ตอนที่แล้วตอนที่ 30 – พระแน่หรอวะ? น่าจะนะ....
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 32 – ในขณะที่คนอื่นตุนอาหาร, ฉันตุนปืน. จงมาเป็นแหล่งอาหารของฉันซะดีๆ

ตอนที่ 31 – ชิตัง เม โป้ง!


ไม่ได้ภักดีร้อยเปอร์เซ็นต์… การ์ดเรียกผู้มีพรสวรรค์พิเศษไม่นับเป็นการซัมม่อนของระบบเหรอ?

ความคิดของโคลินกระจัดกระจายไปทั่ว ในขณะที่ซานน่ากำลังกินอาหาร เขาก็หยิบไอเทมเควสออกมา.

“วิญญาณที่บิดเบี้ยว”: ก๊าซสีฟ้าคล้ายเปลวไฟ ที่มีใบหน้าบิดเบี้ยวปรากฏให้เห็นภายในหากมองอย่างใกล้ชิด เวลาที่เหลืออยู่: 2 วัน 23 ชั่วโมง 54 นาที.

หมายเหตุ: หากแรงบันดาลใจของคุณต่ำกว่า 2 คุณจะไม่สามารถรับฟังได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากแรงบันดาลใจของคุณสูงกว่า 5 คุณจะได้รับเควสอย่างแน่นอน.

[คำใบ้: คุณเชื่อว่าแรงบันดาลใจของคุณสูงกว่า 5…]

บูม—

โคลินบดขยี้เปลวไฟทันที คลื่นของเปลวไฟจางๆพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของเขา ทำให้เขามึนงง.

“หินน้ำแข็ง… เราส่งมันไปแล้วไม่ใช่เหรอ ยี่สิบตัน…”

“ทำไม…”

“มันเปลี่ยนไปแล้ว! ตอนนี้ต้องหนึ่งร้อยตันต่อปีแล้ว! คำสั่งของโป๊บนั้นไม่สามารถดูหมิ่นได้…”

“จำนวนขนาดนั้น…...เป็นไปไม่ได้หรอก....”

“เงียบไปซะ! ไอ้พวกเดรัจฉาน! สงสัยพวกแกทำงานหนักไม่พอสินะ....”

“…พ่อ ช่วยด้วย ช่วยด้วย…”

“ในบ่อน้ำ ลงไปในบ่อน้ำ…”

“โยนมันลงไปเลย… ปัง—”

เสียงที่สับสนดังก้องในหูของโคลิน ทำให้สมองของเขาเต้นระรัวด้วยความเจ็บปวด ในความมึนงง เขามองเห็นฉากที่โกลาหลอย่างยิ่ง.

กลุ่มอัศวินของโบสถ์ในชุดเกราะสีเงินแสบตาได้สังหารชาวบ้าน. คนในบ่อน้ำพร้อมกับเด็กๆ บางส่วนหนีลงไปตามบ่อน้ำ… พวกโบสถ์ขว้างหินก้อนหนึ่งลงมา และนั่นคือจุดจบ…

เมื่อโคลินมีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง เขาเปิดม้วนกระดาษทันที ซึ่งตอนนี้แสดงภารกิจใหม่แล้ว.

[ภารกิจกระตุ้น: แก้แค้น]

[ข้อกำหนดของภารกิจ: สังหาร ‘มนุษย์กลายพันธุ์ – มนุษย์แห่งความทุกข์ – อัศวินแห่งความทุกข์’ ที่เร่ร่อนอยู่บนชายหาดของอ่าวจันทร์สีเงิน.]

[เวลาภารกิจ: ไม่จำกัด (ผู้อื่นสามารถสำเร็จภารกิจนี้ได้)]

[คำอธิบายภารกิจ: เนื่องจากมีการเรียกร้องบรรณาการเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันจากศาสนาประจำรัฐของจักรวรรดิ ซึ่งก็คือโบสถ์แห่งความทุกข์ ชาวบ้านจึงไม่สามารถทำตามข้อกำหนดได้และถูกฆ่าในทันที เพื่อบรรเทาความเคียดแค้น แก้แค้นชาวบ้านซะ!]

[รางวัลภารกิจ: ขนมปังดำ*99, บัตรฟื้นฟู*3, แต้มหมอก*100]

“ขนมปังดำ ขนมปังดำอีกแล้ว…” โคลินพูดไม่ออก “ไม่มีฉายา มีแค่แต้มหมอกและบัตรฟื้นฟู ก็ถือว่าดีล่ะนะ…”

ทว่า โคลินเปลี่ยนโฟกัสอย่างรวดเร็ว เขาหรี่ตาลง นึกถึงคำพูดที่เพิ่งได้ยิน. หลังจากใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ลมหายใจของเขาก็เร็วขึ้น และร่างกายของเขาก็สั่นเทาในขณะที่เขาพูด “หินน้ำแข็ง… ไปค้นหาในบ้านแล้วดูว่าพบหินสีขาวบ้างไหม…”

ไม่นาน ลูกน้องคนหนึ่งของเขาก็หยิบหินสีขาวขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากบ้านมุงหญ้าที่ใกล้จะพังเต็มที. โคลินสูดหายใจเข้าลึกๆ เมื่อเห็นมัน… ดินประสิว!

ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจว่าทำไมคำใบ้ถึงบอกว่ามีบางอย่างที่เขาต้องการที่นี่… เพราะใครจะต้านทานเสน่ห์ของดอกไม้ไฟและประทัดได้ล่ะ

จากภาพก่อนตายของผู้คนที่ทรมาณเหล่านี้ สิ่งนี้เรียกว่าหินน้ำแข็ง ซึ่งใช้ทำน้ำแข็ง.

โคลินยืนยันได้ว่าวัสดุนี้ยังไม่ได้ถูกใช้เป็นอาวุธในอารยธรรมของโลกใบนี้. หากมันถูกใช้แล้วจริง สถานการณ์ก็คงจะแตกต่างไปอย่างแน่นอน เมื่อพิจารณาจากระดับของพวกเขาแล้ว พวกเขาอาจค้นพบว่าการเผามันทำให้เกิดดอกไม้ไฟได้ แต่ดอกไม้ไฟไม่สามารถแข่งขันกับพลังพิเศษของชนชั้นปกครองได้ ดังนั้น จึงไม่ได้มีการพัฒนาขึ้นต่อไป.

หลังจากนั้น โคลินก็เก็บขนมปังและเลือดซึ่งเป็นรางวัลภารกิจประจำวันไว้ และจ้องมองไปในระยะไกล.

“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด แร่ก็ไม่น่าจะอยู่ไกลจากที่นี่…”

จากคำใบ้ โคลินอนุมานว่า “สิ่งที่คุณปรารถนา” อยู่ห่างออกไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง. ส่วนภารกิจที่ถูกกระตุ้นนั้น เขาไม่ได้วางแผนที่จะจัดการมันทันที. จากการประมาณของเขา ตอนนี้คงยังไม่มีใครสามารถสำเร็จภารกิจนี้ได้หรอก ดังนั้นเขาจึงไม่กังวลว่าจะมีใครมาแย่งไป.

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ โคลินรู้สึกว่าการค้นพบนี้ชวนให้ติดตามมากกว่าอาวุธธรรมดาที่ระบบจัดให้ซะอีก.

“บาดแผลเป็นไงบ้าง” โคลินถามด้วยความกระตือรือร้นที่จะได้เห็นแร่.

หมายเลขสองตอบทันที “ด้วยความช่วยเหลือของนักบวชแสงศักดิ์สิทธิ์ อาการบาดเจ็บทั้งหมดได้รับการรักษาแล้วครับ.”

“เดินหน้าต่อไปกันเลย.”

“ครับท่าน!”

คราวนี้ โคลินรู้สึกตื่นเต้นและรีบเร่งฝีเท้า แม้ว่าพวกเขาจะต้องเจอกับการโจมตีจากพวกกลายพันธุ์อีกหลายครั้งระหว่างทาง แต่ก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย.

ซานน่าจัดการกับสัตว์ประหลาดส่วนใหญ่ไปด้วยตัวเอง…

เมื่อผ่านไปครึ่งทาง ซานน่าก็อาสาเป็นผู้นำทางและช่วยจัดการสัตว์ประหลาดเหล่านั้น เมื่อพิจารณาจากค่าสถานะส่วนตัวของซานน่าแล้ว เธอดูเหมือนจะแตกต่างจากนักบวชทั่วไป โคลินจึงตกลงตามคำขอของเธอ โดยสั่งให้คนอื่นๆ คอยดูแลเธอ.

แต่ในไม่ช้า พวกเขาก็รู้ว่าพวกเขาคิดมากเกินไป.

โคลินและลูกน้องของเขาเฝ้าดูซานน่าร่ายคาถา “เคอเรจ เบลซซิ่ง” ใส่ตัวเอง ตามด้วย “ไลท์ ชีลด์” ซึ่งทำให้ความแข็งแกร่งของเธอเพิ่มขึ้นเป็น 4.1 จากนั้น เธอก็ใช้หมัดที่เรืองแสงต่อยมนุษย์กลายพันธุ์ทีละคน จัดการสัตว์ประหลาดระดับสูงด้วยหมัดสามครั้ง.

ซานน่าเดินนำหน้าไปโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่คนอื่นๆ ลดขวานลงและเดินตามหลังเธอไป…

ฉากนี้ทำให้โคลินนึกถึงมีม:

พระตัวปลอมจะใช้คาถารักษาอย่างประหม่าท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนของเพื่อนร่วมทีม ขณะร้องไห้และตะโกนว่า “อย่าตาย อย่าตาย”

พระตัวจริงจะปกป้องเพื่อนร่วมทีมที่กำลังคร่ำครวญก่อนล่วงหน้า โดยโจมตีมอนสเตอร์ก่อนที่พวกมันจะทำอันตรายใครได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายขึ้น.

ทุบกระโหลก หักกระดูก กวาดขา ส่งมอนสเตอร์ให้กระเด็นไปไกลถึงเจ็ดหรือแปดเมตรด้วยหมัดเดียว หมัดของเธอโหดร้ายและรุนแรงอย่างมีสุนทรียศาสตร์ ทำให้นึกถึงคำว่า “จะฮีลไปทำไมถ้าศัตรูตายแล้ว.” ได้อย่างสมบูรณ์แบบ.

“นายท่าน ข้าได้ทำตามความคาดหวังของท่านหรือไม่”

ซานน่าซึ่งยืนสูงประมาณ1.6 เมตรหันกลับมา หนังสือถูกผูกไว้ที่เอว มือของเธอเรืองแสงสีขาวด้วยหมอกที่ระเหยไป—กับเลือดของมนุษย์กลายพันธุ์. ใบหน้าด้านข้างที่บอบบางของเธอและชุดคลุมสีขาวขอบทองถูกสาดด้วยเลือดของมนุษย์กลายพันธุ์ที่แหลกสลาย ทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของเธอดูสวยงามอย่างประหลาดและเสื่อมทราม.

ทว่า เมื่อเธอหันกลับมา ทุกคนยกเว้นโคลินต่างก็ถอยหลังไปครึ่งก้าวโดยไม่ตั้งใจ.

ไม่ผิดหวังเลย… โคลินคิดกับตัวเองแต่ไม่ได้แสดงออกมา เขาอมยิ้มและพูดว่า “ความแข็งแกร่งของคุณช่างน่าประหลาดใจจริงๆ”

พูดให้ถูกต้องกว่านั้นก็คือ มันน่ากลัวมากต่างหาก.

--------------------------------

เพจของผู้แปล: https://www.facebook.com/SharkTran

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด