บทที่ 1: การมาเยือนอย่างไร้ยางอาย
เย่ว์เหยาตงยืนอยู่ที่มุมห้อง ปวดหัวตุบๆ ไม่มีบุหรี่สูบ จึงต้องคาบฟางไว้ในปาก มองดูอาใหญ่กับอารองกำลังเถียงกับพ่อและพี่ชายทั้งสองคนจนหน้าแดงก่ำ คอแดง พร้อมทั้งตบโต๊ะดังปังๆ!
เขาคิดไม่ออกเลยว่า ตัวเองไม่ใช่เหรอที่ถูกจ้างไปเป็นลูกเรือ แล้วอยู่ๆ อยากฉี่ก็เลยขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ สุดท้ายโดนคลื่นซัดตกทะเลตาย?
แล้วทำไมตื่นมาเช้านี้ถึงได้ย้อนกลับมาอยู่ในปี 1982? มันช่าง...น่าอัศจรรย์จริงๆ! จนถึงตอนนี้เขายังตั้งสติไม่ได้เลย แม้แต่เรื่องที่พ่อจับปลาเหลืองได้เต็มอวนก็ยังไม่อาจทำให้เขาดีใจได้ เพราะการย้อนเวลากลับมาตอนอายุ 25 ปีมันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นเกินไป!
เขาอายุตั้ง 65 แล้ว แต่กลับย้อนเวลามา 40 ปี กลับมาเป็นหนุ่มอายุ 25 อีกครั้ง มันช่าง...ช่าง...ช่างวิเศษอะไรเช่นนี้~ ได้กลับมาเริ่มต้นใหม่! แต่น่าเสียดายที่หลังจากเขาตาย เจ้าของเรือคงต้องจ่ายค่าชดเชยสักแสนกว่า เป็นผลประโยชน์ให้ลูกชายสองคนของเขาไปแล้ว ไม่รู้ว่าพอพวกเขาได้รับข่าว จะร้องไห้หรือยิ้มกันนะ...
"น้องสาม อย่าลืมสิว่าเรือลำนั้นเป็นมรดกที่พ่อทิ้งไว้ แม่เลือกที่จะอยู่กับเจ้าตอนแก่เท่านั้น ถึงได้ให้เจ้าใช้ พวกเราพี่น้องต่างก็มีส่วนแบ่ง เงินที่ขายปลาเหลืองได้ก็ต้องแบ่งให้พวกเราด้วย"
"ใช่ น้องสาม ตอนนี้เจ้าจับปลาเหลืองได้เต็มอวน ก็เลยทำตัวแข็งใช่ไหม? เรือเป็นมรดกจากพ่อ ทุกคนมีส่วนแบ่ง เจ้าจะไม่แยแสน้ำใจพี่น้องแล้วเอาไว้คนเดียวไม่ได้นะ"
อาใหญ่กับอารองตะโกนเสียงดัง สลับกันพูดคนละประโยค จนพ่อของเย่ว์โกรธจนตาถลน
"บ้าเอ๊ย! เรือเป็นมรดกจากพ่อก็จริง แต่ตอนนั้นเรือก็จะพังอยู่แล้ว เครื่องยนต์ก็เสีย พวกพี่ไม่เอาเอง อยากได้เงินสด ถึงได้โยนเรือพังให้ข้า! บอกว่าเรือพังยังมีตะปูสามพันตัว ขายก็ได้เงินไม่น้อย แม่อยู่กับข้า ก็เลยให้ข้าได้เปรียบตรงนี้"
"ข้าเป็นน้องเล็ก สู้พี่ไม่ได้ถึงได้ยอมเสียเปรียบ เป็นไง พอข้าค่อยๆ ซ่อมเรือจนดีสองปีมานี้ พวกพี่ก็มาอิจฉาอีก? ไม่มีทาง ข้าเอาเงินทั้งหมดที่มีมาลงกับเรือลำนี้ พอได้กำไรครั้งแรก พวกพี่ก็มาเรียกร้องจะแบ่งเงิน ยังมีหน้าอีกหรือ?"
อารองขมวดคิ้วพูดว่า "น้องสาม ตอนแบ่งมรดกจากพ่อ เจ้าได้เปรียบจริงๆ นั่นแหละ เรือก็เป็นของที่พ่อทิ้งไว้ พวกเราคิดว่าแม่อยู่กับเจ้า เลยยกเรือให้ เพื่อให้แม่มีของระลึกถึงพ่อด้วย ไม่งั้นพวกเราเอาเรือไปขายแบ่งเงินไม่ดีกว่าหรือ?"
"พูดดีนักว่าให้เป็นของระลึก พวกพี่คิดว่าขายเป็นของเก่าจะได้เงินเท่าไหร่? ไม้บนเรือก็ไม่มีค่า เหล็กกิโลละไม่กี่สตางค์? โยนให้ข้าเลย พวกพี่ยังได้ลดภาระเรื่องแบ่งมรดกอีก!"
"อาใหญ่ อารอง ตอนคุณปู่เสีย ทุกคนก็อยู่พร้อมหน้ากันนะ ตกลงกันแล้วว่าพวกพี่แบ่งเงิน พ่อเอาเรือเก่า นี่เป็นสิ่งที่พวกพี่ตกลงกันเอง พ่อเห็นย่าร้องไห้ไม่อยากขายเรือ ถึงได้ไม่พูดเรื่องเอาเรือไปขายแบ่งเงินกัน ยอมเสียเปรียบ"
คนพูดคือพี่ใหญ่ของเย่ว์เหยาตง เย่ว์เหยาเผิง แต่เขาเพิ่งพูดจบก็โดนอาใหญ่ดุ
"พวกผู้ใหญ่คุยกัน เด็กอย่างเจ้ามายุ่งอะไร!"
"เงินบ้านข้า ข้าพูดไม่ได้หรือ? แยกครอบครัวกันนานแล้ว เงินที่บ้านข้าขายปลาได้ อาใหญ่อารองยังจะมาเรียกร้องขอแบ่ง แล้วยังไม่ให้ข้าพูดอีก?"
"นี่เป็นเรื่องของผู้อาวุโส ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะมาพูด!"
เย่ว์เหยาตงยืนฟังอยู่มุมห้องจนปวดหัว ขมวดคิ้วแล้วถ่มฟางในปากทิ้ง เดินเข้าไปคล้องแขนพาดไหล่อาใหญ่ อาใหญ่ตัวเตี้ยกะทัดรัดพอดีกับท่านี้
เขาพูดอย่างกวนๆ "อาใหญ่พูดแบบนี้เกินไปแล้ว นี่บ้านพวกเรา พี่ใหญ่จะไม่มีสิทธิ์พูดได้ยังไง!"
"ปลาเหลืองก็พ่อข้าจับเอง พวกพี่ออกทะเลด้วยหรือเปล่า? หน้าไหนถึงมาเรียกร้องขอแบ่งเงิน? อาศัยว่าหน้าหนาหรือ?"
"ไปๆๆ ออกไปคุยกันข้างนอก เรียกชาวบ้านมาดู เรียกผู้ใหญ่บ้านมาตัดสินด้วย ดูซิว่าต้องแบ่งให้พวกพี่หรือเปล่า!"
"ถ้าทุกคนบอกว่าบ้านเราต้องแบ่ง ห้ามเอาไว้คนเดียว พ่อข้าเป็นคนมีน้ำใจ ก็คงไม่ขัดข้องอะไร!"
เย่ว์เหยาตงคล้องคออาใหญ่พาเดินออกนอกบ้าน พ่อเขาเป็นคนรักษาหน้า ใส่ใจความสัมพันธ์พี่น้อง ไม่อยากทะเลาะกัน ถึงได้ยอมเถียงกันมานาน ถ้าเป็นเขา ไล่ออกไปนานแล้ว คนอะไร ไร้ยางอายจริงๆ!
แต่ยังไงก็เป็นอาใหญ่อารอง เขาจะเกเรแค่ไหนก็ทำร้ายไม่ได้ ได้แค่ใช้ปากเถียงกัน ลากออกไปพูดกันข้างนอกเท่านั้น
อาใหญ่ตัวเตี้ย สูงแค่ 160 กว่า เย่ว์เหยาตงสูง 180 คอโดนเขารัดใต้รักแร้ อาใหญ่พยายามสลัดออกก็ไม่หลุด ได้แต่เดินโซเซตามออกไป
"ปล่อยนะ จะมารัดคอข้าแบบนี้ได้ยังไง ข้าเป็นอาใหญ่นะ!"
"อาใหญ่อะไร คนที่คิดจะมาฉกเงินบ้านข้าล้วนเป็นศัตรู ออกไปคุยกันข้างนอก!"
เขาจำได้ดีว่าตอนหนุ่มๆ เขาเป็นอันธพาลของหมู่บ้าน ชอบเที่ยวเตร่ไม่ทำงาน เกเรกับเพื่อน ตีกันเป็นประจำ เพิ่งจะสงบลงหลังแต่งงาน การที่เขาลากผู้อาวุโสแบบนี้ พูดจาไม่สุภาพ ไม่มีใครเห็นว่าผิดปกติ กลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ
แต่ถึงอย่างไรก็เป็นอาใหญ่ ผ่านประสบการณ์มาหลายสิบปี เขาก็ไม่ได้เกเรเหมือนก่อน การกระทำแบบนี้ดูไม่ดีจริงๆ เย่ว์เหยาตงจึงปล่อยมือ เปลี่ยนเป็นจับลากแทน ลากอาใหญ่มาที่หน้าประตู
เย่ว์เหยาเผิงถอนหายใจโล่งอก น้องสามก็ลงมือเสียที ไม่รู้เป็นอะไร เช้านี้น้องสามดูเหม่อลอย ไม่พูดไม่จา เงียบมาจนถึงตอนนี้ ปกติโมโหขึ้นมาตั้งนานแล้ว ที่ไหนจะยอมให้อาใหญ่อารองพูดนานขนาดนี้
"พี่น้องทั้งหลาย พี่น้องทั้งหลาย รีบมาดู...อื้อๆ..."
อารองรีบปิดปากเย่ว์เหยาตง ยิ้มแหยๆ พูดว่า "เหยาตง พวกพี่มาก็แค่อยากคุยกับพ่อเจ้า ก็รู้ว่าทุกคนลำบากกัน พี่น้องช่วยเหลือกันก็เป็นเรื่องปกติ..."
"ใช่ พวกเราแค่มาคุยกับพ่อเจ้า เรื่องในครอบครัวจะไปพูดข้างนอกได้ยังไง ปล่อยข้าเร็ว เข้าไปคุยในบ้านกัน"
อาใหญ่ก็รู้ตัวว่าผิด ถ้าพูดต่อหน้าชาวบ้าน พวกเขาก็ไม่มีหน้า เพราะแยกครอบครัวกันมาสองปีแล้ว
เย่ว์เหยาตงดึงมืออารองที่ปิดปากเขาออก "เข้าบ้านคุยอะไร? ตั้งแต่เช้าได้ยินแต่เสียงตบโต๊ะทะเลาะกัน หัวข้าจะระเบิดอยู่แล้ว ออกมาคุยข้างนอกดีกว่า ให้ทุกคนฟังว่าพวกพี่มีเหตุผลหรือเปล่า ชาวบ้าน..."
"น้องสาม เจ้าไม่ควบคุมลูกชายหน่อยหรือ?" อารองจ้องพ่อของเย่ว์เขม็ง
"ฮึ...ตอนนี้รู้แล้วว่าเรื่องในครอบครัวไม่ควรประจาน ออกมาคุยกัน ให้ชาวบ้านตัดสินก็ดี ไม่งั้นคนไม่รู้เรื่องจะคิดว่าข้าได้เปรียบมากแค่ไหน?"
ตอนนี้เพื่อนบ้านได้ยินเสียงก็พากันมามุงดู อยากรู้ว่าพี่น้องตระกูลเย่ว์เป็นอะไร
"เกิดอะไรขึ้น? เมื่อวานไม่ได้ขายปลาเหลืองไปตั้งสองร้อยกว่าจี๋หรือ ไม่ใช่กำลังดีใจอยู่หรือ?"
"พวกเจ้าเป็นอะไร? เหยาตงตีกันอีกแล้วหรือ?"
"คราวนี้เหยาตงทำอะไรอีกล่ะ?"
"แต่งงานมีลูกแล้วยังไม่รู้จักผิดชอบอีก..."
เย่ว์เหยาตงก็อึ้ง ดูท่าภาพลักษณ์อันธพาลของเขาฝังใจคนไปแล้ว มีอะไรก็ชี้มาที่เขาก่อน!
เขายักคิ้ว พูดอย่างกวนๆ "คราวนี้ข้าไม่ได้ก่อเรื่องนะ อย่ามาโทษข้า มีคนไร้ยางอาย..."
"อ๋า...ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร จับปลาเหลืองได้เป็นเรื่องดี พวกเราแค่อยากรู้ว่าจับได้ยังไง เลยแวะมาถาม คุยกัน เหยาตงบอกว่าในบ้านร้อน ให้ออกมาคุยข้างนอกจะเย็นสบาย..." อาใหญ่พูดแก้ต่างกับเพื่อนบ้าน
อารองก็ยิ้มแหยๆ พูดว่า "ฮ่ะๆ คุยกันเสร็จแล้ว แม่ก็ไปไร่ไม่อยู่บ้าน พี่ใหญ่ พวกเรากลับก่อนดีกว่า"
"อืม กลับก่อน กลับก่อน"
หนังสือใหม่ของนักเขียนหน้าใหม่ หากมีข้อบกพร่องใดโปรดให้อภัย อย่าโกรธเกรี้ยวเลย! ขอติดตาม ขออ่านจนถึงตอนล่าสุด ขอบคุณมากครับ!
(จบบทที่ 1)