บทที่ 364 เงาแห่งความชั่วร้ายใกล้เข้ามา
【แปลโดยฝีมือ...ยักษาแปร...มาติดตามได้ที่แฟนเพจหรือเพื่อติดตามเอาข่าวสารได้นะ】
【แค่ คอมเมนต์ ก็เหมือนการให้กำลังใจแล้วนะครับ รบกวน comment กันหน่อยน๊า ;-;】
【Thai-novelจะทำการลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ เป็นจำนวน 5 ตอน แต่เรื่องราคาแพงกว่าที่อื่นนิดหน่อย】
บทที่ 364 เงาแห่งความชั่วร้ายใกล้เข้ามา
เวลาผ่านไป ราวกับโกหก เกือบหนึ่งปีล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว
ณ ดาวเคราะห์อันห่างไกลโพ้น ห่างจากโลก ห่างจากดาวเบจิต้า และห่างจากสหพันธ์จักรวาล
ร่างสีทองเข้มสง่างาม ยืนหยัดอยู่บนพื้นดินอันแห้งผาก
เขายืนอยู่บนดาวเคราะห์ดวงนี้ ที่ปกคลุมด้วยความมืดมิดราวกับนรกภูมิ มีเพียงแสงสว่างริบหรี่จากภูเขาไฟที่คุกรุ่นกระจายอยู่ทั่วบริเวณ
ฟรีเซอร์เหยียดกายอย่างผ่อนคลาย สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างอิ่มเอมใจ
“ฮ่าๆ ๆ ในที่สุดก็สำเร็จ! ฉันพัฒนาร่างขั้นสุดยอดได้สมบูรณ์แบบแล้ว!”
นับตั้งแต่ฟื้นคืนชีพ ฟรีเซอร์ก็ฝึกฝนอย่างหนักบนดาวเคราะห์แห่งนี้มาเกือบปี
การฝึกฝนของเขาบรรลุผลสำเร็จลุล่วงไปตั้งแต่ครึ่งปีก่อน ความพ่ายแพ้ในอดีตคือเชื้อไฟที่สุมกองเพลิงแห่งความแค้นในใจฟรีเซอร์ ความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสในนรกหล่อหลอมจิตวิญญาณให้แกร่งกล้าไร้ผู้เทียมทาน
ด้วยปัจจัยเหล่านี้ ฟรีเซอร์จึงบรรลุถึงขั้นของการแปลงร่างขั้นใหม่ได้ตั้งแต่ครึ่งปีก่อน พลังที่ได้มานั้นแทบจะเทียบเคียงเหล่าเทพเจ้าได้เลยทีเดียว
เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับร่างแปลงของคูลเลอร์และโคลด์ ญาติสนิททั้งสอง การแปลงร่างของฟรีเซอร์นั้นเหนือล้ำราวกับฟ้ากับเหว
ทว่าฟรีเซอร์มิได้เร่งรีบออกไปสะสางแค้นเหมือนดังเรื่องราวในอดีต เขารู้ดีว่าศัตรูที่ต้องเผชิญคือหลินเฉิน ไซย่าผู้พิชิตแม้กระทั่งจอมมารบู และผู้ที่กล่าวขานกันว่ามีพลังเทียบเท่าเทพเจ้า
ความล้มเหลวของพ่อและพี่ชายยิ่งตอกย้ำให้ฟรีเซอร์เพิ่มความรอบคอบระมัดระวังมากยิ่งขึ้น
แม้จะได้รับพลังใหม่มาครอบครอง ฟรีเซอร์ก็ยังคงระมัดระวังและฝึกฝนต่อไปบนดาวเคราะห์ดวงนี้อีกครึ่งปี เพื่อขจัดจุดอ่อนเรื่องการใช้พลังงานมหาศาลที่เกิดจากร่างแปลงใหม่ จนกระทั่งมั่นใจแล้ว เขาจึงตัดสินใจออกไปล้างแค้น
“โฮะๆ ๆ ฉันแข็งแกร่งพอแล้ว ดูเหมือนว่าฉันจะไปหาลิงไซย่าพวกนั้นได้แล้ว!” ฟรีเซอร์ประกาศก้องด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“พลังของฉันทะลุขีดจำกัดไปอีกขั้นแล้ว ท่านพ่อกับพี่ชายคงไม่เข้าใจหรอก” ฟรีเซอร์พึมพำเบา ๆ ดวงตาคมกริบฉายแววหยิ่งผยอง
“การเสริมสร้างพลังกายภาพเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ใช่อนาคตของเผ่าปีศาจน้ำแข็งของเรา มีเพียงการหลอมรวมจิตวิญญาณและร่างกายเข้าด้วยกันเท่านั้น ถึงจะปลดปล่อยพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าปีศาจน้ำแข็งออกมาได้”
“ฮ่า ๆ … หลินเฉิน แกจงรอรับการล้างแค้นของฉันไว้ได้เลย!” ฟรีเซอร์แสยะยิ้ม รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมปรากฏบนใบหน้า ความแค้นที่คุกรุ่นอยู่ในใจกำลังเดือดพล่าน รอเวลาที่จะระเบิดออกมา
ฟรีเซอร์หัวเราะออกมา เสียงหัวเราะดังก้องสะท้อนไปทั่วบริเวณ รัศมีสีทองเข้มที่แผ่ออกจากร่างเปล่งประกายเจิดจรัสราวกับดวงตะวันสาดแสงท่ามกลางความมืดมิดของดาวเคราะห์ดวงนี้
ร่างทอง นี่คือวิวัฒนาการขั้นสุดยอดของเผ่าปีศาจน้ำแข็ง รูปแบบพลังที่แม้แต่คูลเลอร์และโคลด์ หรือแม้กระทั่งตอนที่กินิวสิงสู่ร่างก็ยังไม่อาจเอื้อมถึง
เมื่อเทียบกับร่างขั้นที่สี่และห้าของคูลเลอร์และโคลด์แล้ว พลังของฟรีเซอร์ในร่างทองนี้มิได้เหนือกว่าเพียงไม่กี่เท่าหรือสิบเท่า หากแต่ทรงพลังยิ่งกว่าหลายร้อยหลายพันเท่า!
พลังมหาศาลที่หลั่งไหลในกายทำให้ฟรีเซอร์รู้สึกราวกับตนเองอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง เหนือกว่าทุกชีวิตในจักรวาล
“เบอร์ริบุรุ ซอลเบ! เตรียมยานเดี๋ยวนี้!”
เสียงคำรามของฟรีเซอร์กึกก้องสะท้านไปทั่วดาวเคราะห์เบื้องล่าง สรรพชีวิตต่างผวาเข้าที่เข้าทาง รอรับคำสั่งด้วยความตื่นตัว
ยานอวกาศรูปทรงจานบินแล่นเข้ามาใกล้ ฟรีเซอร์สาวเท้าขึ้นยาน มือไขว้หลังอย่างสง่าผ่าเผย
เมื่อย่างเท้าเข้าสู่ห้องบังคับการ ความคิดหนึ่งก็แล่นวาบเข้ามาในหัว ฟรีเซอร์เอ่ยขึ้น “อ้อ อย่าลืมพาเจ้าหมอนั่นมาด้วยล่ะ ปีที่ผ่านมามันก็ทำงานหนักน่าดูชมเชย ฮ่าๆ ๆ !”
“รับทราบครับ!” ทหารสองนายในกองกำลังฟรีเซอร์รับคำสั่งเสียงหนักแน่น
ทันทีที่ฟรีเซอร์จากไป ทหารทั้งสองก็ทะยานออกจากยาน มุ่งหน้าสู่พื้นเบื้องล่างเพื่อค้นหาเป้าหมาย
ไม่นานนัก พวกเขาก็พบกับบุคคลที่ฟรีเซอร์เอ่ยถึง
“โอ้โห... สภาพดูไม่ได้เลยนี่ กระดูกหักทั้งร่างหรืออย่างไรกัน”
“เขาช่างเป็นสัตว์ประหลาดโดยแท้ ได้ยินมาว่าเขาต้องเผชิญกับเรื่องแบบนี้ทุกวี่วันมาตลอดปี หากเป็นคนธรรมดาคงสิ้นชีพไปนานแล้ว”
ในขณะเดียวกัน บนสะพานเดินเรือของยานอวกาศฟรีเซอร์ก็มาถึงยังจุดหมาย
หญิงชราผิวสีฟ้าผู้แสนเจ้าเล่ห์ลอยตัวเข้ามาใกล้ ร่างนั้นมิใช่ใครอื่นนอกจากเบอร์ริบุรุ ผู้ดูแลฟรีเซอร์
เบอร์ริบุรุรินไวน์ส่งให้ฟรีเซอร์หนึ่งแก้ว ก่อนจะเลื่อนกายไปยืนอยู่เคียงข้าง
จากนั้นซอลเบก็เข้ามาหาเช่นกัน “นายท่าน มีสิ่งใดให้รับใช้หรือไม่?”
ฟรีเซอร์จิบไวน์พลางแสยะยิ้ม “การฝึกฝนของฉันสำเร็จแล้ว ถึงเวลาที่ฉันจะไปสะสางบัญชีแค้น!”
“ซอลเบ สั่งกองยานมุ่งหน้าสู่ดาวเคราะห์เบจิต้า! ฉันต้องการให้ชาวไซย่าพวกนั้นสำนึกผิดในทุกสิ่งที่พวกมันทำ!”
ซอลเบเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ท่านฟรีเซอร์ ดาวเคราะห์เบจิต้าคือฐานที่มั่นของชาวไซย่า พวกเราจะไปที่นั่นกันเลยหรือ? ไม่ควรระดมพลเพิ่มก่อนหรือครับ?” เขาเอ่ยถามอย่างหวั่นวิตก
“การรวบรวมไพร่พลไร้ค่า ฉันเพียงคนเดียวก็เกินพอที่จะจัดการชาวไซย่าพวกนั้นได้แล้ว” ฟรีเซอร์กล่าวอย่างเย้ยหยัน
“ซอลเบ! แกนี่กำลังขัดคำสั่งฉันรึ?” ฟรีเซอร์ตวาดเสียงเข้ม สายตาจ้องมองซอลเบอย่างดุดัน
ซอลเบตัวสั่นด้วยความหวาดหวั่น ไม่กล้าขัดคำสั่งของฟรีเซอร์ รีบยืดตัวตรงอย่างรวดเร็ว “เข้าใจแล้วครับท่านฟรีเซอร์ พวกเราจะไปดาวเคราะห์เบจิต้าเดี๋ยวนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตรวจจับระหว่างทาง เราจำเป็นต้องเปิดใช้งานอุปกรณ์พรางตัว ซึ่งจะใช้เวลาประมาณสองสัปดาห์จึงจะถึงครับ”
“สองสัปดาห์นานเกินไป ต้องไปด้วยความเร็วเต็มที่”
ฟรีเซอร์หรี่ตาลง ริมฝีปากสีม่วงคลี่ยิ้มเหยียดบางเบา
ความกระหายในอำนาจทำลายล้างกำลังก่อตัวขึ้นในใจ เขาเฝ้ารอที่จะปลดปล่อยความโกลาหลลงสู่ดาวเคราะห์เบจิต้า
ซอลเบมีสีหน้ากังวล แต่โชคดีที่ในขณะนั้น เบอร์ริบุรุก็เข้ามาช่วยพูดว่า “ท่านราชาฟรีเซอร์ อาณาเขตของสหพันธ์จักรวาลกว้างใหญ่นัก หากเราเดินทางด้วยความเร็วสูงสุด ก็อาจไปไม่ถึงดาวเคราะห์เบจิต้าก่อนที่ชาวไซย่าจะเตรียมการรับมือก็เป็นได้”
“แล้วมันยังไงกัน? ฉันก็แค่กวาดล้างมันให้สิ้นซาก!” ฟรีเซอร์กล่าวอย่างมั่นใจ น้ำเสียงเย็นเยียบยะเยือก
เบอร์ริบุรุเสริมว่า “แต่ดิฉันเชื่อว่า แม้ท่านสามารถทำได้ แต่ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ การสิ้นเปลืองพลังงานอันทรงคุณค่าไปกับพวกกระจอกงอกง่อยเหล่านั้น... ท่านเห็นสมควรเหรอคะ? ก็ดังที่ท่านว่า กองกำลังฟรีเซอร์ในตอนนี้ก็ไร้ค่า ไร้ความสามารถ สิ่งเดียวที่ท่านพึ่งพาได้ก็คือพลังอำนาจของท่านเอง”
ฟรีเซอร์เงียบไป ไม่เอ่ยวาจาใด ๆ
ความจนปัญญาเข้าครอบงำซอลเบ เขาไม่รู้จะแก้ไขสถานการณ์นี้อย่างไร คำสั่งของฟรีเซอร์ได้หลุดออกจากปากไปแล้ว หากไม่แจ้งข่าวสารตามคำสั่ง แล้วเกิดถูกตำหนิขึ้นมาภายหลัง เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
โชคดีที่ฟรีเซอร์เอ่ยขึ้นขัดความคิดอันสับสนวุ่นวายของเขาเสียก่อน
“เอาล่ะ ซอลเบ เปิดใช้งานอุปกรณ์พรางตัว” ฟรีเซอร์สั่ง
“รับทราบ! เปิดใช้งานอุปกรณ์พรางตัว!” ซอลเบรับคำสั่งอย่างรวดเร็ว
ความตื่นตระหนกยังคงวนเวียนอยู่ในอก แต่ในที่สุดซอลเบก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
เวลาเคลื่อนคล้อยไปอย่างเชื่องช้า
สองสัปดาห์ผ่านไป ยานอวกาศของฟรีเซอร์ค่อย ๆ เคลื่อนเข้าใกล้ระบบดาวที่ดาวเคราะห์เบจิต้าตั้งอยู่
อีกไม่นาน พวกเขาก็จะมาถึงดาวเคราะห์เบจิต้า
สายตาของฟรีเซอร์จับจ้องไปยังจอภาพที่ฉายเส้นทางการบินอันคับคั่ง ความเข้าใจในความตั้งใจก่อนหน้าของซอลเบก็ฉายชัดขึ้นในห้วงความคิด
หากพวกเขาไม่ปกปิดตัวตนบนเส้นทางอันพลุกพล่านเช่นนี้ ชาวไซย่าคงเจอพวกเขาได้โดยง่าย
“ชาวไซย่าพวกนั้นมันน่ารังเกียจยิ่งนัก! เพียงไม่กี่ทศวรรษ พวกมันเกือบจะผงาดขึ้นเป็นศูนย์กลางจักรวาลแล้วเชียวหรือ?”
ฟรีเซอร์จ้องมองหน้าจอ มือเรียวกำแก้วไวน์ไว้แน่น แต่ไม่ได้ยกขึ้นดื่ม เพียงแต่ขบกรามแน่นด้วยความขุ่นเคือง
“ถูกต้องแล้วครับ ราชาฟรีเซอร์ หากไม่มีสิ่งใดมาเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ อีกไม่นานดาวเคราะห์เบจิต้าคงกลายเป็นศูนย์กลางจักรวาลอย่างไม่ต้องสงสัย” ซอลเบกล่าวตอบด้วยความเคารพ
“หึ!”
ฟรีเซอร์แค่นเสียงเย็นยะเยือก กระดกแก้วไวน์แดงจนหมดรวดเดียว ก่อนจะสาวเท้าตรงไปยังช่องหน้าต่าง รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมปรากฏขึ้นบนมุมปาก
“ลิงไซย่าเอ๋ย…วาระสุดท้ายของพวกแกมาถึงแล้ว”
ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:ยักษาแปร ผู้แปลลงแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับผม หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิกกระซิก ;-;_