3 - ต้องหลบหนีออกจากเมืองหลวง!
3 - ต้องหลบหนีออกจากเมืองหลวง!
จูจวินถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ความโกรธพลันปะทุขึ้นอีกครั้ง
"ใครกันแน่ที่บงการใส่ร้ายข้าอยู่เบื้องหลัง? นี่มันเลวทรามเกินไปแล้ว!"
แต่เวลาเพียงสามวันก็ดูจะสั้นเกินไป
จูจวินรวบรวมความกล้ากล่าวขึ้น "พระบิดา สามวันมันสั้นเกินไป ขอพระองค์โปรด...เพิ่มเวลาให้หม่อมฉันอีกสักหน่อยได้หรือไม่?"
ทันใดนั้น สวีจิ้นต๋าก็กล่าวช่วยเหลือ "ฝ่าบาท แม้อู่อ๋องจะหุนหันพลันแล่น แต่ก็มิใช่คนที่จะกล้ากระทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ได้"
"หึ เจ้านั่นเป็นอย่างไร ข้าจะไม่รู้เชียวหรือ?" จูหยวนจางทรงเก็บกระบี่เข้าฝัก "เจ็ดวัน ข้าให้เวลาเจ้าสูงสุดเพียงเจ็ดวัน!"
จูจวินถอนหายใจ แม้จะเพิ่มเวลาได้เพียงสี่วัน แต่ก็ดีกว่าสามวัน
จูหยวนจางทอดพระเนตรสวีเมี่ยวจิ่น ความเย็นชาบนพระพักตร์ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอบอุ่น "เมี่ยวจิ่น เจ้าได้ช่วยชีวิตคนโง่คนนี้ บอกข้ามาว่าอยากได้รางวัลอะไร?"
คำกล่าวนี้ของพระองค์ เป็นการตัดความเกี่ยวข้องของตระกูลสวีออกจากเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง
สวีเมี่ยวจิ่นมิได้คิดมาก รีบกล่าว "ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ต้องการสิ่งใด โปรดทรงถอนหมั้นระหว่างหม่อมฉันกับอู่อ๋องด้วยเพคะ!"
รอยยิ้มบนพระพักตร์จูหยวนจางหายวับไป "นี่หรือคือรางวัลที่เจ้าต้องการ?"
สวีจิ้นต๋าใจหายวูบ "บังอาจ! ใครบอกให้เจ้ากล่าวเช่นนี้? เรื่องการแต่งงานเป็นเรื่องของพ่อแม่ จะมาเป็นการตัดสินใจของเจ้าได้อย่างไร?"
"ท่านพ่อ บุตรีมิอาจคู่ควรกับอู่อ๋องเพคะ..."
"เจ้าหยุดพูดเดี๋ยวนี้!" สวีจิ้นต๋าที่ไม่เคยพูดจารุนแรงกับบุตรี รีบตรงเข้าหานางและฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้านาง
เพียะ!
เสียงฝ่ามือดังสนั่นทำให้หัวใจสวีเมี่ยวจิ่นแทบแตกสลาย
นางยกมือขึ้นกุมใบหน้าที่ถูกตบ ดวงตาเต็มไปด้วยความสับสน ไม่เข้าใจว่าตนทำผิดสิ่งใด
นางเหลือบมองจูจวินด้วยความเคียดแค้น ก่อนจะร้องไห้พลางวิ่งออกไป
สวีจิ้นต๋ารู้สึกเสียใจอย่างมาก แต่ไม่อาจทำสิ่งใดได้ เพราะเวลานี้ การกล่าวขอยกเลิกการหมั้นย่อมสร้างความเข้าใจผิด
หากเป็นเพราะจูจวินเสียสติไปขุดสุสานจริง เรื่องก็คงจบง่ายๆ
แต่หากไม่ใช่ เช่นนั้นก็เป็นการใส่ร้ายอ๋อง และเป็นความผิดฐานใหญ่หลวง
จูหยวนจางไม่ใช่ผู้มีพระทัยอ่อนโยน
การที่สวีเมี่ยวจิ่นกล่าวขอยกเลิกการหมั้นในเวลานี้ อาจถูกมองว่าใช้เรื่องนี้ต่อรอง และนำภัยมาให้ตระกูลเอง
"เมี่ยวจิ่น กลับมานี่เดี๋ยวนี้!" สวีจิ้นต๋าโกรธจนต้องตบต้นขาตนเอง ก่อนจะหันไปกล่าวขอโทษต่อจูหยวนจาง "ฝ่าบาท ทุกสิ่งล้วนเป็นความผิดของกระหม่อมที่ตามใจบุตรีตั้งแต่นางยังเยาว์..."
"เจ้าลงมือแรงไป นั่นเป็นลูกสะใภ้ข้า หากเจ้าเผลอทำให้นางบาดเจ็บ ไม่เท่ากับละเมิดเบื้องสูงหรือ"
จูหยวนจางตรัส "เมี่ยวจิ่นนับว่าเป็นสตรีที่ดีที่สุดเท่าที่เจ้าโง่นี่จะพบเจอ แต่นางกลับต้องมารับความลำบากเพราะมัน!"
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สวีจิ้นต๋าก็โล่งใจ พระองค์ไม่ได้สงสัยตระกูลสวี
"ขอบพระทัยฝ่าบาท!"
"เทียนเต๋อ(ชื่อรองของสวีจิ้นต๋า) เราเป็นพี่น้องกัน และตอนนี้ยังเป็นเครือญาติกันอีกด้วย!" จูหยวนจางทรงจับมือเขา "ข้าไปก่อน เจ้ากลับไปแล้วอย่าตำหนิเมี่ยวจิ่นอีก
ข้ารู้ว่านางรู้สึกอัดอั้นในใจ เรื่องนี้ ข้าเองก็เห็นแก่ตัวเกินไป!"
"ฝ่าบาทอย่าทรงตรัสเช่นนั้น นี่เป็นเพียงความเข้าใจผิด!"
สวีจิ้นต๋าก้มศีรษะอย่างนอบน้อม และส่งจูหยวนจางกลับวัง
หลังจากทั้งสองออกไปจากคุกหลวง จูจวินทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง ครั้งนี้เขารอดตายมาได้หวุดหวิด หากเขาไม่ได้ไหวพริบปฏิภาณ คงถูกจูหยวนจางประหารไปแล้ว
"ช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก! บุตรชายแท้ๆ ก็ยังพูดว่าจะประหารได้โดยไม่ลังเล!"
"ฟ้าหลังฝนย่อมสดใส หากข้าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้สำเร็จ ข้าจะหาทางไปประจำที่เขตแดนห่างไกล และใช้ชีวิตเป็นเจ้าแคว้นผู้มีอิสระ!"
จูจวินตัดสินใจอย่างแน่วแน่
เขาเป็นบุตรชายคนที่สามของสายหลัก ข้างหน้ายังมีพี่ชายสองคน
พี่ชายคนโต จูจวี้ คือไท่จื่อ ผู้มีบารมีสูงส่ง
พี่ชายคนที่สี่ จูตี้ คือเอี้ยนอ๋อง ผู้มีเกียรติยศจากสงคราม
ส่วนเขา เป็นเพียงคนบ้า ไม่มีทั้งเพื่อนฝูง ยกเว้น "เจ็ดภัยพิบัติแห่งเมืองหลวง" ที่อาจนับเป็นเพื่อนของเขาได้บ้าง
ราชบัลลังก์หรือ? ลืมไปเถอะ!
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อาชีพฮ่องเต้เป็นงานที่อายุสั้นที่สุด
เขาในชาติก่อนเป็นเพียงนักศึกษาปริญญาเอกด้านโบราณคดี มิใช่ฮ่องเต้แซ่จู(จูหยวนจาง)ในตำนานผู้ถูกลิขิต หรือฮ่องเต้หย่งเล่อผู้โหดเหี้ยม (จูตี้)
เขาต้องหลีกหนีจากเมืองหลวงอันเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงนี้โดยเร็ว
หลังจากนั่งอยู่บนพื้นครุ่นคิดเส้นทางในอนาคต เขาก็เริ่มมองเห็นหนทาง และเลิกสับสน
แม้โลกคู่ขนานแห่งนี้จะไม่คุ้นเคย แต่เขาเชื่อว่าเขาสามารถมีชีวิตที่ดีในที่นี่ได้
การเอาชีวิตรอดเป็นเพียงก้าวแรก
ต่อไปคือการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง!
จูจวินลุกขึ้นจากพื้น เดินออกจากคุกหลวง และพบกับผู้คุมหน้าเข้มที่เคยตบหน้าเขา คุกเข่าสั่นด้วยความหวาดกลัว "อู่อ๋อง... องค์ชายหก... กระหม่อมผิดไปแล้ว ขอทรงเมตตา!"
ผู้คุมตกอยู่ในความหวาดผวา เขารู้ดีถึงชื่อเสียงอันเลื่องลือของ "ภัยพิบัติทั้งแปดแห่งเมืองหลวง" และกลัวว่าจะไม่เพียงแค่ตนเองต้องรับโทษ แต่ครอบครัวก็อาจเดือดร้อนไปด้วย
จูจวินอัดอั้นในใจ แต่ร่างกายเขายังเจ็บปวดไปหมด "เจ้าตบข้าหนึ่งครั้ง ข้าก็คืนเจ้าไปหนึ่งหมัด ตอนนี้เราถือว่าหายกัน!"
ผู้คุมมองจูจวินอย่างตกตะลึง ก่อนจะดีใจจนแทบกระโดด รีบกล่าวขอบคุณ "ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ทรงไว้ชีวิต!"
การทำร้ายเชื้อพระวงศ์มีโทษประหาร แต่จูจวินกลับเพียงตอบแทนด้วยหมัดเบาๆ หมัดเดียว
"เลิกก้มหัวได้แล้ว!" จูจวินโบกมือ "ไปเตรียมเกี้ยวพาข้ากลับบ้าน!"
ผู้คุมรีบพยักหน้าและลนลานไปจัดการ
ไม่นานนัก เกี้ยวเล็กๆ ถูกนำมา แม้จะคับแคบแต่ก็ดีกว่าเดินเท้าเอง
ระหว่างทาง จูจวินครุ่นคิดถึงผู้บงการเบื้องหลัง "ถ้าพี่ใหญ่ยังอยู่ในเมืองก็คงดี แต่ตอนนี้เขาไปชายแดน ไม่รู้จะกลับมาเมื่อไหร่... หรือว่า ข้าควรไปหาพี่สี่?"
จากความทรงจำ พี่ใหญ่เป็นคนที่ปฏิบัติต่อเจ้าของร่างเดิมดีที่สุด แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ใกล้ชิดกันมาก แต่ก็ไม่ถือว่ามีความสัมพันธ์เลวร้ายอะไร
ไม่นานนัก เกี้ยวก็หยุดลงหน้า "จวนอู่อ๋อง" ที่ดูทรุดโทรม จูจวินถอนหายใจ
เมืองหลวงแห่งราชวงศ์ต้าเย่เพิ่งถูกกำหนดให้เป็นเมืองหลวงได้ไม่กี่ปี กำแพงเมืองยังสร้างไม่เสร็จ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจวนของเหล่าอ๋อง
บรรดาอ๋องที่ทรงโปรดได้รับการดูแลดี แต่สำหรับเขา ผู้ไม่เป็นที่โปรดปรานและยังมีชื่อเสียงเรื่องความชั่วช้า การมีจวนของตัวเองก็นับว่าพระบิดาเมตตาแล้ว
ทหารเฝ้าจวนสูงวัยสองสามคนมองจูจวินด้วยแววตาหวาดกลัว "ถวายพระพรองค์ชาย!"
จูจวินโบกมือ ก่อนจะเรียกผู้คุมที่พยายามจะหนี "เฮ้ เจ้า! ตอนนี้ข้าขาดคน เจ้าต้องมาทำงานให้ข้า!"
ผู้คุมหน้าซีดด้วยความหวาดกลัว คิดว่าจูจวินต้องการจับเขาไปทรมานจนตายแน่
แต่จูจวินไม่สนใจว่าเขาคิดอะไร เพราะเขาต้องการคนช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ และพวกทหารแก่ๆ เหล่านี้ไม่มีทางทำได้
เมื่อเข้าไปในจวน ภาพความทรุดโทรมปรากฏชัด แต่ท่ามกลางความเสื่อมโทรมนั้น เขากลับเห็นเงาของหญิงสาวในชุดเขียวอ่อน เดินมาหาเขาด้วยสีหน้าร้อนรน
"องค์ชาย! ทรงกลับมาแล้วหรือเพคะ!"
………….