ตอนที่2 การฝึกซ้อม เย่ซิวหยูปฏิเสธที่จะร่วมทีม
ขณะนั้น ภายในห้องเรียนชั้นมัธยมปลายปีที่ 3 ห้อง 1 โรงเรียนมัธยมเฉิงเทิง
ซุน กูผิง อาจารย์ประจำชั้นยืนอยู่บนโพเดียม เขามองลงมาแล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“นักเรียนทุกคน อีกหนึ่งเดือนข้างหน้าก็จะถึงเวลาสอบประลองยุทธแห่งชาติแล้ว”
“เพื่อเพิ่มคะแนนในการสอบประลองยุทธของพวกเธอ โรงเรียนจะจัดให้พวกเธอฝึกซ้อมการเอาชีวิตรอดภายในป่าสัปดาห์หน้า”
“การฝึกซ้อมนี้จะแบ่งเป็นกลุ่มละสองคน พวกเธอต้องเอาชีวิตรอดด้วยตนเองเป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์ในพื้นที่ที่โรงเรียนกำหนด”
“เพื่อความปลอดภัยของพวกเธอ โรงเรียนจะจัดอาจารย์ที่มีระดับการบ่มเพาะระดับสองคอยเฝ้าติดตามพวกเธออย่างลับๆ ตลอดการฝึกซ้อม!”
“แน่นอนว่าเหล่าอาจารย์จะปรากฏตัวก็ต่อเมื่อพวกเธอตกอยู่ในอันตรายเท่านั้น ถ้าหากอาจารย์ลงมือช่วย นั่นแปลว่าการต่อสู้เอาชีวิตรอดของพวกเธอล้มเหลว!”
ดวงตาของเย่ซิวหยูเป็นประกายหลังจากได้ยินเรื่องนี้ นี่มันเหมือนกับข่าวดีสำหรับเขา!
เมื่อคืนเขายังกังวลว่าจะล่าสัตว์ร้ายได้อย่างไรให้ปลอดภัย แต่เช้าวันนี้เขากลับได้รับแจ้งเกี่ยวกับการฝึกซ้อมการเอาชีวิตรอดของโรงเรียน
หรือจะเป็นเพราะสวรรค์หยั่งรู้ถึงความยากลำบากของเขา จึงมอบความอบอุ่นให้?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เย่ซิวหยูอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น
นี่ไม่ใช่การฝึกซ้อม นี่คือสนามฝึกที่สร้างขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ
ขณะที่เขากำลังจินตนาการถึงฉากที่ครอบครองแต้มพลังงงานจำนวนมาก
ซุน กูผิงที่ยืนอยู่บนเวทีก็เริ่มประกาศรายชื่อกลุ่ม
“กลุ่มที่หนึ่ง: หม่าเล่ย เจ้าซุ่ย”
“กลุ่มที่สอง: หลีต้าหลี่ เจ้ากุยเซียง”
“กลุ่มที่สาม: เฉินหัวเฟย ติงเสี่ยวเหว่ย”
…
“กลุ่มที่ยี่สิบสี่: เมิ่งซีหยุน เย่ซิวหยู!”
เฉินหัวเฟยที่นั่งอยู่ด้านหน้ากำลังจินตนาการถึงฉากที่ตนได้อยู่กลุ่มเดียวกับเมิ่งซีหยุน
เพราะภายในห้องเรียกนี้ นอกจากพรสวรรค์ระดับ SS ของเมิ่งซีหยุนแล้ว พรสวรรค์ระดับ A ที่เขาปลุกขึ้นมาก็แข็งแกร่งที่สุดแล้ว
หลังจากได้ยินว่าเย่ซิวหยูและเมิ่งซีหยุนอยู่กลุ่มเดียวกัน
เขาก็ลุกขึ้นทันทีพลันชี้ไปที่เย่ซิวหยู แล้วพูดออกมาด้วยความไม่พอใจ
“อาจารย์ซุน ด้วยพรสวรรค์อันไร้ค่าของเย่ซิวหยู ทำไมเขาถึงได้อยู่กลุ่มเดียวกับเมิ่งซีหยุน?”
“เพียงเพราะเขาดูเหมือนขอทานงั้นหรอ?”
“ฮ่าๆ! ด้วยพรสวรรค์ระดับ E แม้แต่หมาของฉันตอนอิ่มท้อง ยังต่อยเขาได้สองครั้ง!”
“ฮ่าๆๆๆๆ~”
ขณะนั้น เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วห้องเรียน
เฉินหัวเฟยเหลือบมองเย่ซิวหยูและแสดงสีหน้าภาคภูมิใจยิ่งขึ้น
ในแง่ของฐานะครอบครัว ทั้งตระกูลเฉินและตระกูลเมิ่งล้วนเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองเฉิงเทิง
ในแง่ของพรสวรรค์ พลังพิเศษระดับ A ของเขาเหนือกว่าพลังพิเศษระดับ E ที่ไร้ค่าของเย่ซิวหยูอย่างสิ้นเชิง
ไม่ว่าจะเปรียบเทียบด้านไหน เขาก็ควรจะถูกจับคู่กับเทพธิดาเมิ่ง
สิ่งที่สวยงามขนาดนั้น
ทำไมมันถึงตกไปอยู่ที่หัวโง่ๆ ของเย่ซิวหยู?
หลังจากได้ยินคำถามของเฉินหัวเฟย นักเรียนต่างแสดงความคิดเห็นอย่างครึกครื้น
“ใช่แล้ว ไม่เพียงแต่เทพธิดาเมิ่งจะปลุกพลังน้ำแข็งระดับ SS เท่านั้น ระดับการบ่มเพาะของเธอยังไปถึงระดับหนึ่งขั้นกลางแล้ว ด้วยพลังมิติหนึ่งลูกบาศก์เมตรของเย่ซิวหยู เขากับเทพธิดาเมิ่งกลับถูกจับให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน!”
“ใช่แล้ว คนที่มีพรสวรรค์ดีที่สุดกับคนที่มีพรสวรรค์ที่แย่ที่สุดถูกจับให้อยู่กลุ่มเดียวกัน อาจารย์ซุนสงสารเขาอย่างงั้นหรอ?”
“อย่าพูดอย่างนั้นเลย ถึงแม้พรสวรรค์ของเย่จะไร้ค่า แต่เขาก็ปลุกพลังมิติที่หาได้ยาก หลังจากทั้งหมด ในการฝึกซ้อมการเอาตัวรอด เขายังสามารถใช้พลังของเขาเก็บของได้”
“ฮ่าๆๆๆ ฉันขำจนจะตาย หากพูดแบบนี้ พื้นที่เก็บของแค่หนึ่งลูกบาศก์เมตรมันก็คือ ‘โกดังเล็กๆ’ อย่างแท้จริง!”
“มันเล็กจริงๆ!”
“ฉันแบกกระเป๋าเดินทาง ยังมีประโยชน์กว่ามันอีก!”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ…”
ท่ามกลางเสียงเยาะเย้ย เฉินหัวเฟยเหลือบมองเย่ซิวหยูอย่างเย่อหยิ่ง
เจ้าเด็กน้อยอยากแย่งผู้หญิงจากฉัน แกยังไม่คู่ควร!
เย่ซิวหยูไม่สนใจการเยาะเย้ยของเฉินหัวเฟย และมองไปที่หญิงสาวคนหนึ่งในแถวหน้า
เขาเองก็ต้องยอมรับว่าเมิ่งซีหยุนนั้นเป็นคนที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง!
ไม่เพียงแต่เธอจะได้รับการยอมรับว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของโรงเรียนมัธยมเฉิงเทิงเท่านั้น เธอยังมีความสามารถที่สูงส่งอีกด้วย
ตามมาตรฐานการจัดอันดับพรสวรรค์ที่ถูกกำหนดโดยสมาคมผู้ปลุกพรสวรรค์ระหว่างประเทศ มันมีทั้งหมดเก้าระดับพรสวรรค์โดยเรียงจากสูงไปต่ำ ได้แก่ SSS, SS, S, A, B, C, D, E และ F
แม้แต่ในประเทศจีนปัจจุบันนี้ ก็มีผู้ที่มีพรสวรรค์ระดับ SS บันทึกไว้เพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น
ผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะต่ำที่สุดในกลุ่มคนเหล่านั้นก็ได้มาถึงระดับการบ่มเพาะสูงสุดของระดับเจ็ดแล้ว และอยู่ห่างจากการเข้าสู่ระดับแปดเพียงก้าวเดียว
นั่นเป็นเพราะชายผู้นั้นยังอายุน้อย หากมีเวลา เขาก็จะสามารถพัฒนาต่อไปได้อย่างแน่นอน
สามารถพูดได้ว่าในฐานะผู้ใช้พลังเหนือธรรมชาติที่ตื่นรู้พรสวรรค์ระดับ SS เมิ่งซีหยุนจะต้องไปถึงการบ่มเพาะระดับเก้าเพียงแค่ฝึกฝนอย่างหนักเท่านั้น
ส่วนระดับที่สูงกว่าอย่าง SSS ตั้งแต่ที่ชาวบลูสตาร์ตื่นรู้พลังของพวกเขาจนถึงตอนนี้
หลายสิบปีที่ผ่านมามีเพียงสามคนเท่านั้นที่ปรากฏตัวขึ้น
ด้วยการมีอยู่ของพวกเขา มนุษย์จึงสามารถต้านทานการรุกรานของเหล่าสัตว์ร้ายได้
เย่ซิวหยูเบือนสายตาไปพลางฟังเสียงเยาะเย้ยของเพื่อนร่วมชั้น รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาอย่างไม่มีใครสังเกต
ทุกคนพูดถูก เขาคือขยะที่มีพรสวรรค์ระดับE
ถึงแม้ว่าเขาจะโชคดีที่ได้เข้าโรงเรียนศิลปะการต่อสู้เหนือธรรมชาติ เขาก็ยังคงเป็นพวกระดับล่างตลอดชีวิต
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ฉันมีระบบแล้ว และมันไม่ใช่สิ่งที่ใครจะคาดคิดได้
เมื่อเห็นว่าเย่ซิวหยูไม่พูดอะไร
เฉินหัวเฟยคิดว่าเด็กคนนี้กำลังหวาดกลัว เขาจึงยุแยงต่อไป
“อาจารย์ ด้วยพรสวรรค์ของเย่ซิวหยู มันยากที่จะอยู่ในโรงเรียนศิลปะการต่อสู้เหนือธรรมชาติ ในความคิดของผม มันจะดีกว่าหากให้เขาอยู่คนเดียว เพื่อไม่ให้ไปถ่วงนักเรียนคนอื่นๆ!”
“ข้อเสนอของลูกพี่เฉินนั้นยอดเยี่ยม ผมเห็นด้วย”
“ผมก็คิดอย่างนั้น ให้เขาอยู่คนเดียวแล้วไม่ไปเบียดเบียนนักเรียนคนอื่น”
“ใช่ ด้วยระดับพลังของเขา ใครก็ตามที่อยู่กลุ่มเดียวกันกับเขาคงซวย!”
“เงียบๆ หน่อย…ลืมไปหรือเปล่าว่าเทพธิดาเมิ่งอยู่กลุ่มเดียวกับเขาตอนนี้”
“อ้อๆๆ…ฉันลืมไป อาจารย์ ผมเองก็พูดอย่างจริงจัง ผมขอแนะนำอย่างยิ่งให้เย่ซิวหยูอยู่คนเดียว!”
เมื่อเผชิญหน้ากับเด็กในชั้นที่โวยวาย ซุน กูผิงขมวดคิ้ว
เขาโบกมือใส่เฉินหัวเฟยและพูดว่า
“นักเรียนเฉิน เชิญนั่งลงก่อน!”
ข้อเสนอที่เฉินหัวเฟยและเพื่อนร่วมชั้นเสนอนั้นทำให้เขารู้สึกหนักใจ
ในทางกลับกัน ดวงตาของเย่ซิวหยูเป็นประกายขึ้นอย่างไม่รู้ตัวหลังจากได้ยินข้อเสนอของเฉินหัวเฟย
ไม่คาดคิด ว่าสิ่งที่เฉินหัวเฟยทำลงไปกลับเป็นสิ่งที่เขาต้องการ!
เดิมทีเขากังวลอยู่ว่าจะขอเข้าร่วมกิจกรรมด้วยตัวคนเดียวกับอาจารย์ซุนอย่างไร
ตอนนี้ สัตว์ร้ายทุกตัวหมายถึงแต้มพลังงานสำหรับเขา และแต้มพลังงานคือพลัง
ถ้าเขาอยู่กลุ่มเดียวกับเมิ่งซีหยุนจริงๆ เขาก็ไม่รู้ว่าจะเสียแต้มพลังงานไปเท่าไหร่
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดี!
เมื่อคิดได้อย่างนั้น เย่ซิวหยูก็ลุกขึ้นและพูดอย่างมั่นคงกับซุน กูผิง
“อาจารย์ สำหรับการฝึกซ้อมครั้งนี้ ขอให้ผมอยู่คนเดียว!”
ทันทีที่พูดจบ ทั้งห้องก็โกลาหล จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นทั่วห้องเรียน
“ฮ่าๆๆๆ ฉันได้ยินถูกต้องมั้ย? เขาขออยู่คนเดียวจริงๆ!”
“ด้วยความสามารถห่วยๆ ของเขา เขาคงกลายเป็นหนึ่งในของเสียของอสูรร้ายแน่!”
“ทำไมก่อนหน้านี้ฉันถึงไม่รู้ว่าเย่ซิวหยูมีพรสวรรค์ทางด้านตลก?”
“ฮ่าๆๆๆ ฉันขำแทบตาย นี่เป็นเรื่องตลกที่ตลกที่สุดที่ฉันเคยได้ยินในปีนี้!”
แม้แต่เฉินหัวเฟย ผู้ริเริ่มก็มีร่องรอยของความตกใจในดวงตา
นี่เย่ซิวหยูเป็นบ้าไปแล้ว?