บทที่ 465: กลืนกิน (1)
【แปลโดยฝีมือ...ยักษาแปร...มาติดตามได้ที่แฟนเพจหรือเพื่อติดตามเอาข่าวสารได้นะ】
【แค่ คอมเมนต์ ก็เหมือนการให้กำลังใจแล้วนะครับ รบกวน comment กันหน่อยน๊า ;-;】
【Thai-novelจะทำการลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ เป็นจำนวน 5 ตอน แต่เรื่องราคาแพงกว่าที่อื่นนิดหน่อย】
บทที่ 465: กลืนกิน (1)
ผู้ชมชาวต่างชาติที่กำลังรับชม ‘ปิเอโรต์:กำเนิดวายร้าย’ ต่างพากันกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เมื่อได้เห็นคังวูจิน หรือที่รู้จักกันในนาม ‘เฮนรี่ กอร์ดอน’ ปรากฏตัวขึ้น
‘นี่มันอะไรกัน… การแสดงแบบนี้มัน… น่าขนลุกเป็นบ้า’
‘ตกใจแทบสิ้นสติ บรรยากาศตั้งแต่เริ่มเรื่องนี่มัน…’
‘แบบนี้นี่เอง กลายเป็นปิเอโรต์ตั้งแต่แรกเลยเหรอ? แต่ว่า… ฝีมือการแสดงของคังวูจินนี่ไม่ธรรมดาเลยแฮะ’
‘นั่นสิ สมกับที่ได้รับรางวัลเอมมี่ สาขานักแสดงนำชายจริง ๆ ’
แม้จะมีความคิดเห็นแตกต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนรู้สึกเหมือนกันคือความประทับใจ คังวูจินสามารถสะกดผู้ชมหลายร้อยคนให้อยู่หมัดได้ภายในเวลาเพียง 5 นาทีหลังจากปรากฏตัว ถึงอย่างนั้นก็ยังมีบางคนที่พยายามปฏิเสธความจริงที่เห็นอยู่ตรงหน้า แต่ช่างเถอะ… นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น
คังวูชอล ซอฮยอนมี และคังฮยอนอา ต่างจ้องมองหน้าจอโทรทัศน์อย่างไม่วางตา
‘นั่น… ลูกชายฉันจริงเหรอเนี่ย? ไม่น่าเชื่อ…’
‘วูจินลูกแม่… ลูกต้องผ่านอะไรมามากมายขนาดไหนกันนะ’
‘โอ้โห!! ฉากสวยมากเลย!!! บ้าไปแล้ว!’
-♬♪
เสียงเพลงคลาสสิคที่ดังก้องอยู่ค่อย ๆ เบาลง หน้าจอที่ฉายภาพคังวูจินดับวูบลงเป็นสีดำสนิท ก่อนที่ชื่อเรื่องจะปรากฏขึ้นกลางจออย่างโดดเด่น
– ปิเอโรต์:กำเนิดวายร้าย>
หลังจากปรากฏอยู่ครู่หนึ่ง ชื่อเรื่องก็เลือนหายไป ‘เฮนรี่ กอร์ดอน’ ปรากฏขึ้นบนจอขนาดใหญ่อีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นภาพสี ภาพลักษณ์สุดสยองก่อนหน้านี้หายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียง ‘เฮนรี่ กอร์ดอน’ ที่หลังค่อม ไหล่ตก เดินโซเซไปตามถนน เขาสวมเสื้อฮู้ดขาดรุ่งริ่ง พร้อมกับเสียงบรรยายภาษาอังกฤษของคังวูจินดังขึ้น
-[ “ไม่มีใครมองเห็นฉัน… และฉัน… ก็ไม่ได้มองเห็นใครเลย มองไม่เห็นแม้กระทั่งโลกใบนี้” ]
มุมกล้องจับที่ด้านหลังของเฮนรี่ กอร์ดอน ผู้คนมากมายเดินผ่านเขาไป แต่ไร้ซึ่งผู้ใดเหลียวแล บางคราที่สบตากัน พวกเขากลับขมวดคิ้วหรือหลบหลีก ราวกับเฮนรี่ กอร์ดอนคือเชื้อโรคร้ายที่น่าหวาดกลัว
จากนั้นราว 20 นาที เรื่องราวชีวิตของเฮนรี่ กอร์ดอนก็ค่อย ๆ เผยออกมา
มันช่างน่าหดหู่ใจเหลือเกิน
แม้จะเป็นชีวิตธรรมดาสามัญ แต่ด้วยบรรยากาศที่หม่นหมอง บวกกับการแสดงอันทรงพลังของคังวูจิน ทำให้ผู้ชมรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก บนจอฉายชัดถึงความเจ็บปวดมากมาย ทั้งการถูกเมินเฉย ถูกเหยียดหยาม ถูกกีดกัน ถูกเลือกปฏิบัติ ถูกดูแคลน ถูกใช้ความรุนแรง เฮนรี่ กอร์ดอนที่ต้องเผชิญกับมรสุมชีวิตเหล่านี้ ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อยอย่างแนบเนียน ผู้กำกับควอนกีแท็กคือคนแรกที่สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้
‘น้ำเสียงของตัวละครเปลี่ยนไปเล็กน้อย น้ำหนักเสียง? จังหวะ? ดูเหมือนเฮนรี่ กอร์ดอนกำลังสะสมความโกรธเอาไว้ แต่เขากลั้นมันไว้ พยายามอดทนอย่างเต็มที่’
แน่นอนว่าฮงฮเยยอนและรยูจองมินก็เริ่มรับรู้ได้เช่นกัน ว่าเฮนรี่ กอร์ดอนบนจอภาพ มีความรุนแรงแฝงเร้นอยู่ในน้ำเสียงและกิริยาท่าทางของคังวูจินมากขึ้นเรื่อย ๆ แววตาที่เขามองไปยังคนรอบข้าง ฉายชัดถึงบางสิ่งที่เกินเลยกว่าความอดทน
เฮนรี่ กอร์ดอนดูเป็นคนอ่อนแอและมีปมด้อย แต่แท้จริงแล้วเขากำลังสวมหน้ากากปิดบังตัวตนที่แท้จริงเอาไว้
เพราะนั่นคือสิ่งเดียวที่จะทำให้เขาดำรงชีวิตอยู่ในโลกอันโหดร้ายนี้ต่อไปได้
ความรู้สึกหงุดหงิดและกราดกรุ่นที่เขาเก็บงำไว้ตลอดเวลา เริ่มก่อตัวเป็นเปลวเพลิงร้อนระอุ ยิ่งเขาอดทนเงียบงันมากเท่าไหร่ อารมณ์ที่ตรงกันข้ามก็ยิ่งเด่นชัดขึ้นเท่านั้น กระทบใจผู้ชมอย่างรุนแรง การแสดงเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย นักแสดงต้องถ่ายทอดอารมณ์ที่บอบบางราวกับเส้นด้ายออกมา เพื่อให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของตัวละครอย่างแท้จริง
‘อึดอัดเหลือเกิน อยากให้ระเบิดออกมาสักที’
‘เจ้าของร้านพิซซ่าคนนั้น! อ้วนแล้วยังอวดดี ตายไปก็คงไม่มีใครสนหรอก’
‘แบบนี้ไปเรื่อย ๆ หรือเปล่านะ? ไม่หรอก พระเอกกำลังโกรธมากขึ้นทุกที รอดูเถอะ ต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงแน่’
บรรยากาศแห่งความอึดอัดและความคาดหวังแผ่ซ่านไปทั่วโรงภาพยนตร์ ผู้ชมหลายร้อยคนต่างเอาใจช่วยคังวูจินที่ปรากฏอยู่บนจอ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม
และแล้ว ช่วงเวลานั้นก็มาถึง
เสียงฟ้าครืนคำรามกึกก้อง -ครืนนนน!- ท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำลงมา ชายสวมฮู้ดปรากฏตัวขึ้นที่หน้าร้านพิซซ่าที่ปิดประตูลงแล้ว แม้ใบหน้าจะถูกบดบัง แต่ผู้ชมทุกคนต่างมั่นใจว่าเขาคือคังวูจิน
‘จัดการมันเลย! ระเบิดออกมา!’
เสียงเชียร์ที่แฝงไปด้วยความคาดหวังถึงความสะใจดังกระหึ่ม เสียงตะโกนของชายร่างยักษ์เจ้าของร้านพิซซ่าดังก้องไปทั่วโรงภาพยนตร์
-[ “แก- เฮนรี่? เฮนรี่ กอร์ดอน ใช่ไหม?! แกมาที่นี่ทำไม!” ]
ทันใดนั้น การเคลื่อนไหวของชายร่างยักษ์ที่ตะโกนลั่นก็ช้าลงราวกับภาพสโลว์โมชั่น มุมกล้องจับไปที่ใบหน้าเรียบเฉยของวูจินภายใต้ฮู้ดที่สวมอยู่ พร้อมกับเสียงบรรยายของเขาดังขึ้นอีกครั้ง
-[ “เออ- แกน่ะ ตายไปซะเถอะ” ]
บทสนทนาเริ่มต้นขึ้น ฉากสโลว์โมชั่นก็เลือนหายไป คังวูจินแสยะยิ้มอย่างน่าประหลาดพลางล้วงบางสิ่งออกมาจากกระเป๋า มันคือปืนสีเงินวาววับ ภาพฉายเปลี่ยนเป็นภายนอกที่ฝนกำลังกระหน่ำเทลงมา เสียงฟ้าร้องคำรามลั่น ก่อนเสียงปืนจะดังสนั่นหวั่นไหวในร้านพิซซ่าที่สว่างไสว แต่เสียงนั้นกลับถูกกลืนหายไปกับเสียงฟ้าร้องราวกับไม่มีตัวตน ไม่มีใครได้ยินแม้แต่คนเดียว
ภาพตัดกลับมาภายในร้าน
ร่างไร้วิญญาณนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น คังวูจินก้มมองลงมา ใบหน้าของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยแป้งสีขาวจากพิซซ่า เขาจ่อยิงซ้ำไปที่ร่างนั้นอีกหลายนัดอย่างเลือดเย็น รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ในขณะนั้นเอง ผู้ชมหลายร้อยคนต่างโห่ร้องในใจด้วยความสะใจ
‘ในที่สุด!!’
‘ใช่! รอนานเกินไปแล้ว! ยิงมันอีก!’
‘โอ้ สุดยอด! แล้วทีนี้จะเป็นยังไงต่อนะ?’
ความรู้สึกสะใจพุ่งพล่านราวกับคลื่นยักษ์ ผู้ชมต่างลืมไปว่าตนเองกำลังจมดิ่งอยู่กับภาพยนตร์ พวกเขาแค่กำลังเพลิดเพลินไปกับการกระทำอันบ้าคลั่งของคังวูจิน ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เสียงเพลงคลาสสิกในร้านพิซซ่าดังขึ้น ตอนที่คังวูจินลื่นล้มเพราะพื้นเปื้อนเลือด ตอนที่หน้าของเขาจมลงไปในบั้นท้ายของร่างไร้วิญญาณ หรือแม้แต่ตอนที่เขาเต้นรำไปพลางหัวเราะคิกคักอย่างบ้าคลั่ง
ผู้ชมทุกคนไม่ละสายตาจากคังวูจินแม้แต่วินาทีเดียว
ไม่สิ พวกเขาละสายตาไม่ได้ต่างหาก ชาวต่างชาติหลายร้อยคนจมดิ่งอยู่ในห้วงเสน่ห์อันแปลกประหลาดของคังวูจิน หรือ ‘โจ๊กเกอร์’
- [ "ฮ่า ๆ ๆ ! ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ !" ]
แม้ใบหน้าจะซีดขาว แต่คังวูจินบนจอภาพยนตร์ได้ตื่นขึ้นแล้ว เขายื่นมืออันสั่นเทาหยิบไพ่ใบหนึ่งขึ้นมาจากกองสิ่งของที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น กล้องจับภาพไปที่ไพ่ในมือเขา ก่อนที่เสียงของคังวูจินจะดังขึ้นอย่างแผ่วเบา
- [ ‘โจ๊กเกอร์’ สินะ เยี่ยมไปเลย’]
ณ จุดนี้เอง ‘โจ๊กเกอร์’ ได้ฝังแน่นในความทรงจำของผู้ชมทุกคน ขณะที่บนจอคังวูจินกำลังยืนอยู่หน้ากระจก อ๋อ อย่างนี้นี่เอง ฉากนี้เคยปรากฏให้เห็นตอนต้นเรื่องนี่นา ในจังหวะที่ผู้ชมกำลังตื่นเต้น ภาพขาวดำในตอนแรกก็ถูกฉายซ้ำด้วยสีสันสดใส
ในขณะที่เขากำลังแปลงโฉมเป็น ‘โจ๊กเกอร์’
คังวูจินที่ใบหน้าเปรอะเปื้อนแป้งขาว ใช้เลือดวาดคิ้ว เขียนจมูกและริมฝีปากที่ฉีกยับ รอบดวงตาก็เช่นกัน วูจินใช้มือที่เปรอะเลือดปาดผม เส้นผมสีน้ำตาลเข้มของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด เหมือนกันเป๊ะ เหมือนกับ ‘โจ๊กเกอร์’ บนไพ่ไม่มีผิด เขาใช้นิ้วชี้ทั้งสองข้างยกมุมปากขึ้น
ในเวลาเดียวกัน น้ำตาหยดหนึ่งก็ไหลรินลงมาตามแก้ม
ความโศกเศร้านี้เพื่อสิ่งใด?
ผู้ชมที่อ้าปากค้างและตกตะลึงกับการปรากฏตัวของ ‘โจ๊กเกอร์’ ต่างงุนงง
‘ทำไมต้องร้องไห้?’
‘เมื่อกี้ยังคลั่งอยู่เลย กลายเป็น ‘โจ๊กเกอร์’ ไปแล้วด้วย ทำไมต้องร้อง? ’
‘น้ำตาในจังหวะแปลก ๆ แบบนี้ แต่ทำไมฉันกลับรู้สึกสงสารเขาก็ไม่รู้’
‘ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไร แต่น้ำตาหยดนั้นดูเหมือนจะเป็นความจริงใจเพียงหนึ่งเดียว ท่ามกลางความน่าขนลุกเลยแฮะ’
ซอฮยอนมีมองลูกชายบนจอ จนขอบตาเริ่มแดงก่ำ
‘อย่าร้องไห้เลยลูก’
เพราะมันมีความสั่นสะเทือนบางอย่าง คังวูจิน ‘โจ๊กเกอร์’ หลั่งน้ำตาเพียงหยดเดียว อันเป็นเสมือนสติและกาลเวลาสุดท้าย สิ่งที่เขาอดทนอดกลั้นมานานแสนนาน
‘บางที มันอาจเป็นความหวาดกลัวต่อสิ่งเลวร้ายทั้งหมด ที่เขากำลังจะทำลงไปสินะ’
ซิมฮันโฮได้แต่ครุ่นคิดในใจ ชะตากรรมอันน่าเศร้าของเฮนรี่ กอร์ดอนยังคงก้องอยู่ในความคิด ความเงียบสงัดโรยตัวลงปกคลุมโรงภาพยนตร์ชั่วขณะ
ราวกับว่า...
‘เฮนรี่ กอร์ดอนมองมาที่ฉัน ราวกับจะบอกว่าเขาแบกรับทุกอย่างมามากพอแล้ว’
ผู้ชมรู้สึกราวกับกำลังตบบ่าปลอบประโลมเฮนรี่ กอร์ดอน
ทว่าความรู้สึกนั้นอยู่ได้ไม่นาน
เพราะฉากเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
-♬♪
เสียงเพลงร่าเริงดังก้องกังวานไปทั่วโรงภาพยนตร์ที่เคยเงียบสงัด ฉากบนจอขนาดใหญ่แปรเปลี่ยนเป็นโจ๊กเกอร์ในรูปลักษณ์และเครื่องแต่งกายพิลึกพิลั่น กำลังเดินไปตามท้องถนน ต่างจากภาพลักษณ์อึดอัดในช่วงแรกอย่างสิ้นเชิง
คังวูจินในบทบาทโจ๊กเกอร์เดินยืดอกอย่างสง่าผ่าเผย ผมสีแดงตัดกับใบหน้าซีดเผือด เสื้อแจ็กเก็ตและกางเกงสีแดงสด เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้ม เสื้อกั๊กสีเหลืองสดใส รองเท้าหนังสีน้ำตาลที่ขาดวิ่น ถุงเท้าข้างละสีแดงและน้ำเงิน มุมกล้องราวกับสายตาของเฮนรี่ กอร์ดอนผู้ถูกโลกเมินเฉย แต่ทุกคนที่เดินผ่านเขาต่างพากันเหลียวมอง บ้างตกใจ บ้างตะลึงงัน บ้างขบขัน แต่โจ๊กเกอร์ยังคงก้าวเดินต่อไปอย่างร่าเริง
แม้กระทั่งเต้นแท็ปไปด้วยระหว่างทาง
ความรู้สึกหดหู่ของผู้ชมพลอยเบิกบานตาม ความคาดหวังต่อการกระทำต่อไปของโจ๊กเกอร์ก่อตัวขึ้นอย่างแรงกล้า
และความคาดหวังนั้นก็ได้รับการตอบสนองในทันที
-[ "ฮ่าฮ่าฮ่า!" ]
-ปัง ปัง ปัง!!
เสียงปืนคำรามลั่น เสียงระเบิดครืนครั่น เสียงฝีเท้ากระทืบพื้นดังกึกก้องไม่ขาดสาย การสังหารโหดเหี้ยมซ้ำแล้วซ้ำเล่า โจ๊กเกอร์มองมันเป็นเพียงเรื่องตลกขบขัน แต่สำหรับสังคมแล้ว มันคือหายนะอันใหญ่หลวง ทว่าผู้ชมกลับหลงใหลไปกับการแสดงอันบ้าคลั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโรเบิร์ต แฟรงคลิน นักข่าวที่คริสรับบทปรากฏตัวขึ้น
-[ “เอ่อ- นายชื่ออะไร” ]
-[ “ผ-ผม โรเบิร์ต โรเบิร์ต แฟรงคลิน” ]
ทุกคนต่างรู้สึกผูกพันกับโจ๊กเกอร์อย่างลึกซึ้ง ราวกับเข้าใจและเอาใจช่วยเขา
‘พังมันให้ราบเป็นหน้ากลอง! จัดการสังคมบัดซบนี้ซะ!’
มันเป็นปรากฏการณ์ที่น่าพิศวง
ถึงแม้โจ๊กเกอร์จะเป็นวายร้าย แต่เขากลับเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมต่างชาติมากมาย แม้แต่ผู้ชมที่เคยวิพากษ์วิจารณ์หรือมีอคติต่อคังวูจิน ก็ลืมเลือนความคิดเหล่านั้นไปสิ้นเชิง หลงใหลไปกับภาพยนตร์อย่างถอนตัวไม่ขึ้น
-[ “ฮี่ ๆ ๆ ๆ ฮ่า ๆ ๆ ๆ” ]
ในช่วงกลางเรื่องไปจนถึงตอนท้ายของ ‘ปิเอโรต์:กำเนิดวายร้าย’ ไม่มีผู้ชมคนใดในโรงภาพยนตร์
-[ “ฉันนึกมุกตลกใหม่ออกแล้วสิ” ]
ที่ยังคงเคลือบแคลงสงสัยในตัวคังวูจินอีกเลย
ประมาณ 1 ชั่วโมงต่อมา
บนจอภาพยนตร์ที่ฉาย ‘ปิเอโรต์’ รอบปฐมทัศน์ ชื่อนักแสดงและทีมงานเริ่มปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงเพลงประกอบที่หนักแน่นและทรงพลัง สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ
“······”
“······”
“······”
ผู้ชมหลายร้อยคนที่นั่งเต็มโรงภาพยนตร์ต่างนิ่งงัน ไม่มีใครขยับเขยื้อน แม้ว่าหนังจะจบลงแล้วและมีเสียงพูดคุยเบา ๆ บ้างประปราย แต่ก็ไม่มีใครลุกจากที่นั่งหรือออกจากโรงภาพยนตร์ แน่นอนว่ารวมถึงครอบครัวของคังวูจิน ฮงฮเยยอน กลุ่มของรยูจองมิน และกลุ่มของซิมฮันโฮด้วย
เหตุผลนั้นกำลังจะถูกเปิดเผยจากปากของผู้ชม
“คราวนี้สนุกจริงเชียว!”
“สุดยอด! เป็นหนังที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปีที่ฉันเคยดูมาเลย”
ความตื่นเต้นและรสสัมผัสอันแปลกใหม่ของ ‘โจ๊กเกอร์’ ยังคงอบอวลอยู่ในอากาศ ยิ่งฉากจบที่ทิ้งปมปริศนาไว้ให้รอคอยภาคต่อไป ยิ่งทำให้เรื่องราวของมันถูกกล่าวขานไม่รู้จบ ผู้ชมนั่งนิ่งอยู่หลายนาที ราวกับไม่อยากให้ความรู้สึกอิ่มเอมจากการดูหนังจบลง หากต้องก้าวออกจากโรงภาพยนตร์แห่งนี้ไป
ทันใดนั้นเอง
-แกร๊ก
ประตูบานใหญ่ด้านข้างจอภาพยนตร์ก็เปิดออก พนักงานสองคนเดินเข้ามา ตอนแรกผู้ชมต่างคิดว่าคงมาเชิญให้ออกจากโรง แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น พนักงานทั้งสองจัดเตรียมไมโครโฟนแบบมือถือไว้หน้าจอ ก่อนจะพยักหน้าไปทางประตูที่พวกเขาเพิ่งเดินเข้ามา
ไม่นานนัก
“เอ๊ะ?”
“ว้าว”
เสียงฮือฮาดังขึ้นจากกลุ่มผู้ชมชาวต่างชาติ เป็นธรรมดา เพราะเหล่านักแสดงที่คุ้นหน้าคุ้นตากำลังทยอยเดินออกมาจากประตูบานนั้น เริ่มจากนักแสดงสมทบ นักแสดงฮอลลีวูดที่ปรากฏตัวใน ‘ปิเอโรต์: กำเนิดวายร้าย’ เดินเข้ามาประมาณ 3 คน ตามด้วยชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าเหี่ยวย่น
ซิมฮันโฮและทีม ‘ปลิง’ ยิ้มออกมา
'มาแล้วสินะ'
ก็ไม่แปลก เพราะนั่นคือ ผู้กำกับอันกาบก การปรากฏตัวของเหล่านักแสดงสมทบฮอลลีวูดและผู้กำกับอันกาบก หมายความว่าโรงภาพยนตร์แห่งนี้คือโรงที่ ‘โคลัมเบียสตูดิโอ’ เลือกจัดกิจกรรมเซอร์ไพรส์พบปะแฟน ๆ ตามที่ได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้
ความตื่นเต้นของผู้ชมหลายร้อยคนยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก
ราวกับจะตอบแทนความตื่นเต้นนั้น
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ไม่ได้ทำแบบนี้มานานแล้วนะ”
ผู้กำกับอันกาบหันหลังกลับมาพร้อมรอยยิ้มทักทาย ด้านหลังมีคริส ฮาร์ทเน็ต ดาราฮอลลีวูดชื่อดัง เขาโบกมือทักทายทุกคนอย่างเป็นกันเอง
และแล้วก็ถึงคิวสุดท้าย
-กึก
ร่างของชายคนหนึ่งในชุดหลากสีสันปรากฏขึ้นเบื้องหน้าฝูงชนนับร้อย เสื้อแจ็คเก็ตสีแดงสดตัดกับกางเกงขายาวสีเข้ม รองเท้าหนังสีน้ำตาลดูเก่าคร่ำคร่า ถุงเท้าสีแดงและสีน้ำเงินที่ดูไม่เข้าคู่กันเลยสักนิด ชุด ‘โจ๊กเกอร์’ ที่ราวกับก้าวออกมาจากจอภาพยนตร์
ชายผู้นั้นคือคังวูจิน พระเอกของภาพยนตร์เรื่อง ‘ปิเอโรต์:กำเนิดวายร้าย’
“······”
คังวูจินปรากฏกายด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ดวงตาคมกริบกวาดมองไปยังผู้ชมรอบด้าน
-แปะ แปะ!
ทันใดนั้น เสียงปรบมือดังกึกก้องทั่วทั้งห้องโถง ผู้ชมทุกคนต่างลุกขึ้นยืนปรบมือให้คังวูจินอย่างบ้าคลั่งราวกับนัดหมายกันมา
-แปะ แปะ!
นั่นแหละคือวินาทีที่คังวูจินสะกดทุกสายตา ตรึงผู้คนให้อยู่ในภวังค์แห่งมนตร์เสน่ห์ของเขา
-จบ-
ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:ยักษาแปร ผู้แปลลงแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับผม หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิกกระซิก ;-;_