอร์สสอนภาษาจีนให้ชาวต่างชาติโดยเฉพาะใช่ไหม?” เซียวหยูซวนถาม “เดี๋ยวนี้ก็มีสถาบันสอนภาษาแบบนี้มันมีเยอะแยะเลยนะ...”

“สถาบันพวกนั้นส่วนใหญ่ก็จะสอนสำหรับผู้ใหญ่ จริงๆแล้วสิ่งที่ฉันอยากจะเปิดคอร์สสอนคือคอร์สเรียนสำหรับลูกๆของชาวต่างชาติต่างหาก” ถงเล่ยตอบ “ฉันสอนผู้ใหญ่ไม่เก่งหรอก แต่สอนเด็ก ๆ น่าจะไหว”

“อืม!” จี้เฟิงพยักหน้า “เล่ยเล่ย ความคิดของเธอค่อนข้างดีเลยนะ!”

ถงเล่ยพยักหน้าและยิ้ม “จริงๆแล้วฉันแค่คิดว่ามันง่ายกว่าที่จะสอนเด็กๆ และชาวต่างชาติที่พาลูกมาด้วยก็มีไม่เยอะ แค่ส่วนน้อยเท่านั้น พอดีฉันก็ไม่ถนัดบริหารคอร์สเรียนใหญ่ๆด้วย ดังนั้นฉันเลยคิดว่าการสอนภาษาจีนให้เด็กๆ ชาวต่างชาติมันเหมาะกับฉัน!”

“ดีๆไอเดียนี้ดีมากเลย ให้ชาวต่างชาติเหล่านั้นเรียนรู้ภาษาจีนไว้ตั้งแต่เด็กๆ ไม่แน่เล่ยเล่ยอาจเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ภาษาจีนกลายเป็นภาษาสากลเลยก็ได้ เล่ยเล่ยเธอต้องตั้งใจทำนะ!” จี้เฟิงพูดติดตลก

“นิสัยไม่ดี!” ถงเล่ยตีแขนเขาเบาๆ

“แต่ว่า ไอเดียของเล่ยเล่ยมันดีจริงๆนะ เธอเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยชอบพูดกับคนเยอะ แถมยังเรียนภาษาต่างประเทศด้วย การเปิดคอร์สสอนภาษาเนี่ยก็ถือว่าเป็นการใช้ความรู้ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างดีเลย!”

“อืม ใช่เลย” จี้เฟิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

“แต่พูดเรื่องนี้ตอนนี้มันยังเร็วเกินไป ฉันแค่อยากจะบอกให้รู้เฉยๆ...”  ถงเล่ยกล่าว “จี้เฟิง พรุ่งนี้นายจะไปมหาวิทยาลัยไหม?”

......จบบทที่ 1117~

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด