บทที่ 198 ฆ่าหมู
พ่อตาของหัวหน้าถิงเพิ่งกลับมาจากการตกปลา
ในฐานะอดีตข้าราชการอาวุโสที่เกษียณอายุไปแล้ว การตกปลาและเล่นหมากรุกเป็นงานอดิเรกเพียงไม่กี่อย่างที่เขาสนใจ
เขามักจะออกไปตกปลา แต่ไม่ค่อยได้ปลากลับบ้านเท่าไรนัก ส่วนใหญ่จะกลับมามือเปล่า
“คุณพ่อตา ไปตกปลามาอีกแล้วหรือครับ?”
“เซิงไท่ วันนี้กลับบ้านเร็วเชียวนะ”
ชายชราเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องตกปลาและเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
ก็ช่วยไม่ได้ เพราะวันนี้เขาไม่ได้แม้แต่ปลาสักตัว ถ้าตกได้ เขาคงพูดถึงมันไม่หยุดจนถึงวันรุ่งขึ้น และอาจถึงขั้นไม่กลับเข้าบ้านเพื่อเล่าเรื่องเลยก็เป็นได้
“วันนี้ที่โรงงาน... พ่อครับ ดูนี่สิ กุ้งมังกรตัวใหญ่ยังมีชีวิตอยู่เลย”
ถิงเซิงไท่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงงานให้พ่อตาฟังทั้งหมด และในที่สุดก็เปิดกล่องโฟม เผยให้เห็นกุ้งมังกรและหอยเป๋าฮื้อที่อยู่ข้างใน
พ่อตาของเขาพยักหน้าซ้ำๆ ด้วยความชื่นชมลูกน้องของถิงเซิงไท่ ก่อนจะแสดงท่าทางตกใจเมื่อเห็นกุ้งมังกรตัวใหญ่
แม้แต่ตัวเขาเอง การจะหากุ้งมังกรสดๆตัวใหญ่ขนาดนี้มาได้ยังเป็นเรื่องยากมาก
เขาอยากจะถามลูกเขยว่า ลูกน้องคนนี้เป็นใครกัน?
ลูกน้องที่ทั้งเก่งและมีเส้นสายขนาดนี้ เป็นเหมือนลูกน้องในฝัน การที่ถิงเซิงไท่มีคนแบบนี้ในทีมถือว่าเป็นโชคดีมากจริงๆ
"สหายโจวอี้หมินใช่ไหม? ฉันได้ยินนายพูดถึงเขาหลายครั้ง ถ้ามีโอกาส เชิญเขามาที่บ้านมากินข้าวด้วยกันสักมื้อสิ" ชายชรากล่าว
ถิงเซิงไท่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก คำพูดของพ่อตาแสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับโจวอี้หมิน และตั้งใจจะสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น
และไม่เกินความคาดหมาย กุ้งมังกรสองตัวนั้นก็ถูกพ่อตานำไปใช้เป็นของขวัญมอบให้ผู้อื่น
...
ทางด้านหมู่บ้านโจว ชาวบ้านทำงานอย่างขยันขันแข็งในการเก็บเกี่ยวข้าวสาลี เพื่อหวังจะได้กินเนื้อหมูเร็วขึ้น ความคืบหน้าในการเก็บเกี่ยวจึงน่าพอใจมาก อีกทั้งยังมีเครื่องนวดข้าวของโจวอี้หมินช่วยเสริม ทำให้ความเร็วในการเก็บเกี่ยวปีนี้เร็วกว่าปีก่อนๆอย่างมาก
วันต่อมา หัวหน้าหมู่บ้านจัดเตรียมชาวบ้านให้ไปที่ฟาร์มเลี้ยงหมูในหมู่บ้าน และลากหมูตัวที่อ้วนที่สุดออกมาเพื่อเตรียมเชือด
ถ้าไม่ใช่เพราะการเก็บเกี่ยวข้าวสาลีที่เป็นงานหนัก และการที่มีคนจากสหกรณ์มาร่วมงาน ชาวบ้านก็คงไม่ยอมฆ่าหมูง่ายๆ
ต้องเข้าใจว่าหมู่บ้านมีหมูเพียงสิบตัว และแปดตัวในนั้นต้องส่งเป็น "หมูภารกิจ" ให้รัฐ มีเพียงสองตัวที่สามารถจัดการได้อย่างอิสระ หากเกิดอะไรขึ้นกับหมูในระหว่างการเลี้ยงจนไม่สามารถทำตามเป้าหมายได้ หมู่บ้านจะประสบปัญหาใหญ่
การฆ่าหมูก็ถือเป็นทักษะฝีมืออย่างหนึ่งเช่นกัน
ในยุคนั้น แม้แต่การกินยังไม่เพียงพอสำหรับทุกคน การได้กินเนื้อสัตว์ถือเป็นเรื่องยาก บางครั้งอาจไม่มีโอกาสได้กินเลยตลอดทั้งปี ดังนั้น คนที่มีทักษะการฆ่าหมูจึงมีไม่มากนัก
ในสมัยโบราณ การเลี้ยงหมูไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อบริโภคเป็นอาหาร แต่ยังมีบทบาทสำคัญในพิธีกรรมบวงสรวง การฆ่าสัตว์ในปริมาณมากเพื่อประกอบพิธีเหล่านี้ทำให้เกิดอาชีพเฉพาะทางอย่าง คนฆ่าหมู ซึ่งเป็นทักษะที่ถ่ายทอดกันมา
ในอดีต ในพื้นที่ชนบททางตะวันออกของมณฑลจี๋ตงที่ไม่ได้เป็นชุมชนของชาวมุสลิม ร้านฆ่าวัวและแกะมีไม่มากนัก แต่ร้านฆ่าหมูกลับพบได้ทั่วไป เพราะหมูถือว่าเป็น "อาหารประจำบ้าน"
ไม่นานนัก โจวซู่เฉียงและพรรคพวกได้นำหมูไปยังสถานที่ที่เตรียมไว้สำหรับการฆ่า ที่นั่นมีอุปกรณ์สำหรับการฆ่าหมูจัดวางอยู่เรียบร้อย
อุปกรณ์สำหรับการฆ่าหมู ได้แก่ โครงไม้สำหรับผ่าท้องหมู โต๊ะสำหรับเชือด หม้อและเตาสำหรับลวกขนไม้ มีอุปกรณ์ที่คล้ายกับ ไม้คล้องม้า แต่มีลักษณะสั้นและหนากว่า ซึ่งใช้สำหรับคล้องหมูและช่วยในการเป่าลมเข้าไปในตัวหมู นอกจากนี้ยังมีไม้ดันสำหรับจับหมูให้เข้าที่ เครื่องมือขูดขน และมีดปลายแหลมที่ในภาษาท้องถิ่นเรียกว่า "ฉิ่นเถาจื่อ" หรือ "หน่างเตาจื่อ" ซึ่งใช้สำหรับเชือดหมู
หากเป็นอุปกรณ์สำหรับร้านขายหมู จะมีมีดอีโต้ขนาดใหญ่สำหรับใช้ตัดหัวหมู แยกขาหน้าและขาหลัง และผ่าหมูออกเป็นชิ้นๆ
มีดอีโต้ขนาดใหญ่จะมีทั้งใบมีดและสันมีดที่หนา น้ำหนักมาก มีลักษณะเรียบทั้งสองด้าน และยังมีมีดอีโต้ขนาดเล็กหรือที่เรียกว่ามีดเลาะซึ่งมีน้ำหนักเบาและปลายแหลม ใช้สำหรับแล่เนื้อและเลาะกระดูก ในอดีตการขายเนื้อหมูจะไม่แยกเนื้อออกจากกระดูก
มีดที่ใช้ในโรงฆ่าสัตว์นิยมใช้มีดที่ผลิตจากฉืออวีถัวและกันอวี่จวงโดยเฉพาะมีดกันเจิ้งซึ่งมีชื่อเสียงที่สุด ช่างฝีมือในพื้นที่ใกล้เคียงต่างชื่นชอบใช้มีดกันเจิ้ง
โจวซู่เฉียงและคนอื่นๆ ช่วยกันจับหมูมัดไว้บนโต๊ะ โดยมัดขาหมูทั้งสี่ข้างแน่น หมูส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดแต่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงชะตากรรมได้
หนึ่งในกลุ่มนั้นปีนขึ้นไปบนโต๊ะ ใช้ขาข้างหนึ่งกดตัวหมูไว้ ใช้มือข้างหนึ่งจับคางหมูและดึงขึ้นอย่างแรงเพื่อเผยบริเวณลำคอ จากนั้นใช้มืออีกข้างถือมีดปลายแหลมแทงเข้าไปที่ลำคอ ก่อนจะพลิกมีดเล็กน้อยและดึงออก
ปรากฏว่าครั้งแรกแทงไม่ลึกพอ จึงต้องแทงอีกครั้ง
เลือดหมูพุ่งออกมาตามจังหวะมีด ไหลลงไปยังอ่างรองรับด้านล่าง จากนั้นคนฆ่าหมูวางมีดลง ใช้มือทั้งสองจับคางหมูโยกไปมา พร้อมกดลงบริเวณหน้าท้องเพื่อให้เลือดไหลออกจนหมด
ต้องเข้าใจว่าเลือดหมู ถือเป็นวัตถุดิบสำหรับอาหารที่มีค่า ดังนั้นจึงไม่มีการปล่อยให้เสียเปล่า
โจวซู่เฉียงพูดหยอกล้อว่า “ลุงเฉิง ดูเหมือนว่าลุงจะฆ่าหมูน้อยลงนะ ฝีมือตกถึงขั้นแทงสองครั้งเลยเหรอ”
ลุงโจวเฉิงส่ายหัวและตอบว่า “ช่วยไม่ได้ ช่วงนี้ฝีมืออาจจะตก แถมกินแต่ของที่ไม่มีน้ำมัน เลยรู้สึกว่าแรงไม่ค่อยมี”
ในการฆ่าหมู มักถือเป็นกฎสำคัญว่า ต้องไม่แทงครั้งที่สอง หมูถือว่าเป็น "อาหารประจำบ้าน" แม้ว่าต้องเจ็บปวดจากการถูกฆ่า แต่ตามความเชื่อ คนฆ่าหมูต้องทำให้มันตายด้วยการแทงเพียงครั้งเดียว หากแทงมากกว่าหนึ่งครั้ง หมูจะต้องทนทุกข์มากขึ้น ซึ่งถือว่า เป็นการสร้างกรรม
เช่นเดียวกับอาชีพอื่นๆ คนฆ่าหมูเองก็มีการบูชาครูของพวกเขา ในวงการนี้นิยมบูชาบรรพบุรุษคือ จางเฟย แม่ทัพใหญ่แห่งจ๊กก๊กในยุคสามก๊ก
หลายคนอาจรู้สึกแปลกใจว่า จางเฟย มีความเกี่ยวข้องอะไรกับการฆ่าหมู?
ความจริงแล้ว จางเฟยเดิมทีอาศัยอยู่ในเขตจั๋วจวินและประกอบอาชีพขายเหล้าและฆ่าหมู เขาเป็นคนที่ชำนาญในงานขายเนื้อ ชื่อเสียงของเขาโด่งดังในเรื่อง "จางหนึ่งมีด" เพราะเขามีฝีมือเชือดเนื้อหมูด้วยมีดเพียงครั้งเดียว น้ำหนักที่ได้ออกมาแม่นยำเป๊ะ คนจึงตั้งฉายานี้ให้เขา
เล่าขานกันว่า วันหนึ่งมีลูกค้าคนหนึ่งมาซื้อเนื้อสองตำลึง แต่จางเฟยตัดให้ผิดไป กลายเป็นหนึ่งตำลึง ลูกค้าจึงมาขอให้ชั่งน้ำหนักใหม่
แต่จางเฟยกลับพูดว่า "ฉันคือจางหนึ่งมีดชื่อดัง ไม่มีผิด ไม่ตัดครั้งที่สอง"
ลูกค้าไม่กล้าทำอะไรเขา ได้แต่เดินกลับบ้านด้วยความผิดหวัง ระหว่างทางบังเอิญเจอกับกวนอวี่ ซึ่งขายเต้าหู้อยู่ และกวนอวี่ก็รู้สึกไม่พอใจกับความไม่ยุติธรรมนี้
กวนอวี่จึงเดินไปที่ร้านของจางเฟยและซื้อเนื้อสองตำลึง เขาหยิบเงินหนึ่งตำลึงโยนลงบนเขียงเนื้อ จางเฟยบอกว่าเงินไม่พอ
กวนอวี่พูดว่า "ฉันคือกวนหนึ่งหยิบ ไม่หยิบครั้งที่สอง"
ทั้งสองโต้เถียงและต่อสู้กันอย่างดุเดือด
ขณะนั้นหลิวเป้ย ที่เพิ่งขายรองเท้าฟางเสร็จ เดินแบกคานไม้ผ่านมาพอดี เมื่อเห็นทั้งสองคนกำลังทะเลาะกันอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด หลิวเป้ยจึงเข้าไปห้าม พร้อมใช้คานไม้แยกทั้งสองออกจากกัน และพูดว่า
"เจ้าไม่ต้องเรียกตัวเองว่าจางหนึ่งมีด และเจ้าก็ไม่ต้องเรียกตัวเองว่ากวนหนึ่งหยิบ เพราะข้าคือหลิวหนึ่งยก"
เมื่อพูดจบ ทั้งสามคนต่างหัวเราะเสียงดัง การทะเลาะกันในครั้งนี้นำไปสู่มิตรภาพ ทั้งสามคนกลายเป็นพี่น้องร่วมสาบานและร่วมกันสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ในภายหลัง
หลิวเป้ยได้กลายเป็นจักรพรรดิและผู้ปกครองแคว้น ขณะที่กวนอวี่และจางเฟยกลายเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้จงรักภักดี
เนื่องจากจางเฟยมีพื้นเพจากการฆ่าหมูและขายเนื้อ คนฆ่าหมูจึงนับถือจางเฟยเป็นบรรพบุรุษแห่งการฆ่าหมู บางแห่งยังบูชาหลิวเป้ย กวนอวี่ และจางเฟยพร้อมกัน โดยเรียกว่า "สามนักบุญ"หรือ "เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งทั้งสาม"
...
บริเวณที่กำลังฆ่าหมู เด็กๆกลุ่มหนึ่งพากันมามุงดูด้วยความตื่นเต้น พวกเขาจ้องมองหมูอย่างไม่วางตา ราวกับอยากจะได้กินเนื้อหมูในทันที
โจวเฉิงไม่ได้ใส่ใจกับเด็กๆที่มุงดูเขาทำงานของเขาอย่างชำนาญ โดยเริ่มจากการแกะเชือกที่มัดหมูออก จากนั้นใช้มีดเปิดแผลยาวประมาณหนึ่งนิ้วบริเวณข้อเท้าหลังด้านบนของหมู
จากนั้นเขาใช้ ไม้ดันสอดเข้าไปในแผลนั้น ครั้งแรกดันตรงขึ้นไปจนถึงบริเวณใบหู แล้วดึงกลับออกมา จากนั้นเขาใช้ไม้ดันดันไปที่บริเวณหลังและหน้าท้องของหมู เมื่อดันบริเวณด้านบนเสร็จ เขาก็ดึงไม้กลับมาและดันต่อไปยังขาข้างล่างผ่านใต้ผิวหนังที่บริเวณต้นขาด้านหลัง
จากนั้นพวกเขาพลิกตัวหมูไปอีกด้าน ใช้ไม้ดันใต้ผิวหนังในส่วนที่เหลือให้คล่องตัว และดึงไม้ดันออกมา
ต่อมา พวกเขาเริ่มเป่าลมเข้าไปในตัวหมูทางแผลที่เปิดไว้ พร้อมกับใช้ไม้ทุบเบาๆบริเวณตัวหมูขณะเป่า ลมที่เป่าเข้าไปทำให้ตัวหมูพองเหมือนลูกบอลกลม ซึ่งช่วยให้สะดวกต่อการขูดขน
โจวเฉิงใช้เชือกป่านมัดปากแผลให้แน่น จากนั้นทุกคนช่วยกันยกตัวหมูขึ้นไปวางบนเตา
ในหม้อต้มสำหรับฆ่าหมู น้ำเดือดเต็มหม้อ หมูทั้งตัวถูกหย่อนลงไปในน้ำเดือดและพลิกตัวอย่างรวดเร็วเพื่อให้ความร้อนกระจายทั่วทั้งตัว
โจวซู่เฉียงใช้จังหวะที่ขนหมูเริ่มหลุดง่าย ขูดขนออกจนสะอาด จากนั้นทุกคนช่วยกันยกหมูขึ้นแขวนบนโครงไม้ที่เตรียมไว้
(จบบท)