ตอนที่แล้วบทที่ 398 ผู้มอบตัว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 400 สิ่งที่เรียกว่าความสุข

บทที่ 399 ไม่ต้องกลัว ฉันอยู่นี่แล้ว


บทที่ 399 ไม่ต้องกลัว ฉันอยู่นี่แล้ว

หลังอาหารเย็น เจียงลู่ซีไปอาบน้ำ

หลังจากเฉินเฉิงช่วยเป่าผมให้เธอเสร็จ เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบสี่ทุ่ม

โชคดีที่การแข่งขันที่สำคัญที่สุดของเจียงลู่ซีได้ผ่านพ้นไปแล้ว

คืนนี้เธอจึงไม่จำเป็นต้องเรียนหนังสือจนดึกหลังจากอาบน้ำเหมือนที่ผ่านมา

ถ้าเธอยังต้องเรียนอีกหลายชั่วโมงหลังอาบน้ำเหมือนเมื่อก่อน คืนนี้เธอคงไม่ได้เข้านอนก่อนตีหนึ่งแน่

เมื่อเฉินเฉิงช่วยเป่าผมให้เจียงลู่ซีเสร็จ เธอไม่ได้กลับห้องทันที

แต่เลือกนั่งลงบนโซฟาและเปิดโทรทัศน์ดู

ส่วนเฉินเฉิงก็เข้าไปในห้องน้ำเพื่ออาบน้ำและล้างหน้า

หลังจากอาบน้ำเสร็จ เฉินเฉิงใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมขณะเดินออกมา

เมื่อเขาคิดว่าผมแห้งพอแล้ว เขาก็นั่งลงข้างเจียงลู่ซี

แม้ผมของเฉินเฉิงจะไม่ได้ยาวเหมือนของผู้หญิง แต่ก็หนาพอสมควร

ปกติเขาจะนั่งอยู่บนโซฟาสักพัก ปล่อยให้ลมจากเครื่องปรับอากาศช่วยเป่าผมให้แห้งก่อนกลับห้องนอน

เฉินเฉิงไม่เคยมีนิสัยใช้ไดร์เป่าผม

บางทีผู้ชายส่วนใหญ่ก็อาจจะเป็นแบบนี้

พวกเขามักคิดว่าเช็ดผมสักหน่อย เดี๋ยวมันก็แห้งเอง

“ผมเธอยังไม่แห้งเลย” เจียงลู่ซีพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าผมของเฉินเฉิงยังเปียกอยู่มาก

“เดี๋ยวก็แห้ง ผู้ชายอย่างเราผมไม่ได้ยาวเหมือนพวกเธอ แค่เปิดแอร์ไว้ก็แห้งง่ายแล้ว” เฉินเฉิงยิ้มตอบ

“แบบนี้เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก” เจียงลู่ซีพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้เป่าผมตรงหน้าลมเสียหน่อย” เฉินเฉิงตอบ

แต่ความจริงคือ ในอดีตเขาเคยเป่าผมตรงหน้าลมเครื่องปรับอากาศเพื่อให้แห้งเร็วขึ้น ซึ่งแม้ว่าจะรู้สึกเย็นสบาย แต่พอนานเข้าก็ทำให้ปวดหัวได้

เจียงลู่ซีกัดริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นและหยิบไดร์เป่าผมจากลิ้นชัก

เธอเสียบปลั๊กไฟและหันมาบอกเขา “มานี่สิ”

“เธอจะเป่าผมให้ฉันเหรอ?” เฉินเฉิงถามด้วยความประหลาดใจ

“ไม่งั้นล่ะ?” เจียงลู่ซีมองเขาด้วยสายตาคม ก่อนจะถอนหายใจกับความซื่อของเขา

เมื่อเธอหยิบไดร์เป่าผมในเวลานี้ และเธอเองก็เป่าผมจนแห้งแล้ว แน่นอนว่าเธอต้องการเป่าผมให้เขา

“โอเค ๆ” เฉินเฉิงตอบรับก่อนจะเอนตัวลงและเอาหน้าหนุนลงบนตักของเธอ

เจียงลู่ซีหน้าแดงทันที เธอดันเขาออกด้วยความเขินอาย “ฉันบอกว่าจะเป่าผมให้เธอ แล้วเธอมานอนหนุนตักฉันทำไม?”

เฉินเฉิงหัวเราะ “ลู่ซี ถ้าฉันไม่นอนหนุนแบบนี้ เธอก็ต้องยกมือเป่าผมให้ฉัน ซึ่งมันไม่สะดวกเลย เธอจะเมื่อยเปล่า ๆ แต่ถ้าฉันนอนแบบนี้ เธอก็เป่าได้สะดวกขึ้น”

“ฉันไม่ขยับตัวหรอก สัญญา” เขายืนยันก่อนจะนอนหนุนตักเธออีกครั้ง

“ห้ามหนุน!” เจียงลู่ซีพูดอย่างอาย ๆ และโกรธเล็กน้อย

“ถ้าจะให้ฉันนั่งเฉย ๆ เธอก็ต้องยกมือเป่าผมให้ฉัน ซึ่งมันเหนื่อยนะ ถ้าไม่อยากเป่า ก็ไม่เป็นไร ฉันไม่อยากให้เธอเมื่อยมือ”

คำพูดของเขาทำให้เจียงลู่ซีอึ้ง เธอตั้งใจจะดึงเขาออกจากตักอีกครั้ง แต่เมื่อคิดว่าถ้าปล่อยเขาลุกขึ้น เขาอาจไม่ยอมให้เธอเป่าผมให้ เธอจึงยอมปล่อยไป

“แต่ห้ามขยับนะ” เธอเตือน

“การได้หนุนตักเธอถือเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดแล้ว ฉันจะไม่ขยับแน่นอน” เฉินเฉิงยิ้ม

เจียงลู่ซีหน้าแดงอีกครั้ง ก่อนจะฟาดแขนเขาเบา ๆ ด้วยความเขินอาย

“โอ๊ย เจ็บจังเลย” เฉินเฉิงแกล้งร้องออกมาพร้อมทำหน้าทรมาน

เธอเมินคำพูดเล่น ๆ ของเขา หยิบไดร์เป่าผมและเริ่มเป่าผมให้เขาอย่างตั้งใจ

เฉินเฉิงไม่ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย

เพราะการที่ได้หนุนตักเจียงลู่ซี และให้เธอเป่าผมให้ เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดแล้ว

ตักของเธอนุ่มนิ่ม กางเกงนอนบางเบาที่เธอสวมใส่ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความนุ่มเนียนของผิว

กลิ่นหอมสะอาดที่ลอยออกมาจากเธอหลังอาบน้ำทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย

เธอใช้มือเล็ก ๆ ลูบและจัดผมของเขาอย่างอ่อนโยน

ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่สุขสบายที่สุดตั้งแต่เขากลับมาใช้ชีวิตใหม่

เฉินเฉิงรู้สึกอยากหลับตาและหลับไปในอ้อมกอดเธอ

แต่ช่วงเวลาดี ๆ มักจะผ่านไปเร็ว

ไม่นานนัก เจียงลู่ซีก็เป่าผมของเขาจนแห้งสนิท

“เสร็จแล้ว เธอลุกขึ้นได้” เธอกล่าว

“ไม่อยากลุกเลย” เฉินเฉิงตอบ

“อย่ามาทำตัวเป็นเด็ก” เธอพูดอย่างเขิน ๆ และอาย ๆ

“โอเค ๆ ลุกก็ได้” เฉินเฉิงตอบรับ เพราะรู้ว่าถ้ายังดื้ออีก เธออาจไม่ยอมทำอะไรแบบนี้ให้เขาอีกในครั้งหน้า

เจียงลู่ซีเก็บไดร์เป่าผมเข้าลิ้นชัก แต่เธอไม่รู้เลยว่าในตอนที่เธอก้มตัวเพื่อเก็บไดร์เป่าผม ตำแหน่งสะโพกของเธอในกางเกงนอนทำให้เฉินเฉิงถึงกับกลืนน้ำลาย

เด็กสาวคนนี้ อายุสิบเก้าแล้ว

ร่างกายที่เปลี่ยนไปในช่วงหลายปีทำให้เธอไม่ผอมบางเหมือนเมื่อก่อน

ร่างกายของเธอสมส่วนมากขึ้น และส่วนที่ควรโค้งมนก็ดูเด่นชัด

เฉินเฉิงรีบเบือนสายตาและถอนหายใจ

เจียงลู่ซีที่รู้สึกถึงสายตาแปลก ๆ ของเขาจึงรีบซ่อนเท้าของตัวเองใต้โต๊ะชา

เฉินเฉิงหัวเราะเบา ๆ กับความขี้อายของเธอ

เมื่อเธอเป็นของเขาแล้ว จะหนีไปไหนได้อีก?

เจียงลู่ซีหันมามองเขาและส่งสายตาดุ ๆ ให้

ทั้งคู่ยังไม่มีทีท่าจะง่วง จึงเลือกดูภาพยนตร์ต่อ

จอทีวีกำลังฉายภาพยนตร์ของโจวซิงฉือ

เฉินเฉิงจำได้ว่าในยุคนั้น ช่องนี้มักจะฉายภาพยนตร์ของโจวซิงฉือบ่อย ๆ

แต่เรื่องนี้กลับเป็นภาพยนตร์สยองขวัญเรื่องเดียวที่เขาไม่เคยดูจนจบ

เฉินเฉิงซึ่งไม่ชอบภาพยนตร์สยองขวัญเป็นทุนเดิม ได้แต่นั่งตัวเกร็ง ท่ามกลางเสียงหัว

เราะของเจียงลู่ซี

เมื่อถึงฉากน่ากลัว เฉินเฉิงถึงกับร้องออกมาดังลั่น

“เธอเป็นอะไร?” เธอหันมามองเขาอย่างงุนงง

“ไม่มีอะไร” เขาตอบพลางเช็ดเหงื่อ

เขาสบถเบา ๆ กับตัวเอง “ทำไมโจวซิงฉือต้องทำหนังน่ากลัวแบบนี้ด้วยนะ...”

“อ๋อ” เจียงลู่ซีหันกลับไปดูหนังต่อ

เนื้อเรื่องในตอนต่อมาเริ่มผ่อนคลายขึ้น เฉินเฉิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ

ทำไมเมื่อกี้ต้องร้องเสียงดังออกมาด้วยนะ

หลังจากนี้ ไม่ว่าจะน่ากลัวแค่ไหน จะต้องไม่ร้องออกมาอีกเด็ดขาด

มันน่าอายเกินไป

แต่สิ่งที่เฉินเฉิงไม่รู้ก็คือ หนังเรื่องนี้ยังไม่ได้เข้าสู่ช่วงพีค ความน่ากลัวที่แท้จริงยังรออยู่ข้างหน้า

เมื่อถึงฉากที่น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม เฉินเฉิงก็ถูกทำให้ตกใจอีกครั้ง และอดไม่ได้ที่จะร้องเสียงดังออกมาอีก

ในชีวิตของคนเรามักมีบางสิ่งที่ฝังลึกในจิตใจจนทำให้หวาดกลัว

เมื่อสิ่งนั้นปรากฏขึ้น ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ ก็ไม่อาจหักห้ามความกลัวได้

เหมือนกับเฉินเฉิงในตอนนี้

ตั้งแต่เด็กจนโต สิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือเรื่องพวกนี้

สมัยมัธยม เขาเคยแอบอ่านหนังสือเรื่องเล่าผีตอนเรียน

ทุกครั้งที่เดินกลับบ้านหลังเลิกเรียน เขาต้องชวนเพื่อน ๆ อย่างโจวหยวนไปส่งเพื่อนสาวอย่างเฉินชิงด้วยกัน

“เป็นอะไรอีกล่ะ?” เจียงลู่ซีหันกลับมาถาม

“ไม่มีอะไร” เฉินเฉิงส่ายหน้า

“แล้วเมื่อกี้ร้องทำไม?” เธอถามต่อ

“คอแห้งน่ะ” เฉินเฉิงตอบ

“ทำไมเหงื่อเต็มหน้าเลย?” เธอถามอีก

“คงเพราะแอร์มันร้อนไปมั้ง” เฉินเฉิงพูดพลางใช้มือพัดหน้า

“อ๋อ” เจียงลู่ซีตอบก่อนหันกลับไปดูหนังต่อ

ปากแข็งแบบนี้ งั้นก็ดูต่อไป

ความจริงหนังเรื่องนี้ก็น่าสนุกไม่น้อย

ทั้งคู่ดูหนังต่อไป

แต่ยิ่งเนื้อเรื่องดำเนินไป หนังยิ่งน่ากลัวมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำพลาดได้ครั้งแรกหรือครั้งที่สอง จะให้พลาดครั้งที่สามไม่ได้

เขาร้องเสียงดังไปแล้วถึงสองครั้ง ถ้าร้องอีกครั้ง เขาคงหมดศักดิ์ศรี

เฉินเฉิงเลยแอบเอามือปิดตาไว้ เหลือช่องว่างเล็ก ๆ ระหว่างนิ้วเพื่อแอบมอง

แต่นั่นก็แค่หลอกตัวเอง

เพราะถ้าดูแล้ว ยังไงมันก็น่ากลัวอยู่ดี

เมื่อถึงฉากน่ากลัว เฉินเฉิงก็ยังสะดุ้งจนได้

แต่ครั้งนี้ เขาอดกลั้นไว้ได้ ไม่ร้องออกมา

เจียงลู่ซีที่ไม่เห็นเขาร้องเหมือนเมื่อก่อนก็เริ่มแปลกใจ

เพราะฉากนี้น่ากลัวกว่าที่เขาเคยร้องออกมาทั้งสองครั้งเสียอีก

เธอเลยแอบเหลือบมองเขา

และภาพที่เห็นก็คือ เฉินเฉิงใช้มือปิดตาตัวเองไว้อย่างน่าขัน

ถ้าเธอไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ดี เธอคงหลุดหัวเราะออกมาแล้ว

ถึงอย่างนั้น มุมปากของเธอก็อดยกยิ้มไม่ได้

เขาบอกว่าเธอปากแข็ง

แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้ต่างกัน

ทั้งที่ทำแบบนั้นยังกล้าหาข้อแก้ตัว

เมื่อเฉินเฉิงเห็นว่าเธอหันมามอง เขารีบเอามือลงทันที

“ตาคันน่ะ เลยเอามือมาขยี้” เขาพูดอย่างใจเย็น

“อืม” เจียงลู่ซีพยักหน้าก่อนหันกลับไป

เนื้อเรื่องในหนังเริ่มเข้าสู่ช่วงพีค ฉากน่ากลัวก็ตามมาเรื่อย ๆ

เจียงลู่ซีเหลือบมองเขาอีกครั้ง

เมื่อเห็นเฉินเฉิงถึงกับเหงื่อไหลเต็มหน้า แต่ก็ยังคงดูหนังต่อไป เธอก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม

เธอจึงเอื้อมมือไปจับมือเขา

“ไม่ต้องกลัว ฉันอยู่นี่” เธอพูดเบา ๆ

ถ้าเขากลัวหรือไม่อยากดู ก็สามารถเปลี่ยนช่องได้

เพราะรีโมตอยู่ในมือเขา

แต่เขาไม่เปลี่ยนช่อง เพราะเห็นว่าเธอชอบดู

ความจริง เจียงลู่ซีตั้งใจจะแกล้งเขานิดหน่อย

ใครใช้ให้เขาวางหน้าไว้บนตักเธอโดยไม่ขออนุญาต แถมยังขู่ไม่ให้เธอผลักออก

สำหรับเธอแล้ว การที่หน้าเขาวางบนตักจนความร้อนจากลมหายใจทะลุผ่านกางเกงนอนบาง ๆ นั้น เป็นเรื่องที่น่าอายมาก

ต้องไม่ลืมว่าตอนนี้พวกเขาเป็นแค่เพื่อนกัน

การกระทำแบบนี้ใกล้ชิดเกินไป

ถ้าไม่ใช่เพราะเธอกลัวว่าเขาจะเป็นหวัดเพราะผมไม่แห้ง เธอคงไม่ยอมให้เขานอนบนตักแบบนั้น

แต่ไม่ว่าอย่างไร เหตุการณ์เมื่อครู่นั้นก็น่าอายเกินไป

เธอเลยตั้งใจจะแกล้งเขาคืนเล็กน้อย

เธอคิดว่าถ้าเขาบอกว่ากลัวหรือไม่อยากดู เธอก็จะให้เขาเปลี่ยนช่อง

แต่ไม่คิดว่าเขาจะปากแข็งขนาดนี้

ถึงแม้จะกลัวมาก แต่ก็ยังยืนยันที่จะดูต่อ

สุดท้าย เจียงลู่ซีก็ยอมแพ้

“เราเปลี่ยนช่องเถอะ ฉันไม่อยากดูแล้ว” เธอพูดขึ้น

“ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก” เฉินเฉิงยิ้มพลางส่ายหน้า

เขาเช็ดเหงื่อบนหน้า ก่อนจับมือเธอที่จับมือเขาไว้แน่นกว่าเดิม “ตราบใดที่ได้จับมือเธอ ฉันก็ไม่กลัวอะไรแล้ว”

“แปลว่ากลัวเมื่อกี้น่ะสิ?” เจียงลู่ซีกลั้นขำถาม

“กลัวสิ” เฉินเฉิงยอมรับพลางยิ้ม “ฉันกลัวมาตั้งแต่เด็ก แต่ยิ่งกลัวยิ่งชอบดู ไม่ว่าจะเป็นนิยายหรือหนัง”

“ความจริงแล้ว ฉันอยากดูเรื่องนี้มาก แต่ที่ผ่านมาฉันไม่มีใครดูเป็นเพื่อน ก็เลยไม่กล้าดู”

“ตอนนี้มีเธออยู่ด้วย ฉันก็อยากดูให้จบ” เฉินเฉิงพูดด้วยรอยยิ้ม

เจียงลู่ซีพยักหน้าเบา ๆ

ในคืนที่ลมพัดเย็นและแสงจันทร์ส่องลงมา

สองมือที่จับกันไว้แน่นช่วยเติมเต็มความอบอุ่นในใจ

และด้วยคำพูด "ไม่ต้องกลัว ฉันอยู่นี่"

เฉินเฉิงก็กล้าที่จะดูหนังสยองขวัญที่ไม่เคยกล้าดูจนจบมาก่อน

สิ่งที่เคยกลัวมาก ๆ

เมื่อได้จับมือเธอ และได้ยินคำพูดของเธอ

ความกลัวก็หายไป

เพราะสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกนี้ ไม่ใช่หนังสยองขวัญ

แต่คือความโดดเดี่ยว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด