ตอนที่ 45 ความคิดเหมือนสายน้ำไหล
หลี่เหอกลับถึงบ้านแล้วไม่ได้บอกใครเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ เขาแค่บอกหลี่หลงว่าเมื่อสภาพถนนดีขึ้นในไม่กี่วันข้างหน้า เขาจะจ้างคนมาช่วยก่ออิฐเพื่อรีบสร้างบ้านให้เสร็จ
หลังจากที่หลี่หลงส่งต้วนเหมยกลับบ้านไปในช่วงบ่าย เขาก็รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด เขาปรารถนาจะอยู่กับเธอทุกวัน หลังจากคืนที่มีความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงเขาตระหนักถึงความสุขของการใช้ชีวิตคู่ ตอนนี้เขาจึงอยากจะสร้างบ้านให้เสร็จโดยเร็ว
หลี่เหอนำหลี่หลงและหลี่เหมยเข้าไปในห้องแล้วพูดว่า "พรุ่งนี้ฉันต้องกลับไปมหาวิทยาลัยแล้ว แม้ว่าหลงจื๋อจะแต่งงาน ฉันก็คงไม่สามารถกลับมาได้"
หลี่เหมยถามว่า "ทำไมกลับไปมหาวิทยาลัยเร็วจัง? สุดท้ายคุณปู่จะช่วยหลงจื๋อแต่งงาน ถ้าคุณไม่กลับมาก็ไม่เป็นไร"
แน่นอนว่าหลี่เหอไม่สามารถบอกได้ว่าเขากำลังจะไปหาภรรยาที่ที่บ้านของเธอ เขาจึงต้องแกล้งบอกว่าจะกลับไปเรียนและพูดต่อว่า "ฉันจะไปที่นั่นเร็วเพราะมีเรื่องต้องทำ หลังจากที่สร้างบ้านเสร็จแล้ว ฉันจะให้เขา 3,000 หยวนหลังแต่งงาน"
"ฉันจะบอกคุณปู่เกี่ยวกับเรื่องระหว่างพี่กับหยางเสวี่ยเหวินภายหลังนะ และคุณควรสะสางเรื่องนี้ให้เสร็จเร็วๆ ส่วนคุณก็เอา 3,000 หยวนไป ส่วนที่เหลือก็เก็บไว้ที่บ้านใช้ในบ้าน"
"ฉันจะให้อาหลงเอง นายยังเด็กอยู่นะ ทำไมนายต้องกังวลด้วย? ถ้าฉันแต่งงานจริงๆ ฉันไม่ต้องการเงินหรอก เงินทั้งหมดก็เป็นเงินที่พวกนายพี่น้องหามาได้ ฉันจะเอาไปทำไมล่ะ?" หลี่เหมยดูเหมือนจะเขินอายเล็กน้อยกับคำพูดของตัวเอง เลยรีบออกจากห้องไปหลังจากพูดจบ
หลี่เหอมองหลี่หลง “นายมีอะไรจะพูดไหม?”
"ผมแค่จะหางานทำซักหน่อย อยู่บ้านไปวันๆ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย" หลี่หลงตอบ
"ถ้านายว่างมากเกินไปก็ไปทำงานที่ทีมผลิตซะ อย่าคิดเรื่องไร้สาระ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ฉันจะพาคุณออกไปเหมือนเดิม แต่ว่าห้ามออกไปเตร็ดเตร่เล่นตามใจชอบนะ อย่าคิดว่าตอนนี้แต่งงานแล้ว ฉันจะทำอะไรนายไม่ได้" หลี่เหอก็เข้าใจว่าเด็ก ๆ ที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นนั้นมีความคิดของตัวเอง การอบรมพวกเขามันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ในวันสองวัน พวกเขาก็ต้องเติบโตไปตามธรรมชาติและเติบโตด้วยตัวเอง
หลี่เหอไปหาคุณปู่หลี่ฝู่เฉิง คุณปู่กำลังทอตะกร้าอยู่ที่ประตู เมื่อเห็นหลี่เหอเดินเข้ามา เขาก็ยกเก้าอี้มาให้เขานั่ง
หลี่เหอพูดความคิดของตัวเอง "ถ้าแค่ไปถามความคิดเห็นของคุณปู่หยางครอบครัวนี้ เรื่องนี้ก็อาจจะสำเร็จได้"
คุณปู่หลี่ฝู่เฉิงวางตะกร้าและคิดสักพัก "ตอนที่ปู่ทำงานไปช่วยงานไม้ที่บ้านของหลาน ปู่เห็นแล้วล่ะ ดูแล้วเด็กคนนี้ก็เป็นคนมีความรับผิดชอบและเอาใจใส่จริงๆ แต่ตอนนี้ครอบครัวเขาก็กำลังมีปัญหาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แล้วอีกอย่างแม่ของหลานเองก็ไม่เห็นด้วยน่ะสิ"
คุณย่าได้ยินคำพูดจากห้องหลังและพูดต่อว่า "ตอนที่ฉันแต่งงานกับตาแก่อย่างแกก็ไม่เห็นมีอะไรดีเลย ตามความเห็นของฉันครอบครัวแบบนี้ยังจะดีกว่าอีก ไม่มีแม่สามีหรือพ่อสามี แล้วอาเหมยก็สามารถใช้ชีวิตตามใจได้เลย นอกจากนี้ถ้าอาเหอไปเรียนแล้ว อาหลงก็แต่งงานแยกบ้านไปแล้ว อาเหมยจะไม่สนใจดูแลครอบครัวอีกเหรอ?"
"เรายังต้องดูแลครอบครัวของตัวเองอยู่ และครอบครัวอย่างบ้านหยางก็เหมาะสมพอดี เป็นครอบครัวแท้ๆ ครึ่งหนึ่ง"
หลี่เหอก็ได้แต่ถอนหายใจว่าคุณย่ายังฉลาดเหมือนเคย "คุณย่ายังรอบคอบเหมือนเคย ให้เป็นหน้าที่ของคุณย่าจัดการแทนแม่ของผมเลยนะครับ คุณปู่คุณย่าสามารถจัดการเรื่องนี้ได้เมื่อคุณปู่หยางมาที่นี่ ส่วนเรื่องเงินสินสอดอะไรพวกนั้นก็แค่พิธีการ ให้พี่สาวใหญ่เอาไปตั้งตัวเถอะ ผมไม่สนใจหรอก"
คุณย่าพูดว่า "แน่นอนว่าเป็นปู่ของคุณที่จะคุยนะ แต่เราไม่มีเหตุผลที่จะเอาเปรียบเขานะ มันเหมือนกับว่าเรากำลังรีบร้อนที่จะให้หลานสาวแต่งออกไป แต่ถ้าปู่หยางไม่เข้าใจแล้วล่ะก็ ย่าจะไปหาคุณย่าหยางเอง เหล่าหยางคนนี้ตอนที่ภรรยาเขายังสาว เธอฉลาดกว่าลิงซะอีก"
หลี่เหอได้ยินแล้วก็อดขำไม่ได้ จึงต้องตอบตกลงไปอย่างรวดเร็ว
หลี่เหอได้รับการยืนยันจากคุณปู่คุณย่าแล้วก็กลับบ้านไปจัดของ เขาจะไปเมืองหลวงของมณฑลในตอนเช้าพรุ่งนี้เพื่อซื้อตั๋วและรอขึ้นรถไฟในวันนั้นเลย ซึ่งครั้งนี้เขาก็ไม่ได้ซื้อตั๋วล่วงหน้า
เช้าวันถัดมาหลี่เหอจัดกระเป๋าอย่างง่าย ๆ ฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมาถึงแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเอาเสื้อผ้าไปมากมาย ก่อนที่จะออกไปเขาก็อธิบายกับครอบครัวอีกครั้งและขอให้หลี่หลงขับเกวียนลาไปส่งเขารีบไปที่เมืองเพื่อขึ้นรถบัส
เมื่อหลี่เหอเสร็จจากการเปลี่ยนรถและถึงเมืองหลวงของมณฑล ก็เป็นเวลาเกือบ 9 โมงแล้ว วันนี้เป็นวันที่สองของปีใหม่ตามปฏิทินจันทรคติ คนที่เดินทางที่สถานีรถไฟจึงไม่มากนัก ไม่มีคิวเมื่อต้องเข้าไปในห้องจำหน่ายตั๋ว เขาซื้อตั๋วสำหรับเที่ยว 11 โมงตรงจากเคาน์เตอร์ตั๋ว แล้วหลังจากซื้อตั๋วเสร็จเขาก็ไปนั่งพักที่บันไดหน้าสถานีรถไฟ รอขึ้นรถไฟกระตือรือร้นที่จะได้พบกับจางหว่านถิง
ในขณะเดียวกันหลี่เหอกำลังคิดถึงจางหว่านถิง และจางหว่านถิงเองก็กำลังคิดถึงหลี่เหอ ในความจริงแล้ว เธอกำลังคิดถึงวิธีจัดการกับเงิน 670 หยวนที่หลี่เหอให้เธอ
จางหว่านถิงนั่งมองน้ำในแม่น้ำอย่างไร้จุดหมาย เธอไม่รู้จะไปที่ไหนดี ควรจะเอาเงินในกระเป๋าของเธอไปให้แม่เพื่อแลกกับชะตากรรมที่จะถูกแต่งงานแลกเปลี่ยน หรือว่าจะปล่อยตัวเองจมลงในแม่น้ำเพื่อหลุดพ้นจากทุกสิ่ง
เมื่อคิดถึงวิธีที่ครอบครัวมองเธอ เธอก็รู้สึกหนาวเหน็บในหัวใจ ทำไมถึงเป็นแบบนี้?
ปล่อยให้ลมหนาวพัดผ่าน ปลอบเปลือกตาที่ร้อนผ่าวและกลืนน้ำตาที่กำลังไหลกลับเข้าไปในใจ เธอไม่ได้ตั้งใจที่จะหลั่งน้ำตา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเธอไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรด้วยน้ำตา แต่เธอจำเป็นต้องพิสูจน์อะไรบางอย่างด้วยการไม่มีน้ำตา
ในใจรู้สึกว่างเปล่า รู้สึกเหมือนเธอกำลังอยู่ในความเหงา อยากจะหาคนคุยด้วย แต่ใครกันที่จะพูดคุยด้วยได้? ถ้าไม่สามารถพูดกับพ่อแม่และพี่น้องของตัวเองได้ แล้วเธอจะไว้ใจใครได้อีก?
เธอมักเลือกที่จะเก็บคำพูดไว้กับตัวเองและไม่พูดอะไรออกมา
เธอพยายามอย่างหนักที่จะพิสูจน์ว่าเธอไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ เป็นตัวขาดทุนตามที่พ่อแม่ว่ามาตั้งแต่เด็ก เธอเรียนหนักและจบการศึกษาชั้นมัธยมต้นและมัธยมปลายอย่างยากลำบาก โดยได้อันดับหนึ่งทุกครั้ง
วันที่เธอได้รับจดหมายจากมหาวิทยาลัย เธอคิดว่าเธอทำให้พ่อแม่ได้หน้า เธอเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยคนเดียวของทั้งตำบล แต่แม่บอกว่าไม่ว่าเธอจะเก่งแค่ไหนในอนาคต ก็จะไม่มีใครมาช่วยเธอได้
ตามความต้องการของพ่อแม่มันไม่สำคัญถ้าเธอจะไม่ได้เรียนที่มหาวิทยาลัย จางหว่านถิงจึงดึงประกาศผลสอบออกมาอย่างจำใจและพูดกับพ่อที่อ่านหนังสือไม่ออกว่า “พ่อดูสิ มันเขียนว่าได้รับเบี้ยเลี้ยงเดือนละ 27 หยวน ถ้าหนูไม่ได้ไปมันก็น่าเสียดาย”
“หนูส่งเงินกลับบ้าน 20 หยวนทุกเดือนได้นะ? พ่อก็พักผ่อนอยู่ที่บ้านได้”
"แถมเงินเดือนขั้นต่ำของหนูในการทำงานก็เกิน 70 หยวน รวมการปันผลอื่น ๆ แล้วนะพ่อ ถ้าพ่อให้หนูไปทำงานได้ เงินเดือนทุกเดือนหนูจะส่งให้ที่บ้าน"
เงิน 20 หยวนต่อเดือนทำให้ทั้งคู่ตื่นเต้นดีใจ แต่จะได้มันมาหรือไม่นั้นก็ยังไม่แน่ใจ ยังมีสาวๆ ในหมู่บ้านที่ไม่ได้ออกไปทำงาน
อย่างไรก็ตามความปรารถนาที่จะออกไปจากหมู่บ้านมันมีมากเกินไป ถ้าหากเธอหาผู้ชายในเมืองมาแต่งงาน ใครจะไปสนใจชีวิตหรือความตายของพ่อแม่ในชนบท
ยิ่งไปกว่านั้น ลูกสาวของพวกเขาก็อายุ 20 ปีแล้ว พ่อแม่ก็คิดว่าคงไม่มีความคิดอื่นๆ หรอก เธอเป็นคนแข็งแกร่งแบบนี้ ถ้าเธอออกไปแล้วไม่กลับมา ถือซะว่าพวกเขาก็เป็นคนตาบอด
หลังจากการพูดคุยกัน พ่อแม่ก็ยอมตกลงโดยไม่เต็มใจนัก พวกเขาจัดงานเลี้ยงและใช้โอกาสนี้เก็บเงินขวัญถุงจากแขกในหมู่บ้านแล้วให้จางหว่านถิง 30 หยวน แม่เช็ดน้ำตาและพูดว่า "แม่ทำไเพื่อประโยชน์ของลูกนะ ลูกใช้ชีวิตอยู่คนเดียวคงลำบากมากแน่ ๆ " เมื่อเธอต้องเดินทาง แม่ก็ทำท่าไม่อยากแยกกับเธอ
ด้วยความช่วยเหลือจากครูที่โรงเรียน จางหว่านถิงได้เรียนรู้เส้นทางรถบัส ซื้อตั๋วแล้วเดินทางขึ้นเหนือไปคนเดียวพร้อมกระเป๋าหนึ่งใบ
หลังจากนั้น จางหว่านถิงจะส่งเงิน 20 หยวนกลับบ้านทุกเดือน หลังจากที่เธอได้รับเงินเบี้ยเลี้ยงรายเดือน ซึ่งรวมแล้วจะได้ 80 หยวนต่อหนึ่งภาคการศึกษา เมื่อจางหว่านถิงกลับบ้านในช่วงปีใหม่ เธอก็คิดว่า คราวนี้พ่อแม่คงจะมองเธอในมุมที่ดีขึ้น พี่ชายคงจะมองเธอด้วยสายตาที่ภาคภูมิใจ
แต่เมื่อกลับถึงบ้าน เธอก็พบว่าเธอไม่ได้มีโอกาสนั้นเลย ความคิดเกี่ยวกับเรื่องดี ๆ ทั้งหมดก็ถูกดับลง ความโหดร้ายของความจริงมันสามารถแย่ได้ยิ่วกว่าที่เธอคิดซะอีก และมันจะไม่มีวันจบสิ้น
การแลกเปลี่ยนการแต่งงาน นี่มันเรื่องไร้สาระอะไร เธอไม่คิดว่าตัวเองจะดีเด่อะไรแค่เพราะได้เรียนมหาวิทยาลัยหรอก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะยอมถูกปฏิบัติอย่างนี้
จางหว่านถิงพูดกับแม่อย่างใจเย็น "แม่ค่ะ ตอนนี้หนูส่งเงินกลับไปเดือนละ 20 หยวน พอหนูเริ่มทำงานแล้ว หนูจะมีเงินเดือน 70 หยวนต่อเดือน ถ้าได้ทำงานที่หน่วยงานดีๆ หนูจะมีเงินเดือนมากกว่า 100 หยวนต่อเดือน"
"ดูสิ พี่ชายของลูกอายุเท่าไหร่แล้ว เขาอายุ 18 แล้วนะ ยังหาคู่ดีๆ ไม่ได้เลย พี่ชายทั้งสองคนของลูกเดิมทีก็นอนในห้องแคบ ๆ ไม่มีที่ให้ขยับขยายสำหรับการแต่งงานเลย ตอนนี้คนที่หมั้นแล้วต้องสร้างบ้าน บวกกับเงินสินสอดอีก จะเป็นไปได้ยังไงถ้าไม่มี 700 หยวน"
“ลูกไม่รู้หรอว่าครอบครัวเราเป็นยังไง
ก่อนหน้านี้ลูกก็ใช้เงินไปมากมายตอนเรียนมัธยมต้นหรือมัธยมปลาย
ตอนนี้ลูกมี 20 หยวนต่อเดือน แต่จะให้เก็บเงิน 700 หยวนตอนไหนละ ปีวอกปีม้าหรอ?
อีกอย่างครอบครัวที่จะแลกเปลี่ยนการแต่งงานด้วยก็คือจากสถานีธัญพืช มันเป็นการแต่งงานที่ดีมากแล้วนะ หาที่ดีกว่านี้ก็ไม่มีแล้วล่ะ ก็เพราะคนพวกนั้นชอบที่ลูกเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยไงละ
แล้วพวกเขาก็ยังตกลงว่าลูกสามารถเรียนต่อไปหลังจากแต่งงานได้ด้วยนะ แล้วพวกเขาจะสนับสนุนเอง บอกมาซิว่าเรื่องดีๆ แบบนี้จะมาจากที่ไหนกัน?"
จางหว่านถิงเช็ดน้ำตา
แม่จางมองไปที่ลูกสาวที่ดื้อรั้นของเธอ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งร้องไห้เสียงดัง “โอ้ สวรรค์ ฉันทำบาปทำกรรมอะไรไว้ในชาติก่อน ทำไมถึงได้โชคร้ายขนาดนี้? ฉันมันโชคร้ายจริงๆ!”
จางหว่านถิงหัวเราะออกมาอย่างโกรธเคือง นี่ชัดเจนว่าเป็นการทำให้ตัวเองอับอาย ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจไม่ให้ตัวเองเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยอีก
"700 หยวน? แม่ ทำไมไม่ไปปล้นแทนล่ะ? แบบนั้นยังเร็วกว่าอีก เอาตรงๆ ว่าตามสภาพตอนนี้ 700 หยวน มากพอที่จะจะแต่งงานกับเมียได้ถึงห้าคนเลยนะ แล้วแม่กับพ่อเราจะหาเงินได้เท่าไหร่ต่อปี?
แม่ลองออกไปมองดูรอบๆสิ มีกี่คนที่ไม่มีแม้แต่เต้าหู้ให้กินในช่วงตรุษจีน?”
คุณแม่จางกระโดดขึ้นมาพูดว่า “แกจะรู้อะไร ไอ้ลูกเวร! ถ้าแกยังไปเรียนแบบนี้ ใครจะดูแลพี่ชายแกล่ะ?”
จางหว่านถิงได้ยินความจริงที่ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดมาก
ครอบครัวนี้กลัวว่าเธอจะออกไปเจอโลกใหม่และเริ่มคิดอะไรที่ไม่ดี แล้วเธอจะหยุดติดต่อกับครอบครัว หายตัวไปในเมืองใหญ่
สาวๆ ส่วนใหญ่จากหมู่บ้านหรือคนที่มาจากเมืองที่อยู่ใกล้ๆ และคนที่เข้าเมืองส่วนใหญ่ได้ตัดความสัมพันธ์กับครอบครัวไปแล้ว คงเป็นเพราะเธอโดนกดขี่มากเกินไปจากครอบครัว
เธอมองไปที่พี่ชายที่นั่งเงียบๆ อยู่ข้างๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องโดยไม่พูดอะไร
ดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงออกมาในสายลมหนาวกำลังจะตกดิน เธอนั่งอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำพยายามไม่คิดถึงเรื่องยุ่งยากทั้งหมด ยิ่งอยากจะร้องไห้ เธอก็ยิ่งบอกตัวเองให้หยุดร้อง
จู่ๆ ท้องของเธอก็ร้องขึ้นมา และจางหว่านถิงก็จำได้ว่าเธอยังไม่ได้กินอะไรเลยตลอดทั้งวัน หลังจากตึงเครียดทั้งวันยังต้องคุมอารมณ์ไม่ให้ร้องไห้ทั้งวัน เธอก็ทนไม่ไหวและปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา เธอไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะหิวหรือเพราะคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างในอดีตแล้วรู้สึกรู้สึกโกรธแค้น น้อยใจ เธอแค่อยากจะร้องไห้
จางหว่านถิงเพียงแค่ขดตัวและร้องไห้ออกมา ร้องไห้เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ น้ำตาของเธอไหลลงมา ดูเหมือนว่าฉันจะหยุดไม่ได้เลย
“เฮ้! พี่สาวข้างหน้าน่ะ หยุดร้องไห้เถอะ ร้องไห้เหมือนแมวส้มเลยนะ”