ตอนที่แล้วตอนที่ 29 เลเวล 20
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 31 เหยี่ยวไห่ตงชิง

ตอนที่ 30 เมืองที่ไร้ทางหลบหนี


ตอนที่ 30 เมืองที่ไร้ทางหลบหนี

หากมีแก่นพลังจำนวนมากอยู่ในมือ เธอจะใช้กับร่างวิญญาณอย่างแน่นอน

ท้ายที่สุดแล้ว ‘สถานที่ๆ ห่างไกล’ ในคำบรรยายเกือบจะทำให้สวี่จื้อลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น

แม้ว่าจะไม่ได้บอกอย่างชัดเจน แต่สวี่จื้อก็พอเข้าใจความนัยที่สื่อออกมาได้

มันน่าจะหมายถึงข้างนอกเมือง นอกเมืองหยุนที่ถูกปิดตายแห่งนี้

สำหรับการบันทึกจุดเกิด สวี่จื้อคลิกที่ไอคอนรูปร่างวิญญาณแล้วเปิดดู มันมีฟังก์ชั่นใหม่เพิ่มขึ้นจริงๆ แต่ตอนนี้ จุดเกิดที่บันทึกไว้ยังเป็นศูนย์

สำหรับการหลอมไอเทม มันมีไอคอนรูปค้อนที่มุมขวาล่างของหน้าจอเกม หลังคลิกเข้าไปดูมันก็ปุ่มให้เลือกใส่ไอเทม ดูเหมือนว่าจะไม่มีการจำกัดจำนวน จากนั้นก็มีปุ่มหลอมอยู่ข้างๆ มีเพียงสองตัวเลือกนี้เท่านั้น

ค่อนข้างเรียบง่ายและหยาบ ยังกับทำขึ้นมาลวกๆ

สิ่งนี้ทำให้สวี่จื้อรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี บางครั้งเธอก็รู้สึกว่าตัวเกมทำด้วยความใส่ใจ แต่ก็มีบางส่วนที่ราวกับลอกมาจากเกมอื่นๆ นำมาตัดแปะโดยไม่มีการปรับแปลงให้เข้ากันเลย

ตัวอย่างเช่นการหลอมไอเทม ไม่ว่าเธอจะมองอย่างไร ก็ควรจะเปลี่ยนรูปลักษณ์ และคำเรียกให้เข้าโทนของตัวเกมมากยิ่งกว่านี้

“ช่างเถอะ จะมีรูปลักษณ์ยังไงก็ไม่สำคัญ ขอแค่ใช้งานได้จริงก็พอแล้ว”

เธอไม่ได้ต้องการของที่ดูสบายตา ต้องการสิ่งที่จะช่วยให้เธอเอาตัวรอดในเมืองนี้ได้จริงๆ

หลังจากย่อยข้อมูลที่ได้รับมา สวี่จื้อก็พร้อมที่จะสุ่มสกิลด้วยความตื่นเต้น

ตอนนี้ เธอพอจะเดาได้แล้วว่าสกิลวิวัฒนาการทำอะไรได้บ้าง เธอจึงต้องมันโดยธรรมชาติ

ดังนั้น สวี่จื้อจึงคลิกที่หน้าสุ่มสกิล และเริ่มทำการสุ่มสกิลทั้งสองครั้งพร้อมๆ กัน

[ เริ่มทำการสุ่ม ]

[ ยินดีด้วย คุณได้รับสกิลคมเขี้ยว ( เลเวล 5 ) และสกิลวิวัฒนาการ ( เลเวล 1 ) ]

“เยี่ยม!”

ในที่สุดเธอก็ได้รับสกิลวิวัฒนาการอย่างที่ต้องการ แม้อีกสกิลจะไม่ใช่สิ่งที่เธออยากได้ แต่ก็ยังดีกว่าสุ่มได้สกิลซ้ำ

ก่อนที่สวี่จื้อจะมีความสุข คำบรรยายก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

[ เนื่องจากความแตกต่างระหว่างตัวคุณและแฟมิเลีย รายละเอียดของสกิลจะมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม ]

[ คมเขี้ยว ( เลเวล 5 ) : ความคม และความเหนียวของอาวุธที่คุณใช้จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ]

[ วิวัฒนาการ ( เลเวล 1 ) : เมื่อยกระดับไปถึงเลเวล 10 ตัวคุณจะเกิดการเปลี่ยนแปลง และทะลุขีดจำกัดบน และกลายเป็นรูปแบบชีวิตที่สูงขึ้น แต่โปรดจำไว้ว่าสกิลนี้ไม่อิงกับการพัฒนาของแฟมิเลีย คุณต้องพยายามด้วยตัวเองเท่านั้น ]

“จากรายละเอียดของสกิล ความสามารถของมันเหมือนกับพลังวิเศษของเสิ่นจินเหวินเลย”

สำหรับเรื่องที่เธอต้องพยายามด้วยตัวเองเพื่อยกระดับสกิลวิวัฒนาการนั้น สวี่จื้อรู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลดี

“แล้วถ้าเสี่ยวอี้ตาย สกิลวิวัฒนาการของฉันจะหายไปด้วยหรือเปล่า?”

ถ้าใช่ นั่นจะไม่ใช่แค่การเก็บเลเวลอย่างไร้ประโยชน์หรอกเหรอ?

[ ไม่ สกิลวิวัฒนาการนั้นต่างกว่าสกิลอื่นๆ ]

“งั้นก็ดี”

แม้ว่านี่จะฟังดูเลือดเย็นเล็กน้อย แต่สวี่จื้อก็ต้องพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในทางที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้ก่อน

เธอไม่ต้องการทุ่มเทความพยายามอย่างไร้ประโยชน์ เมื่อเห็นความต่อให้แฟมิเลียตาย ความก้าวหน้าของสกิลวิวัฒนาการยังคงอยู่ เธอก็รู้สึกโล่งอก

แม้ว่าเธอจะไม่ต้องให้เสี่ยวอี้ที่เป็นแฟมิเลียตนแรกตาย แต่ชีวิตก็มีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเสมอ ไม่มีใครที่จะได้รับทุกอย่างตามใจต้องการ

หลังจากย่อยข้อมูล และทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากเสี่ยวอี้ไปถึงเลเวล 20 แล้ว สวี่จื้อก็เริ่มวางแผนการขั้นต่อไป

ก่อนอื่น ความแข็งแกร่งในเวลานี้ของเสี่ยวอี้ถือว่าค่อนข้างดี อย่างน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์กลายพันธุ์ และสาวกที่บ้าคลั่งในเมือง เสี่ยวอี้ถือว่ามีความโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าจะไม่อาจปฏิเสธได้ว่ายังมีสัตว์ประหลาดมากมายที่แข็งแกร่งกว่าอยู่ แต่สวี่จื้อก็ไม่คิดย่างกรายเข้าไปที่กลางใจเมืองอยู่แล้ว

ในเวลานี้ การตรวจสอบพื้นที่ชายขอบของเมืองหยุน ถึงเวลาเริ่มต้นได้แล้ว

เธอต้องการดูว่าเมืองนี้ถูกปิดตายอย่างไร มันเป็นเพียงข่าวหลอกลวงหรือเปล่า

แต่ก็ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะหลังจากอยู่ในเมืองมานาน แฟมิเลียของเราได้ออกไปล่าทุกวัน แต่เธอก็ยังไม่เคยเห็นทีมสำรวจหรือทีมกู้ภัยจากภายนอกเข้ามาเลย

ราวกับว่าเมืองหยุนถูกโดดเดี่ยวจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง คนข้างในไม่สามารถออกไปได้ และคนจากภายนอกก็เข้ามาไม่ได้

แต่ไม่ว่าจะเป็นยังไง เพื่อความแน่ใจเธอต้องไปให้เห็นกับตา

ประการที่สอง ต้องรวบรวมแก่นพลังให้ได้มากขึ้น

เป็นเวลาประมาณหนึ่งเดือนแล้วนับตั้งแต่เมืองหยุนถูกปิดตาย ไม่รู้โลกภายนอกมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว แม้ว่าร่างจริงของเธอจะไม่สามารถออกไปได้ แต่เธอก็ยังมีร่างวิญญาณอยู่

หมอกปกคลุมโลกเป็นเวลานับเดือนแล้ว น่าจะมีการค้นพบใหม่ๆ จากผู้คนในโลกภายนอกแล้ว

แม้เธอจะได้รับข้อมูลจากเกมมากมาย แต่รัฐบาลก็ใช่ว่าจะไร้น้ำยา ด้วยกำลังคนและทรัพยากรที่มี จึงต้องมีการค้นพบบางสิ่งอย่างแน่นอน

ประการที่สาม ค้นหาผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ ในเมือง ขณะที่เธอค่อยๆ พัฒนาความแข็งแกร่ง เธอก็ต้องมองหาผู้ปลุกพลังคนอื่นๆ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล จะได้รู้โครงสร้างทางสังคมของเมืองในเวลานี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่หยานซ่งหลินพูดถึง ความสามารถของอีกฝ่ายน่าสนใจมากเลยทีเดียว

สุดท้าย เธออยากค้นหาความลับของช่วงเวลาหลังเที่ยงคืน รวมถึงความลับของเมืองแห่งนี้

สองสิ่งนี้สามารถทำได้ในเวลาเดียวกัน แต่ยังต้องรอโอกาสก่อน

ตอนนี้ สวี่จื้อจึงสั่งให้เสี่ยวอี้ไปที่ชายขอบเมืองหยุน เพื่อดูว่ามันจะออกจากเมืองหยุนผ่านถนนสายหลักได้หรือเปล่า

ท้ายที่สุด เมื่อสกิลแปลงกายของเสี่ยวอี้มาถึงเลเวล 3 นอกเหนือจากความสามารถในการเปลี่ยนขนาดตัวแล้ว ความสามารถอื่นๆ ก็ถูกเพิ่มเข้ามา

[ แปลงกาย ( เลเวล 3 ) : แฟมิเลียของคุณสามารถเปลี่ยนขนาดของตัวเองได้ตามต้องการ มากสุดสามเท่าของขนาดปกติ นอกจากนี้ เกล็ดของมันจะมีความสามารถในการพรางตา ซึ่งจะเพิ่มความสามารถในการปกปิดได้เป็นอย่างมาก โดยสามารถใช้ความสามารถนี้ได้ทุกๆ 2 ชั่วโมง มีระยะส่งผล 3 วินาที ]

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เสี่ยวอี้จะล่องหนได้เป็นสามวินาที ซึ่งเพียงพอที่จะใช้หลอกล่อศัตรู และตัดสินผลการต่อสู้ในช่วงเวลาสำคัญ แต่ว่าตัวของมันจะยังคงอยู่ และมีสิทธิ์ได้รับบาดเจ็บหากถูกโจมตี แต่ก็ถือเป็นความสามารถที่ดีเลยทีเดียว

เธอส่งโก้วจื่อออกไปล่า และมองผ่านมุมมองสายตาของเสี่ยวอี้ ขณะที่มันค่อยๆ เข้าใกล้ชายขอบเมืองหยุนมากขึ้นเรื่อยๆ

ยิ่งเข้าใกล้ หมอกก็ยิ่งหนาขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดๆ หนึ่ง หมอกก็หนามากจนมองไม่เห็นเส้นทางข้างหน้าเลยแม้แต่น้อย

สวี่จื้อจึงมีความคาดเดาบางอย่างอยู่ในใจ บางทีอาจจะเป็นอย่างที่เธอคิดไว้จริงๆ ทั้งเมืองถูกปิดตายด้วยอะไรบางอย่าง ทำให้คนข้างในออกไปไม่ได้ และคนจากภายนอกก็เข้ามาไม่ได้เช่นกัน

ก่อนที่เสี่ยวอี้จะไปถึงพื้นที่ชายขอบของเมืองหยุน วิสัยทัศน์ของมันก็มืดมิดจนแทบมองไม่เห็นอะไรเลย

แม้จะเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอีกสักพักใหญ่ มันก็ไม่พบเจออะไร มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด เหมือนติดอยู่ในวังวน

สวี่จื้อขมวดคิ้ว และรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เธอจึงรีบสั่งให้เสี่ยวอี้หันหลังกลับ

จากนั้นเพียงไม่กี่นาที เสี่ยวอี้ก็มองเห็นสภาพแวดล้อมรอบตัวได้ชัดเจนขึ้น ทิวทัศน์ดูคุ้นเคย เห็นได้ชัดว่ามันได้ย้อนกลับมาเส้นทางเดิมได้

“งั้นเมืองนี้ก็กลายเป็นกรงจริงๆ ด้วย”

แต่นี่ยังแสดงตัวเมืองที่ถูกปิดตายไม่ได้เกิดจากน้ำมือมนุษย์ แต่เกิดจากบางสิ่งที่ยากจะรับมือยิ่งกว่า

สวี่จื้อถอนหายใจ “ช่างเป็นข่าวร้ายจริงๆ”

นั่นหมายความว่าเธออาจจะต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาด ณ ใจกลางเมือง และไม่มีที่ให้หนีไปไหนได้

บางทีเธอคงต้องบอกผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ เกี่ยวกับสัตว์ประหลาดเหล่านั้น แทนที่จะต้องทนทุกข์เพียงลำพัง

เมื่อรู้ พวกเขาก็ต้องพยายามเอาชีวิตรอด เมื่อถึงตอนนั้น โอกาสสำเร็จก็มีเพิ่มขึ้น เพราะหากล้มเหลว ทุกคนในมือก็จะต้องตาย แน่นอนว่าการติดต่อ เธอจะใช้ร่างวิญญาณ ไม่คิดจะไปเสี่ยงด้วยร่างจริงอยู่แล้ว

หลังจากยุติความคิดที่จะออกจากเมือง สวี่จื้อพับเก็บแผนการหลบหนีเพราะดูเหมือนจะไม่มีทางเป็นไปได้ และเปิดหน้าเลือกแฟมิเลีย เธออยากรู้จริงๆ ว่าแฟมิเลียตนที่สามจะเป็นสัตว์สายพันธุ์อะไร

“มาดูกันซิว่ามีอะไรให้เลือกบ้าง?”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด