บทที่ 120 กบพิษ
บทที่ 120 กบพิษ
ลู่หยางนำทีมออกจากสุสานลับไปยังจุดเทเลพอร์ตของเมืองซาโรส
เมืองซาโรสเป็นแผนที่เลเวล 30 ที่อยู่ค่อนข้างห่างไกล ชายหนุ่มจึงมอบเงิน 20 เหรียญเงินให้แต่ละคนก่อนจะพูดว่า
“ไปที่เมืองซานกากู ค่าเดินทางจะอยู่ที่ 10 เหรียญเงิน นี่คือเงินสำหรับเดินทางไปกลับ”
ทั้งสี่รับเงินจากลู่หยางก่อนที่จะทำการเทเลพอร์ตไปยังเมืองซานกากู ทันทีที่ลงจอดทุกคนต่างก็รู้สึกประทับใจกับบรรยากาศของเมืองแห่งนี้
“สวยมาก” ฮั่นอิ่งอุทานขณะมองบ้านเรือนสีทองรอบ ๆ
“เกมนี้เป็นเกมระดับนานาชาติเราจึงสามารถพบเจอสถาปัตยกรรมของประเทศต่าง ๆ ภายในเกมนี้ได้ แผนที่ที่เรากำลังอยู่ในตอนนี้มันก็ได้รับอิทธิพลการออกแบบมาจากอาณาจักรเปอร์เซียโบราณ” ลู่หยางอธิบาย
“พี่ลู่หยาง พวกเราจะไปจับสัตว์เลี้ยงกันที่ไหนครับ?” ฮั่นอวี่ถามอย่างร้อนใจ
“ตามมาสิ มันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่หรอก” ลู่หยางตอบ
ชายหนุ่มนำพาพรรคพวกทั้งสี่เดินออกจากเมืองไปยังป่าแห่งหนึ่ง ต้นไม้ทุกต้นภายในป่าแห่งนี้ต่างก็ล้วนแล้วแต่สูงมาก และท่ามกลางต้นไม้นานาพรรณ มันก็มีสรรพสัตว์นานาชนิดบินผ่านไปผ่านมา
ระบบ: คุณได้ค้นพบป่ามหัศจรรย์
“สวยมาก” ฮั่นอิ่งกล่าว
“ที่นี่ถือว่าเป็นหนึ่งในที่สวยที่สุดในเกมแล้ว แต่มอนสเตอร์ที่อยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่มอนสเตอร์ธรรมดาด้วยเหมือนกัน” ลู่หยางกล่าว
“แบบนี้มันก็หมายความว่าสัตว์เลี้ยงที่ผมกำลังจะจับเป็นสัตว์ที่เก่งกาจมากเลยใช่ไหมครับ?” ฮั่นอวี่ถามอย่างตื่นเต้น
“ใช่” ลู่หยางตอบ
ทันใดนั้นมันก็มีกบยักษ์ทองแดงตัวหนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน ขนาดร่างกายของมันประมาณลูกฟุตบอลและมันก็กำลังจ้องมองมาทางพวกเขาด้วยดวงตาอันใหญ่โตทั้งสองข้าง
“นี่แหละเป้าหมายของเรา” ลู่หยางกล่าวพร้อมกับชี้ไปยังกบตรงหน้า
“หา!?” ความตื่นเต้นของฮั่นอวี่หายไปในทันที เมื่อเขาได้พบว่าสัตว์เลี้ยงที่เขาต้องจับแท้ที่จริงแล้วคือกบ
“พี่ลู่หยางอย่าล้อผมเล่นสิ เจ้ากบนี่มันจะไปทำอะไรได้” ฮั่นอวี่ถาม
“น้องชายมีสัตว์เลี้ยงเป็นกบมันก็เด่นดีนะ” ฮั่นเฟยกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างขบขัน
เสี่ยวเหลียง, ฮั่นอิ่งและฮั่นเฟยต่างก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ โดยไม่สนใจความรู้สึกของฮั่นอวี่เลย เหตุการณ์นี้จึงยิ่งทำให้เด็กหนุ่มท้อแท้มากไปใหญ่
ลู่หยางก็หัวเราะออกมาเบา ๆ ด้วยเช่นกัน ก่อนที่เขาจะอธิบายว่า
“มันชื่อว่ากบพิษแต่อย่าดูถูกมันเชียวล่ะ ตอนนี้มันอาจจะดูไร้ค่าแต่ถ้าเราเก็บเลเวลให้มันจนถึงเลเวล 7 มันจะเรียนรู้สกิลพ่นพิษและยังมีโอกาสพ่นลูกดอกพิษออกมาด้วย พิษพวกนี้จะทำให้ศัตรูเสียเลือดไปเร็วมาก”
“มันเก่งจริง ๆ เหรอครับ?” ฮั่นอวี่ถาม
“เก่งสิ แต่มันก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกันคือมันกระโดดได้ช้ามาก เพราะขนาดลำตัวของมันใหญ่มากทางผู้พัฒนาจึงกำหนดให้ความเร็วในการเคลื่อนที่ของมันเหลือ 1 ใน 10 ของความเร็วมอนสเตอร์ปกติ” ลู่หยางอธิบาย
“ก็ยังดี อย่างน้อยผมก็ใช้มันสู้กับมอนสเตอร์ตัวอื่นได้” ฮั่นอวี่กล่าว
“เอาล่ะเรามาแข่งกันดูซิว่าใครจะจับมันได้ก่อน” ลู่หยางกล่าวก่อนที่เขาจะยกมือใช้สกิลความฝันหลอกหลอนกับกบพิษ
อ๊บ ๆ
ทันทีที่โดนสกิลหลังชื่อของกบพิษก็ปรากฏคำว่าลู่หยาง ก่อนที่เจ้ากบตัวใหญ่จะกระโดดเข้าหานักเวทหนุ่มอย่างช้า ๆ
“หา?” เสี่ยวเหลียงและสามพี่น้องตระกูลฮั่นต่างก็มองไปทางลู่หยางอย่างตกตะลึง
“ลูกพี่ ทำไมคุณถึงมีสกิลของนักธนูได้ล่ะครับ?” เสี่ยวเหลียงถาม
สามพี่น้องต่างก็พยักหน้าอย่างอยากรู้อยากเห็นด้วยเช่นกัน
ลู่หยางถอดแหวนแห่งความฝันออกจากช่องอุปกรณ์ ก่อนที่จะวางมันเอาไว้ตรงหน้าของทุกคน
“เพราะไอ้นี่ไง”
แหวนแห่งความฝัน
เลเวล 10
พลังโจมตีเวท 2-5
พลังโจมตีกายภาพ 2-5
รายละเอียด นี่คือแหวนปริศนา ใครก็ตามที่เห็นมันจะถูกมันหลอกหลอน
“นี่มันแหวนอะไร? ทำไมมันถึงดูพิเศษจัง” เสี่ยวเหลียงและสามพี่น้องมองไปที่แหวนแห่งความฝันอย่างตกตะลึง
“ความสามารถของแหวนวงนี้คือทำให้ผู้สวมใส่มีสกิลที่ชื่อว่าความฝันหลอกหลอน ซึ่งมีผลคล้ายกับสกิลการควบคุมสัตว์เลี้ยงของนักธนูและมันก็สามารถควบคุมมอนสเตอร์ได้สูงสุดถึงห้าตัว”
“พี่ลู่หยางไปได้มันมาจากไหน? นักธนูควบคุมสัตว์เลี้ยงได้แค่ทีละตัว แต่แหวนนี่ทำให้พี่ควบคุมมอนสเตอร์ทีเดียวตั้ง 5 ตัว แบบนี้มันโกงกันชัด ๆ” ฮั่นอวี่พูดอย่างอึ้ง ๆ
“ถึงมันจะคล้ายกันแต่มันก็ไม่เหมือนกันหรอกนะ สัตว์เลี้ยงของนักธนูสามารถเพิ่มเลเวลได้เรื่อย ๆ แต่มอนสเตอร์ที่ถูกควบคุมโดยแหวนวงนี้สามารถเพิ่มเลเวลได้สูงสุดแค่เลเวล 7 เท่านั้น อีกอย่างคือแหวนวงนี้ใช้ได้กับมอนสเตอร์ที่มีเลเวลต่ำกว่า 50 มอนสเตอร์ที่มีเลเวลสูงกว่านั้นก็ไม่สามารถถูกควบคุมโดยแหวนได้อีกแล้ว” ลู่หยางอธิบาย
หลังได้ฟังคำอธิบายเสี่ยวเหลียงกับสามพี่น้องก็เริ่มรู้สึกว่าระบบมีความยุติธรรมขึ้นมาหน่อย
“แต่ถึงยังงั้นมันก็ยังโกงอยู่ดี พี่ไปได้มันมาจากไหน? ผมอยากได้บ้าง” ฮั่นเฟยมองไปที่แหวนอย่างสนใจ
“ถ้าผมมีแหวนวงนี้ มันก็หมายความว่าผมจะมีสัตว์เลี้ยงได้ถึงหกตัวเลยใช่ไหมครับ?” ฮั่นอวี่กล่าวด้วยแววตาเป็นประกาย
ลู่หยางหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ ก่อนจะพูดว่า
“ฉันได้แหวนวงนี้มาจากภารกิจลับของคณะละครสัตว์ในเมืองเซนต์กอลล์ การจะผ่านภารกิจนั้นได้ต้องใช้ทักษะการเคลื่อนไหวและประสบการณ์ที่สูงมาก พวกนายยังไปไม่ถึงระดับนั้นหรอก ตอนนี้ก็พยายามฝึกกันไปก่อนนะ”
เสี่ยวเหลียงและสามพี่น้องตระกูลฮั่นต่างก็แสดงสีหน้าออกมาอย่างผิดหวัง
“ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวฉันจะช่วยฝึกพิเศษให้ หากมันรวมกับการฝึกปกติของพวกนาย ฉันรับรองว่าอีกไม่นานพวกนายสามารถผ่านบททดสอบไปได้อย่างแน่นอน” ลู่หยางกล่าว
เมื่อได้ฟังคำปลอบใจมันก็ทำให้ทุกคนรู้สึกดีขึ้น จากนั้นพวกเขาก็ตามลู่หยางเพื่อไปจับกบพิษต่อไป
ครึ่งชั่วโมงต่อมาพวกเขาก็จับกบพิษได้ทั้งหมดหกตัว โดยมันเป็นกบพิษของลู่หยาง 5 ตัวและกบพิษของฮั่นอวี่ 1 ตัว จากนั้นพวกเขาก็ใช้เวลาอีกครึ่งชั่วโมงในการเพิ่มเลเวลให้กับกบพิษจนถึงเลเวล 7
ตอนนี้กบพิษได้เปลี่ยนรูปร่างของมันไปจากเดิมแล้ว ลำตัวของมันได้กลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม พื้นที่บริเวณท้องกลายเป็นสีแดงสด เมื่อได้เห็นงูยักษ์เลเวล 20 อยู่ข้างหน้า กบพิษทั้งหกก็เริ่มพ่นพิษออกมาพร้อมกัน
เมื่อพิษสีดำตกกระทบลงบนร่างของงูยักษ์ พลังชีวิตของมันก็หายไปทันทีถึง 20% ในการโจมตีรอบที่ 2 กบพิษตัวหนึ่งของลู่หยางก็ได้พ่นลูกดอกพิษสีดำออกมาด้วย ทำให้งูยักษ์ถูกลดพลังชีวิตไปอย่างรวดเร็วมาก
-114
-114
…
ทุก ๆ 3 วินาทีงูยักษ์จะสูญเสียพลังชีวิตไป 114 หน่วย และถึงแม้ว่ามันจะดูเป็นตัวเลขที่ไม่สูงมาก แต่ในช่วงเวลานี้มันกลับเป็นความเสียหายที่สูงกว่านักรบในระดับเดียวกัน
“แรงมาก” ฮั่นอิ่งกล่าว
ฮั่นอวี่พยักหน้าอย่างเห็นด้วยเพราะความเสียหายนี้มันสูงกว่าการโจมตีของเขามาก
“เอาล่ะพวกเรากลับเมืองไปเก็บเลเวลต่อกันเถอะ” ลู่หยางกล่าว
เสี่ยวเหลียงกับสามพี่น้องพยักหน้ารับก่อนจะตามลู่หยางไปยังประตูเมืองซานกากู อย่างไรก็ตามเมื่อได้เห็นทหารยามที่ประตู นักเวทหนุ่มก็พูดขึ้นมาว่า
“พวกนายเข้าไปก่อนเลย เดี๋ยวฉันจะใช้ประตูข้าง”
“มีอะไรเหรอคะ?” ฮั่นอิ่งถาม
“นี่คืออีกหนึ่งความแตกต่างระหว่างสัตว์เลี้ยงที่ถูกควบคุมโดยแหวนแห่งความฝันกับสัตว์เลี้ยงของนักธนู สัตว์เลี้ยงที่ถูกควบคุมโดยแหวนแห่งความฝันจะก่อกบฏทุก 4 ชั่วโมง ดังนั้นทางระบบจึงไม่ถือว่ามันคือสัตว์เลี้ยงแต่ยังคงถือว่าเป็นมอนสเตอร์ป่าทั่ว ๆ ไป หากทหารยามที่ประตูเห็นพวกมันเข้าพวกเขาก็จะพยายามกำจัดสัตว์พวกนั้นในทันที” ลู่หยางอธิบาย
“แล้วลูกพี่จะเข้าเมืองยังไงครับ?” เสี่ยวเหลียงถาม
ลู่หยางชี้ไปที่กำแพงก่อนจะหยิบเชือกออกมาจากกระเป๋า
“เราไม่จำเป็นจะต้องเข้าทางประตูเสมอไป เดี๋ยวฉันจะปีนข้ามกำแพงไปรวมกลุ่มกับพวกนายทีหลัง”