บทที่ 196 ประสิทธิภาพของการนวดข้าว
ครูพาเด็กๆมารออยู่ริมทุ่งข้าวสาลี แต่ยังไม่เร่งรีบลงไปเก็บรวงข้าวทันที ครูจึงถือโอกาสเล่าเรื่องราวและสอนบทเรียนต่างๆ เกี่ยวกับการเก็บเกี่ยวและความสำคัญของการผลิตอาหาร
ผู้ใหญ่ในหมู่บ้านเริ่มเก็บเกี่ยวข้าวสาลีไปไกลเรื่อยๆ ข้าวสาลีที่เกี่ยวเสร็จแล้วจะถูกชาวบ้านบางส่วนใช้เกวียนไม้บรรทุกไปยังลานนวดข้าว
เกวียนไม้ ทำจากไม้อย่างดี มีล้อสองล้ออยู่ข้างตัวเกวียน และมีคันบังคับสองอันที่ยาวและตรง ขณะที่ตรงกลางมีเชือกหนาแข็งแรงไว้ผูกยึด
เวลาลากเกวียน จะต้องยืนอยู่ตรงกลางคันบังคับ จับคันบังคับด้วยสองมือ และใช้เชือกที่ผูกไว้พาดบ่า พร้อมทั้งก้มตัวและงอเข่าดันไปข้างหน้า หากของที่บรรทุกมีน้ำหนักเบา อาจสามารถผลักจากด้านหลังได้เช่นกัน
จนกระทั่งยุคหลังๆ เกวียนไม้ยังคงมีบทบาทสำคัญ
ในยุคที่ชนบทไม่มีรถยนต์หรือเครื่องจักร การขนส่งทุกอย่างต้องพึ่งเกวียนไม้ ตั้งแต่การขนปุ๋ยไปยังท้องนา ขนข้าวสาลี ข้าวโพด ฝ้ายกลับบ้าน หรือแม้แต่การสร้างบ้านก็ใช้เกวียนไม้บรรทุกดินและอิฐ
"เอาล่ะ ลงไปเก็บรวงข้าวกัน แต่ต้องเป็นระเบียบ และฟังคำสั่ง" ครูโจวกล่าวกับนักเรียน
นักเรียนถืออุปกรณ์ต่างๆ เช่น ตะกร้าและกระบุง เดินตามครูไปยังทุ่งข้าว
เมื่อไปถึง ครูจัดแถวให้เด็กนักเรียนกว่า 30 คนยืนเรียงเป็นแถวตรงจากปลายทุ่งไล่ไปจนถึงหัวทุ่ง เหมือนทหารกำลังค้นหา "ทุ่นระเบิด" อย่างเป็นระบบ เด็กๆเริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เพื่อเก็บรวงข้าวที่หล่นอยู่บนพื้นหลังจากการเก็บเกี่ยวของชาวบ้าน โดยพยายามไม่ให้มีรวงข้าวหลุดรอดไปแม้แต่รวงเดียว
ระหว่างการเก็บรวงข้าว เด็กชายบางคนที่ซุกซนแอบจับสัตว์เล็กๆ เช่น งูตัวเล็ก ตั๊กแตน กบ หรือไส้เดือน และแกล้งปาใส่เด็กผู้หญิง ทำให้เด็กผู้หญิงกรีดร้องเสียงดังด้วยความตกใจ
"เกิดอะไรขึ้น? ห้ามซุกซน!" ครูเสี่ยวหลันตะโกนด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เด็กๆต่างเกรงกลัวครูเสี่ยวหลันที่เข้มงวด จึงไม่กล้าซุกซนต่อ
แต่ก็เป็นเพียงชั่วคราว ไม่นานนัก เด็กผู้ชายบางคนก็เริ่มซุกซนอีกครั้ง หยุดเก็บรวงข้าวแล้วหันมาเล่นและแกล้งเพื่อน บางคนแอบหยิบรวงข้าวจากตะกร้าของเด็กผู้หญิงที่เก็บได้เยอะกว่าไปใส่ตะกร้าของตัวเองอย่างลับๆ
สำหรับพฤติกรรมแบบนี้ ครูเสี่ยวหลันย่อมไม่ปล่อยผ่าน เมื่อจับได้ เธอก็เรียกมาสั่งสอนทันที
อีกกรณีคือ เด็กผู้ชายบางคนเก็บรวงข้าวได้น้อย เพราะขี้เกียจกลัวโดนครูตำหนิ เลยหาวิธีหลอกครูด้วยการใส่เศษหญ้าและกิ่งไม้ไว้ใต้ตะกร้า แล้วปิดทับด้วยรวงข้าวบางๆ
แต่เล่ห์เหลี่ยมเล็กๆ แบบนี้จะหลอกครูได้หรือ?
ไม่นาน ครูก็จับได้คาหนังคาเขา
ที่หมู่บ้านโจวมีเพียงกลุ่มผลิตกลุ่มเดียว จึงไม่ยุ่งยากมากนัก ต่างจากบางพื้นที่ที่ต้องแบ่งกันไปช่วยกลุ่มผลิตหลายกลุ่มในหมู่บ้าน เช่น วันนี้ช่วยเก็บรวงข้าวให้กลุ่มผลิตที่ 1 พรุ่งนี้ให้กลุ่มผลิตที่ 2 และมะรืนนี้กลุ่มที่ 3 เพื่อหลีกเลี่ยงการมีปัญหาเรื่องความไม่พอใจระหว่างกลุ่ม
ระหว่างที่เก็บรวงข้าว ชาวบ้านบางคนสังเกตเห็นว่ามีเมล็ดข้าวสาลีบางส่วนหล่นอยู่ตามริมทุ่งนาและบนพื้นดิน
เมื่อครูเห็นเมล็ดข้าวสาลีที่หล่นอยู่บนพื้น จึงรู้สึกเสียดาย และใช้ตะแกรงหรือตะกร้าละเอียดกรองเอาเมล็ดข้าวออกจากฝุ่นผงเล็กๆ เก็บรวบรวมทีละเมล็ดอย่างพิถีพิถัน เรียกได้ว่า ‘เมล็ดข้าวทุกเมล็ดต้องเข้าคลัง’ โดยไม่ปล่อยให้เสียเปล่าแม้แต่เมล็ดเดียว
ในขณะเดียวกัน ทางด้านของโจวอี้หมินกำลังทดลองใช้งานเครื่องนวดข้าวสาลี
นอกจากหัวหน้าถิงที่อยู่ร่วมสังเกตการณ์แล้ว ยังมีชาวบ้านและตัวแทนจากสหกรณ์หงซิงมาดูด้วย
คนจากสหกรณ์ปฏิบัติต่อโจวอี้หมินด้วยความนอบน้อม เพราะพวกเขารู้จักเขาดี
เพราะยังไงเขาก็คือคนที่คิดค้นปั๊มน้ำแบบกดและเตาแสงอาทิตย์ ใครจะไม่รู้จักเขาได้อย่างไร? อย่างน้อยก็ต้องเคยได้ยินชื่อมาบ้าง
เมื่อมาที่หมู่บ้านโจวครั้งนี้ พวกเขาคาดไม่ถึงเลยว่าโจวอี้หมินจะประดิษฐ์อะไรใหม่ๆขึ้นมาอีก และคราวนี้เป็นเครื่องนวดข้าวสาลี
และสิ่งนี้ก็ยังเกี่ยวข้องกับเกษตรกรและชนบทอีกด้วย
ดูเหมือนว่า โจวอี้หมินเป็นคนที่ใส่ใจชีวิตความเป็นอยู่ของชาวนาอย่างแท้จริง
"พี่ชาย เอาบุหรี่สักมวนไหม?" โจวอี้หมินส่งบุหรี่ให้คนจากสหกรณ์ด้วยความมีน้ำใจ
"ขอบคุณมากครับ สหายโจวอี้หมิน คุณช่างมีน้ำใจจริงๆ"
คนจากสหกรณ์กล่าวขอบคุณด้วยความสุภาพ เพราะไม่กล้าดูถูกโจวอี้หมินตรงหน้า เขาไม่เพียงเป็นนักประดิษฐ์พื้นบ้านที่ได้รับการยอมรับ แต่ยังเคยได้รับรางวัลจากทางการด้วย ที่สำคัญ เขายังเป็น "พี่ใหญ่" จากโรงงานเหล็ก การที่เขาเป็นฝ่ายยื่นบุหรี่ให้จึงถือว่าเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมาย
ในสถานการณ์ปกติ คนอื่นไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้กับเขา แต่เมื่อโจวอี้หมินเป็นฝ่ายแสดงความมีน้ำใจก่อน เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บริหารจากโรงงานเหล็กยังอยู่ตรงนี้ด้วย!
"อี้หมิน เริ่มได้หรือยัง?" หัวหน้าถิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเริ่มไม่พอใจเล็กน้อย
สำหรับเขา ตัวแทนจากสหกรณ์หงซิงอย่างเฉินฮว่า ไม่มีความสำคัญ เขามองว่าโจวอี้หมินไม่จำเป็นต้องสุภาพหรือใส่ใจกับคนแบบนี้
"พวกเราคือคนของโรงงานเหล็ก ต้องรักษาภาพลักษณ์ของโรงงานไว้ จะไปทำดีกับทุกคนไม่ได้"
"หัวหน้า ใจเย็นก่อนสิครับ!"
โจวอี้หมินหันไปถามชาวบ้านที่เตรียมจะใช้งานเครื่องนวดข้าว "เตรียมตัวพร้อมหรือยัง? เริ่มได้เลย"
เขาไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเอง เพราะเครื่องนวดข้าวสาลีทำงานได้ง่าย เพียงแค่ดันฟางข้าวเข้าไปในช่องนวดข้าว เครื่องก็จะแยกเมล็ดข้าวสาลีออกมาได้โดยอัตโนมัติ ทำให้ขั้นตอนที่ยุ่งยากในลานนวดข้าวกลายเป็นเรื่องง่าย
แต่ถึงอย่างนั้น การใช้งานเครื่องนวดข้าวยังต้องการคนอย่างน้อย 4-5 คนในแต่ละตำแหน่ง โดยแต่ละตำแหน่งต้องใช้คนอย่างน้อย 1-2 คน เพื่อให้เครื่องทำงานได้อย่างราบรื่น
"พร้อมแล้ว!"
ชาวบ้านที่เตรียมการอยู่ตอบกลับมาอย่างมั่นใจ พวกเขาเรียนรู้ขั้นตอนการใช้งานจากโจวอี้หมินมาก่อนหน้านี้
ความจริงแล้ว งานนี้ไม่ได้มีอะไรยาก เพราะมันเป็นเพียงการใช้แรงงานตามปกติเท่านั้น
เมื่อได้รับคำสั่งจากโจวอี้หมิน ชาวบ้านที่รับผิดชอบหมุนเครื่องนวดข้าวสาลีก็เริ่มออกแรง เครื่องนวดข้าวส่งเสียงดังครืน ขณะที่มัดฟางข้าวถูกดันเข้าไปในช่องนวดข้าว
ฟางข้าวและเมล็ดข้าวถูกแยกออกจากกัน พร้อมกับการทำงานของเครื่อง เมล็ดข้าวสาลีร่วงลงมาอย่างต่อเนื่อง กองรวมกันเป็นเนินเล็กๆ
คนที่มุงดูอยู่รอบๆ ต่างจ้องมองด้วยความตื่นตะลึง
แต่แน่นอนว่าหัวหน้าถิง จากโรงงานเหล็กไม่ได้แสดงความตกใจ เพราะเขาเคยเห็นเทคโนโลยีมาแล้วมากมาย เขารู้สึกพอใจกับผลลัพธ์ของเครื่องนวดข้าวเครื่องนี้ และคิดว่าหากนำไปเสนอให้โรงงานเหล็ก ก็จะกลายเป็นผลงานชิ้นใหญ่ของพวกเขาอีกครั้ง
"ดีมาก ดี เยี่ยมจริง ๆ!" หัวหน้าถิงปรบมือ
เมื่อผู้บริหารจากโรงงานเหล็กปรบมือ คนอื่นๆ ก็พากันปรบมือตามด้วยความชื่นชม
ในขณะที่หัวหน้าถิงกำลังมองเครื่องนวดข้าว เขาก็ถามโจวอี้หมินไปด้วย
เขานึกถึงพืชผลชนิดอื่น เช่น ข้าวเปลือก และสงสัยว่าเครื่องนวดข้าวสาลีนี้สามารถใช้กับพืชเหล่านั้นได้หรือไม่
ไม่เสียทีที่เป็นผู้นำ เพราะเขาสามารถมองการณ์ไกลและคิดถึงการใช้งานในอนาคตได้ทันที
โจวอี้หมินอธิบายให้ทุกคนฟังว่า เครื่องนวดข้าวแต่ละชนิดจะแตกต่างกันตามประเภทของพืชผล แต่สามารถปรับแต่งได้เล็กน้อย เพื่อให้ใช้งานได้ เพราะหลักการทำงานพื้นฐานของเครื่องนั้นเหมือนกัน
‘เครื่องนวดข้าวเปลือก’ ใช้สำหรับแยกเมล็ดข้าวเปลือกออกจากฟาง ส่วนเครื่องที่ใช้แยกเมล็ดข้าวโพด เรียกว่า ‘เครื่องนวดข้าวโพด’ เป็นต้น
เครื่องนวดข้าวเปลือกหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ‘เครื่องนวดข้าว’ เป็นเครื่องมือที่พบได้ทั่วไปสำหรับการแยกเมล็ดข้าวเปลือก โดยต้องเก็บเกี่ยวข้าวเปลือกก่อน จากนั้นจึงใช้เครื่องนี้เพื่อแยกเมล็ดข้าวเปลือกออกจากลำต้น
โจวอี้หมินคุ้นเคยกับเครื่องนวดข้าวเปลือกเป็นอย่างดี เพราะในชาติที่แล้วเขาเป็นคนพื้นเมืองทางภาคใต้
ในชาติก่อน เครื่องนวดข้าวเปลือกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ประเภทแรกใช้แรงคนขับเคลื่อน เรียกว่า "เครื่องนวดข้าวแรงคน" ซึ่งเป็นเครื่องมือกึ่งกลไก ส่วนอีกประเภทหนึ่งคือเครื่องที่ปรับเปลี่ยนมาใช้พลังงานขับเคลื่อน เรียกว่า ‘เครื่องนวดข้าวพลังงาน’
เรียกได้ว่า การเกิดขึ้นของเครื่องนวดข้าวช่วยลดความเหนื่อยล้าจากการเก็บเกี่ยวพืชผลอย่างข้าวสาลีและข้าวเปลือกได้อย่างมาก อีกทั้งยังช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตทางการเกษตร
หากไม่มีเครื่องนวดข้าว ยกตัวอย่างข้าวสาลีในบางพื้นที่ ชาวบ้านยังต้องใช้เครื่องมือที่เรียกว่า ‘ตะลุมพุก’ เพื่อแยกเมล็ดข้าวออกจากเปลือกด้วยการตีข้าวซ้ำๆ
หลังจากนั้นยังต้องทำการ ‘ฟัดข้าว’ โดยการโยนเมล็ดข้าวขึ้นไปในอากาศเพื่อให้ลมพัดพาสิ่งที่เบา เช่น แกลบหรือข้าวเปลือกที่ไม่ต้องการออกไป และให้เมล็ดข้าวแท้หล่นลงมา
นี่เป็นงานที่หนักหน่วงและใช้แรงงานมาก อีกทั้งยังเสียเวลามากอีกด้วย สำหรับข้าวสาลีที่ปลูกในพื้นที่ 4,000 ตารางเมตร การนวดด้วยมืออาจต้องใช้เวลาถึง 5 วัน
แม้แต่หัวหน้าถิงซึ่งเป็นผู้นำ ก็ยังตั้งใจฟังเรื่องนี้อย่างจริงจัง
(จบบท)